เปลี่ยนรัฐบาลแต่แนวทางแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาดูท่าจะยังไม่เปลี่ยน เพราะคนกุมทิศทางด้านความมั่นคงอย่างรัฐมนตรีกลาโหมยังคงเป็น “บิ๊กเล็ก” น้องรัก "บิ๊กตู่" ที่ไม่เด็ดขาดต่อกัมพูชา ยังกอด MOU 43-44 เห็นแก่กำไรของพ่อค้ามากกว่าอธิปไตยแห่งดินแดน เคยแสดงท่าทีไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชนมาตั้งแต่สมัยเป็น รมช.กลาโหมในรัฐบาลแพทองธาร แต่ในรัฐบาลอนุทินก็ยังได้นั่งกระทรวงนี้ต่อไปเพราะเป็น "เด็กฝาก" นั่นเอง
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงแนวทางนโยบายการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่านายอนุทิน รวมถึงเจ้าของพรรคภูมิใจไทยตัวจริงอย่าง นายเนวิน ชิดชอบ จริงใจในการแก้ปัญหาเรื่องนี้แค่ไหน
นายสนธิกล่าวว่า หากจะแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะต้องล้างไพ่ และปลดพันธนาการ เงื่อนไขของการเจรจาที่ไม่เป็นธรรมสำหรับประเทศไทย ที่ผูกมือผูกเท้าประเทศไทยให้ต้องยึดติดกับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ออกเสีย ด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือการประกาศยกเลิก MOU 43-44 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดแรกครั้งแรกวันแรกเสีย
นายอนุทินสามารถเอาคำพูดที่นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และลูกชายนายเนวิน เคยพูดเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 นำเข้าวาระของ ครม.แล้วให้มีมติยกเลิก เพื่อพิสูจน์ว่านายอนุทินจริงใจกับชาติบ้านเมือง ไม่ต้องตั้งคณะกรรมาธิการใหม่แล้ว เพราะ ครม.ยกเลิกได้เลย ถ้าไม่ทำ ก็แสดงว่าสิ่งที่นายไชยชนกพูดก็แค่ต้องการหาคะแนนเสียงเท่านั้น
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา นายไชยชนกบอกว่า “พรรคภูมิใจไทยติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายที่ต้องการยกเลิกมองว่า MOU ทั้งสองฉบับส่งผลกระทบต่อเขตแดน และปัจจุบันไทยกำลังเผชิญการรุกล้ำดินแดนอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นความไม่เป็นธรรม ขณะที่ฝ่ายที่ต้องการคงไว้ให้เหตุผลว่าจำเป็นเพื่อรักษาช่องทางเจรจาระหว่างประเทศ แต่ตนยืนยันว่าแม้ไม่มี MOU ไทยและกัมพูชาก็ยังสามารถเจรจาทวิภาคีกันได้ ...”
แล้วยังบอกด้วยว่า “หากมีความจำเป็นควรพิจารณาทำข้อตกลงทวิภาคีฉบับใหม่ให้ชัดเจน และรัดกุมกว่าเดิม พร้อมย้ำว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายควรฟังเสียงประชาชน โดยส่วนตัวมองว่าควรพิจารณาถึงขั้นทำประชามติในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและได้รับการยอมรับจากสังคมทั้งประเทศ”
อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวว่าไม่ต้องเสียเวลาตั้งคณะกรรมาธิการอะไรแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาได้บ่งชี้ให้เห็นแล้วว่า MOU 43 และ 44 ซึ่งทำมาตั้ง 24 ปี และ 25 ปีแล้วนั้น นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้บรรลุข้อตกลงที่เป็นที่ยอมรับ แต่กลับทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลที่แล้วของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มีเบื้องหลังเป็นนายทักษิณ ชินวัตร ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
จนอาจจะกล่าวได้ว่าประชาชนทั้งประเทศแทบจะเห็นด้วยหมดแล้วว่า MOU สองฉบับนี้ควรยกเลิกเสีย มีแค่นักการเมืองกับทหารระดับนายพลกับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและนักวิชาการบ้องตื้นบางคนเท่านั้นที่ยังอ้างว่า MOU สองฉบับนี้มีข้อดีอยู่ แต่กลับไม่พูดถึงข้อเสียที่แลกมาด้วยการสูญเสียอธิปไตย การสูญเสียทหารหาญ ทั้งที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายร้อยนาย รวมไปถึงชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม คล้อยหลังการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ คนที่ 32 ได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีกระแสข่าวออกมาว่าในการตั้งคณะรัฐมนตรีนั้น นายอนุทิน กับพรรคภูมิใจไทยจะนำ “บิ๊กเล็ก” หรือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งเป็น รมช.กลาโหม ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว และปัจจุบันรักษาราชการ รมว.กลาโหม ให้ขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแบบเต็มตัว
