คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงความกังวลต่อการแข็งค่ารวดเร็วของเงินบาท หลังพบไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชาพุ่งสูงกว่า 6.8 หมื่นล้านบาทใน 7 เดือนแรกของปี 2568 สัดส่วนถึง 28% ของการส่งออกทองคำทั้งหมด จี้รัฐ-ธปท.เร่งตรวจสอบ หวั่นเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมาย กระทบภาคการค้า การเกษตร และการท่องเที่ยว
วันนี้ (11 ก.ย.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาท โดยตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของการส่งออกทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังประเทศกัมพูชา
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เปิดเผยว่า จากข้อมูลล่าสุดช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาเป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าสูงถึง 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 28.2% ของการส่งออกทองคำทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมากสำหรับประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา
นายเกรียงไกรตั้งข้อสังเกตว่า ยอดการส่งออกทองคำที่พุ่งสูงนี้ทำให้มีเงินตราต่างประเทศไหลเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และเมื่อมีการแลกเงินต่างประเทศเป็นเงินบาท ความต้องการเงินบาทที่เพิ่มขึ้นนี้เองจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
นอกจากนี้ กกร.ยังมีความกังวลว่าการส่งออกทองคำจำนวนมหาศาลนี้อาจมีความเชื่อมโยงกับ "ธุรกิจใต้ดิน" เนื่องจากกัมพูชามีปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ กกร.ไม่ได้ยืนยัน 100% ว่ามีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ แต่เชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ไม่คาดคิด โดยได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการแยกมูลค่าการค้าทองคำออกมาเพื่อพิจารณาถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยทั้งหมด ทั้งการส่งออก เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว