วัส ติงสมิตร อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) วิเคราะห์เจาะลึก 6 เหตุการณ์สำคัญใน "ละครแห่งชีวิตของทักษิณคดีป่วยทิพย์ชั้น 14" โดยตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติในการอ้างอาการป่วยของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเหตุผลในการย้ายตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ แทนที่จะรับโทษจำคุกในเรือนจำ ผู้เขียนมองว่าการบังคับโทษจำคุกไม่เป็นไปตามคำพิพากษา และหากศาลฎีกาพิจารณาว่าการจำคุกไม่ถูกต้องครบถ้วน ก็มีอำนาจออกหมายจำคุกตามระยะเวลาที่เหลืออยู่ได้
วันนี้ (8 ก.ย.) "วัส ติงสมิตร" อดีตผู้พิพากษาและอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกมาโพสต์ข้อความตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ นายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เดินทางกลับประเทศไทยจนถึงได้รับการพักโทษ โดยประเด็นหลักที่ผู้โพสต์เน้นย้ำคือ “ข้อสงสัยเรื่องอาการป่วย” ที่อ้างว่าเป็นเหตุผลในการย้ายนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ แทนที่จะรับโทษในเรือนจำ โดยเจ้าตัวได้สรุปเป็น 6 ฉากทัศน์ โดยได้ระบุข้อความว่า
"6 ฉากทัศน์ในละครแห่งชีวิตของทักษิณคดีป่วยทิพย์ชั้น 14
เวลา 10 นาฬิกา วันพรุ่งนี้ (วันอังคารที่ 9 กันยายน 2568) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 ระหว่างอัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย
ผู้เขียนขอเสนอ “6 ฉากทัศน์ในละครแห่งชีวิตของทักษิณคดีป่วยทิพย์ชั้น 14” ดังนี้
1)ฉากทัศน์ที่ 1 จากสนามบินดอนเมืองถึงศาลฎีกา
เหตุการณ์
เช้าวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ทักษิณเดินทางโดยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวสุดหรูจากประเทศสิงคโปร์ ถึงสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ แต่งตัวด้วยชุดสากล ผูกเนคไท เดินด้วยท่าทางองอาจผ่าเผย มายังอาคารผู้โดยสารส่วนบุคคล พบบุคคลในครอบครัวของตน ทำพิธีเปิดกรวย ถวายพวงมาลัย ก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ เดินโบกมือมาทักทายแกนนำและอดีต สส. พรรคที่มาต้อนรับ แล้วโดยสารรถยนต์ติดฟิล์มดำของตำรวจ เดินทางไปศาลฎีกา สนามหลวง
ความเห็น
ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นในจอโทรทัศน์ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ทักษิณมีความคล่องแคล่วและกระฉับกระเฉง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งลงจากเครื่องบินมา ไม่ปรากฏอาการป่วยร้ายแรงแต่อย่างใด สภาพร่างกายน่าจะแข็งแรงกว่าบุคคลทั่วไปที่มีอายุกว่า 70 ปีขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ
2) ฉากทัศน์ที่ 2 จากศาลฎีกาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
เหตุการณ์
หลังจากทักษิณแสดงตนต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ทักษิณเดินทางจากศาลฎีกาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 11.30 น. ระหว่างอยู่ในเรือนจำ ทักษิณอ้างว่านอนไม่หลับ แน่นหน้าอก แพทย์ตรวจแล้ว พบความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ และมีรายงานประวัติการรักษาของผู้ป่วยโดยแพทย์จากโรงพยาบาลต่างประเทศ (สิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) พบมีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตามอาการ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง พังผืดในปอด กระดูกสันหลังสื่อม โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือโรคหัวใจ แพทย์อ้างว่า ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ จึงมีความเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตแก่ทักษิณซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว) ควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อชีวิต จะมีการส่งตัวรักษาให้ทันท่วงที ทักษิณเดินทางด้วยรถยนต์ออกจากเรือนจำเมื่อเวลา 23.59 น.