กระแสข่าวเช่นนี้สร้างความงุนงง สงสัยแก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างมาก เพราะ “บิ๊กเล็ก” นั้นตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาได้แสดงจุดยืนในการปกป้อง MOU 2543 และ 2544 มาตลอด และ “ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน” จนอาจจะบอกได้ว่า “เป็นที่รังเกียจ”ของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำในฐานะผู้ที่ดูแลกระทรวงกลาโหม
GBC ไทย-กัมพูชา เขมรยอมถอนอาวุธหนัก เล็งเปิดด่านจันทบุรี-ตราด
วันพุธที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา พล.อ.ณัฐพลไปเป็นประธานฝ่ายไทย ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือจีบีซี (GBC) สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ที่จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา ร่วมกับนายเตีย เซียฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ก่อนกลับมาแถลงข่าวผลการประชุมที่โรงแรมเซ็นทารา ชานทะเลแอนด์วิลล่า อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งสรุปได้ 5 ข้อ ดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายจะถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนกลับสู่ที่ตั้ง โดยเลขาฯ GBC, RBC หรือภายใน 3 สัปดาห์เพื่อจัดทำแผน และมี IOT ร่วมสังเกตการณ์
2. ร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมฯ ภายใน 1 สัปดาห์เพื่อจัดทำแผนและพื้นที่นำร่อง โดยให้ดำเนินการทันที ภายใน 1 เดือน
3. การปราบปรามสแกมเมอร์ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งสองฝ่ายตั้งคณะทำงานร่วมกันภายใน 1 สัปดาห์ และจัดประชุมวันที่ 16 ก.ย. 68 ที่สระแก้ว
4. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจาน ให้ JBC หารือเรื่องความชัดเจนในพื้นที่ และ RBC หารือแนวทางการจัดการ ในระหว่างนี้ให้ผู้ว่าราชการ จ.สระแก้ว และ จ.บันเตียเมียนเจยประสานงานร่วมกัน
5. ผ่อนปรนการผ่านแดนพื้นที่แนวชายแดนบางจุดที่ไม่มีปัญหาด้านความมั่นคง เพื่อลดผลกระทบภาคธุรกิจ มอบหมายให้ RBC หารือความเป็นไปได้ อาจเริ่มที่จันทบุรี และตราด ก่อน
โดยในประเด็นสุดท้าย พล.อ.ณัฐพล แถลงว่า “การผ่อนปรนเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำว่าเป็นเพียงการผ่อนปรนด้านการขนส่งสินค้า ไม่ใช่การผ่อนปรนบุคคล โดยรถขนส่งไม่ได้เปิดเสรี แต่มีการจำกัดจำนวนเที่ยว เช่นเดียวกับที่ผ่านมา หากสังคมยังไม่ยอมรับ อาจพิจารณาผ่อนปรนเป็นรายกรณี เช่น 2-3 เที่ยวต่อวัน แต่หากมีเสียงสนับสนุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจขยายเป็น 20-30 เที่ยวต่อวัน
“ทั้งนี้ ขอชี้แจงว่าต้นเหตุของการเปิดด่านเกิดจากประเทศที่สาม ไม่ได้เกิดจากประเทศไทยและกัมพูชา เนื่องจากประเทศที่สามแจ้งมาว่าไทย-กัมพูชามีความขัดแย้งกัน เขาเกี่ยวอะไรด้วย ทำให้เขาเดือดร้อน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่เรารับฟัง จึงเป็นที่มาของการหาทางออก ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เห็นด้วย"
ในเวลาต่อมามีข้อมูลเผยแพร่ออกมาว่า “ประเทศที่สาม” ที่เข้ามาแทรกแซงเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาก็คือ ประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
ต่อมาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีหลังจากการประชุม GBC ระหว่างไทยกับกัมพูชาเสร็จสิ้น และสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยก็เอามาแชร์ต่อ จนคนไทยจำนวนหลายร้อยคนต่างแสดงความไม่พอใจต่อการแทรกแซงประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาของญี่ปุ่น!
เรื่องจุดยืนความคิด คำพูด และการกระทำเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาของ พล.อ.ณัฐพล ซึ่งมีอีกฐานะหนึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่แสดงออกตั้งแต่สมัย น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ นายภูมิธรรม เวชยชัย ขึ้นมารักษาการนายกฯ เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลใหม่ที่นำโดยนายอนุทิน ล้วนแต่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ทั้งเรื่อง MOU 2543-2544 การผลักดันเปิดด่านระหว่างไทยกับกัมพูชา ให้มีการค้าขาย และการข้ามไปข้ามมาระหว่างคนชายแดนกลับไปเป็นปกติ โดยอ้างเรื่องปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจของคนชายแดน และล่าสุดก็คือยก “แรงกดดันของประเทศที่สาม” ซึ่งน่าจะหมายถึงประเทศญี่ปุ่น
จุดยืนของ พล.อ.ณัฐพลนั้นเป็นที่รับรู้รับทราบไม่เพียงแต่ในบรรดาสื่อมวลชน ข้าราชการ นักการเมือง หรือทหาร แต่ลงไปถึงระดับประชาชนทั่วไป พนักงานบริษัท ชาวบ้าน พ่อค้าแม่ขาย ว่าไร้ศักดิ์ศรี ไม่สมกับ “ยศพลเอก” ที่ประดับบนบ่า อย่าว่าแต่ตำแหน่งเสนาธิการกระทรวงกลาโหม จนถึงขั้นที่ว่ามีการตั้งฉายาว่าเป็น “หมานำราชสีห์”
“ผมเคยถามมาแล้วหลายครั้งทั้งในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ และสนธิเล่าเรื่อง ว่า พล.อ.ณัฐพลทำตัวอย่างนี้ คุณเป็น “พ่อค้า” หรือเป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ที่ต้องมองเรื่องอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยเป็นหลัก
“ส่วนคำถามที่ว่าทำไมเปลี่ยนนายกฯ ไปแล้ว เปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว พล.อ.ณัฐพลยังคงสามารถเกาะเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมได้อย่างเหนียวแน่น” นายสนธิกล่าว
“บิ๊กเล็ก” น้องรัก "บิ๊กตู่" สู่เก้าอี้ รมต.กลาโหม
ทั้งนี้ หากย้อนดูประวัติของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ถือเป็นนายทหารที่เคยทำงานใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาก่อน เพราะเป็นมือทำงานด้านยุทธการ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้งานมาตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ. จนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจปกครองประเทศ พล.อ.ณัฐพลเป็นมือยุทธการที่ครบเครื่องในรั้ว ทบ. โดยเฉพาะงานด้าน กอ.รมน.ที่มีความถนัดและเชี่ยวชาญ ถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้ตั้งตำแหน่งพิเศษให้ พล.อ.ณัฐพล เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาแล้ว
รวมทั้งเป็นหัวหน้าส่วนอำนวยการ สำนักงานเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติในปี 2559 ก่อนขึ้นเป็นเสนาธิการทหารบกในปี 2560 เป็นรองผู้บัญชาการทหารบกในปี 2561-2563 เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2563 และเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
พล.อ.ณัฐพลจึงได้ชื่อว่าเป็น “เด็กบิ๊กตู่อย่างแท้จริง”
พอเกษียณอายุราชการ พล.อ.ณัฐพล ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อมาภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ในรัฐบาลเศรษฐา ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยประคับประคองงานของนายสุทิน คลังแสง ที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่มาจากพลเรือน
ต่อมาใน ครม.แพทองธาร ชินวัตร พล.อ.ณัฐพลก็ได้นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ
มาถึง ณ วันนี้ แม้อำนาจจะเปลี่ยนมือจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาสู่พรรคภูมิใจไทย แต่ พล.อ.ณัฐพลกลับยังอยู่ได้ โดยเปลี่ยนโควตารัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นพรรคภูมิใจไทยแทน !?!