ความเห็น
ทักษิณเดินทางถึงเรือนจำโดยไม่ปรากฏความผิดปกติ ต่อมาไม่กี่ชั่วโมงทักษิณอ้างว่า นอนไม่หลับ ก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่ต้องมาติดคุกในเรือนจำเป็นเวลา 1 ปี ยิ่งทักษิณเป็นมหาเศรษฐีและเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน เมื่อมาพบกับสภาพการณ์เช่นนี้ก็ย่อมนอนไม่หลับเป็นธรรมดา ส่วนโรคที่ทักษิณรักษาอยู่ในต่างประเทศนั้น ก็เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างการรักษาและติดตามอาการ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับเรือนจำ เป็นโรงพยาบาลชนาดใหญ่ ย่อมมีศักยภาพพอที่จะตรวจรักษาและติดตามอาการในขณะนั้นได้ทันที ง่ายกว่าการเดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจซึ่อยู่ห่างออกไปประมาณ 22 กิโลเมตร และต้องใช้เวลาเดินทางร่วมครึ่งชั่วโมง อีกทั้งปรากฏต่อมาว่า เมื่อทักษิณออกจากเรือนจำในคืนเดียวกัน ไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลา 180 วัน ก็ไม่มีการตรวจรักษาโรคหัวใจซึ่งอ้างว่าต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษแต่ประการใด ข้อเท็จจริงจึงไม่น่าเชื่อว่า ทักษิณป่วยจนถึงขนาดต้องออกจากเรือนจำไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจภายหลังเดินทางมาถึงเรือนจำไม่เกิน 14 ชั่วโมง
3) ฉากทัศน์ที่ 3 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปโรงพยาบาลตำรวจ
เหตุการณ์
เรือนจำตัดสินใจส่งตัวทักษิณออกไปรักษานอกเรือนจำ เมื่อเวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ทักษิณถูกเคลื่อนย้ายด้วยเตียงเคลื่อนที่ (stretcher) จากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจ โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
ความเห็น
พฤติการณ์ของพยาบาลราชทัณฑ์ในการตรวจอาการของทักษิณ และใช้โทรศัพท์ปรึกษาแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวมทั้งการนำเอกสารการส่งตัวซึ่งแพทย์ได้ลงนามไว้ในเวลากลางวันมาใช้ส่งตัวทักษิณในเวลาเที่ยงคืนออกไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเรื่องผิดปกติ มีพิรุธ ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หลายคนซึ่งช่วยกันเข็นเตียงเคลื่อนที่เบิกความขัดแย้งกันหลายประการ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ป่วยอาการหนักที่จำเป็นต้องย้ายไปรักษาตัวนอกเรือนจำในยามวิกาลเช่นนี้
4) ฉากทัศน์ที่ 4 เมื่อเดินทางถึงโรงพยาบาลตำรวจ
เหตุการณ์
รถยนต์นำตัวทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 23.59 น. ถึงโรงพยาบาลตำรวจเวลา 00.20 น และนำตัวทักษิณไปที่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 14 (VIP ward) อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ที่มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ความเห็น
หากทักษิณป่วยจนถึงขั้นต้องออกจากเรือนจำไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจริง เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาลตำรวจ ทักษิณพึงถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน (ER) หรือ ICU เหมือนผู้ป่วยวิกฤติทั่วไป แต่กลับถูกนำขึ้นไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 14 (VIP ward) อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ที่มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า โดยไม่มีการตรวจประเมินเบื้องต้น เช่น X-ray, CT scan, MRI หรือการตรวจร่างกายฉุกเฉินโดยแพทย์ แต่ปรากฏว่ามีการตรวจ CT scan และ MRI ในอีก 10 ชั่วโมงต่อมา แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ทักษิณไม่ได้ป่วยด้วยโรคที่กล่าวอ้างจนถึงขั้นต้องรีบออกจากเรือนจำไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ
5) ฉากทัศน์ที่ 5 การรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจรวม 180 วัน
เหตุการณ์
ทักษิณเข้าโรงพยาบาลตำรวจตอนเช้ามืดวันที่ 23 สิงหาคม 2566 และออกจาหโรงพยาบาลในเช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 รวม 180 วัน (นับวันที่ 18 ด้วย)