เรื่องท่าทีต่อปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้น พล.อ.ณัฐพลเผยธาตุแท้ตัวเองออกมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ประชุม สมช.ชุดเล็กเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 มาถึงปัจจุบันแล้วว่า จะไม่ตัดน้ำ-ตัดไฟ-ตัดเน็ต ที่ส่งจากไทยไปกัมพูชา, ต้องการให้เปิดด่าน, ต้องการค้าขาย และข้ามไปข้ามมาของประชาชนทั้งสองฝั่งกลับเป็นปกติ
3 เดือนแล้วที่ “หมานำราชสีห์” อย่าง พล.อ.ณัฐพลสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางเสียงก่นด่าของชาวบ้าน และประชาชน บางคนถึงขั้นด่าท่านว่าเป็น “นายพลขายชาติ” ด่าท่านว่า “เป็นหมูเป็นหมา” แต่ท่านก็ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ในตำแหน่ง เหมือนว่าจะอยู่เพื่อเปิดด่านให้ได้
“มีคนเขาบอกผมว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็นเด็กฝาก เป็นไพ่ฝากของใครบางคน ที่ฝากกับรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่านายกฯ จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ก็ยังคงกุมอำนาจในการชี้ชะตา กำหนดทิศทางด้านความมั่นคงของประเทศไทยอยู่ ท่านผู้ชมคิดเอาเองดีกว่าว่าใครก็ตามที่ฝาก พล.อ.ณัฐพล ไว้กับรัฐบาลทุกรัฐบาล โดยไม่ต้องแคร์ว่าอำนาจจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน
“ผมมีคำถามกับคุณณัฐพลง่ายๆ 3 ข้อ ในการประชุม JBC ที่มีการจับไม้จับมือกัน (1) ได้บอกว่าการเจรจามีความคืบหน้า เพราะกัมพูชายอมรับปากจะร่วมมือจัดการแก๊งสแกมเมอร์ ผมถามว่ามันจะจัดการได้อย่างไร เพราะฮุน เซน กับตระกูลฮุน ลูกหลานคนสนิทอย่าง ก๊ก อาน มันเป็นหุ้นส่วนกับแก๊งสแกมเมอร์ แล้วมันจะจัดการกับตัวมันเองได้อย่างไร
"แล้วบอกว่าจะร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด เราต้องไปมีส่วนร่วมกับมันทำไม ก็มันเป็นคนวางทุ่นระเบิดก็ให้เก็บเองสิ อาวุธหนักก็เหมือนกัน ต้องคุยกันทุกเรื่องก่อน ถ้ามันทำตามที่เราบอก เก็บกู้ระเบิด โน่นนี่นั่น ตามที่เราต้องการ ถึงจะคุยกันเรื่องถอนอาวุธหนัก เราไม่ควรจะถอน"
“ท่านผู้ชมเชื่อผมเถอะ เชื่อผม เรายังจะต้องรบกับกัมพูชาต่อ เพราะฮุน เซน สมเด็จจากนรก มันเป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมาแล้ว มันหักหลังคนได้ทุกคน แล้วมันชอบที่มีคนอย่าง พล.อ.ณัฐพล เซียมตือ หมูสยาม ที่สนใจอย่างเดียว ง.งู อย่างเดียว ที่จะเปิดด่าน ฮุน เซนมันหัวเราะก๊ากๆๆๆ มันคงพูดกับพวกมันว่า เฮ้ย หมูตอนคนนี้หลอกง่าย มันโลภ ฮุน เซน คงจะพูดอย่างนั้น เพราะว่า เตีย เซ็ยฮา นี่ก็คือไข่ใบหนึ่งของฮุน เซน มันจะให้ทำอย่างไรก็ทำตามหมด
“คุณณัฐพล คุณไม่รู้เลยหรือ คุณโง่ถึงขนาดที่คุณไม่รู้เลยหรือว่ากัมพูชา คนที่เป็นเจ้านายตัวจริงคือ ฮุน เซน และฮุน เซน มันโกหกหักหลังทุกคนเพื่อผลประโยชน์ของมันเพียงอย่างเดียว” นายสนธิกล่าว