ความเห็น
(1)ที่โรงพยาบาลตำรวจไม่มีการตรวจรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการป่วยของทักษิณ หากเป็นผู้ป่วยทั่วไป สามารถกลับไปได้ และเฝ้าระวังโรคประจำตัวคือ หัวใจ, ความดัน, พังผืดที่ปอด, กระดูกสันหลัง
(2) ทักษิณไม่ได้ใช้ยารักษาจากโรงพยาบาลตำรวจ แต่ใช้ยาที่ได้รับจากต่างประเทศเอง แสดงให้เห็นว่า ทักษิณไม่มีความจำเป็นที่ต้องมารักษาอยู่ในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลตำรวจ
(3) ระหว่างพักรักษา ทักษิณเข้ารับการผ่าตัดเล็ก 2 ครั้ง เกี่ยวกับศัลยกรรมกระดูก ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็ก และไม่เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยซึ่งทักษิณอ้างเป็นเหตุขอออกรักษานอกเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
(4) ทักษิณเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเอง ส่วนใหญ่เป็นค่าห้องพักชั้น 14 ราคาคืนละ 8,500 บาท เป็นเวลา 180 วัน คิดเป็นค่าห้องพัก 1.5 ล้านบาท ไม่พบค่ายา ผิดวิสัยของผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ
(5) ตามกฎกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการรักษาผู้ต้องขังนอกเรือนจำ จะต้องมีเจ้าพนักงานเรือนจำอย่างน้อยจำนวน 2 คน ควบคุมผู้ต้องขังป่วย 1 คน ต้องตรวจสอบและควบคุมการรับประทานอาหารให้เป็นไปตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ และจดบันทึกข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมและเวลาเข้าเยี่ยม แต่มีผู้เข้าเยี่ยมทักษิณเมและอยู่กับทักษิณป็นเวลานาน พบทักษิณใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น ไม่ได้ใส่ชุดผู้ป่วย และไม่พบผู้คุม กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่ามีการคุมขังทักษิณ
การคุมขังทักษิณที่ได้รับมาแล้วจึงไม่ครบ 6 เดือน อันจะเป็นเหตุให้เข้าเกณฑ์ข้อแรกที่จะพักการลงโทษจำคุกได้ การพักการลงโทษจำคุกส่วนที่เหลืออีก 6 เดือน และคุมความประพฤติไว้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อการพักการลงโทษและคุมความประพฤติไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทักษิณจึงไม่ได้ประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พ.ศ. 2567
6) ฉากทัศน์ที่ 6 หลังออกจาโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
เหตุการณ์
เช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ทักษิณได้รับการพักโทษและเดินทางออกจากโรงพยาบาลตำรวจ กลับบ้านจันทร์ส่องหล้าโดยสวมหน้ากากอนามัยและใส่เฝือกพยุงแขนและคอ
หลังจากนั้นไม่นาน ทักษิณใส่เฝือกอ่อนเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษที่เชียงใหม่ พร้อมกับครอบครัวชินวัตร และนัดหมายรับประทานอาหารเย็นกับคนสนิท ต่อมา ทักษิณเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2550 โดยมีผู้บริหารพรรค, สส.เก่า และ สส.ใหม่ ให้การต้อนรับ
ความเห็น
หลังจากได้รับการพักโทษและออกจากโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ไม่ปรากฏว่าทักษิณเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลใด และต่อมาอีกไม่นานก็สามารถเดินทางไปทำกิจกรรมในสถานที่ต่างๆ ทั้งในจังหวัดไกลๆ และในกรุงเทพมหานคร เจือสมกับเหตุการณ์ในโรงพยาบาลตำรวจที่ทักษิณไม่ได้ป่วยจนถึงขนาดต้องออกจากเรือนจำมารับการรักษา น่าเชื่อว่า ทักษิณแกล้งใส่เฝือกที่คอและแขนเพื่อตบตาสาธารณชน
7) กล่าวโดยสรุป
ผู้เขียนเห็นว่า การบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ ชิณวัตร ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาเมื่อคดีถึงที่สุด
หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีการจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ถูกต้องครบถ้วน ไม่ว่าทั้งหมดคือ 1 ปี หรือบางส่วน เช่น ขาดอีก 350 วัน ศาลฎีกาก็มีอำนาจออกหมายให้จำคุกนายทักษิณตามระยะเวลาที่ยังขาดอยู่ได้ หากนายทักษิณหลบหนี ไม่มาฟังคำสั่งในวันนัด ศาลฎีกาก็มีอำนาจออกหมายจับนายทักษิณมารับโทษตามหมายได้
วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
8/9/68"