รายงานพิเศษ
แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่า “นายกรัฐมนตรี” คนใหม่จะเป็นใคร หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ต้องนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวต่อรองของกลุ่มการเมืองต่างๆ
กระทรวงอุตสาหกรรม มีบทบาทอย่างมากในการจัดการกับปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมา จนได้รับการยอมรับจากหลายวงการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ว่า เป็นช่วงที่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวหน้ามากที่สุดในรอบหลายสิบปี
“การทำงานของชุดปฏิบัติการสุดซอยที่เข้าไปตรวจสอบโรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสียแทบจะทุกวัน ทำให้เจอปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวกับบทบาท “การกำกับดูแลโรงงาน” ของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงอุตสาหกรรม”
ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความของผู้เสียหายจากโรงงานวิน โพรเสส จ.ระยอง และอีกหลายโรงงาน พูดถึงหนึ่งในหน่วยสำคัญที่ถูกตั้งขึ้นมาทำงาน ที่เรียกว่า “ชุดปฏิบัติการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม” ซึ่งเป็นทีมเคลื่อนที่เร็ว ที่ทำหน้าที่ลงไปตรวจสอบโรงงานกลุ่มรับกำจัด บำบัดของเสีย โรงงานรีไซเคิล ซึ่งรวมถึงกลุ่มโรงงานทุนจีนอย่างรวดเร็วหลังได้รับข้อมูลการกระทำความผิด และยังทำให้กลไกการกำกับดูแลโรงงานของกระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงอุตสาหกรรมจังหวัดต่างๆ กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์มายาวนานกว่า 10 ปี ว่าเป็นกลไกที่ไม่เคยปกป้องผู้ได้รับผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมได้เลย
ทนายชำนัญ ย้ำด้วยว่า เมื่อทีมสุดซอยลงไปสัมผัสกับปัญหาอย่างจริงจัง เริ่มมีการตรวจสอบในเชิงลึกเพื่อจะค้นหาช่องทางที่ผู้ประกอบการใช้ในการละเมิดกฎหมาย ก็ยิ่งพบข้อมูลที่เกี่ยวโยงมาถึงระบบราชการในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปัญหามันมีอยู่มาก แต่ในยุคก่อนนี้ไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาแก้ไขอย่างจริงจัง
“จากการติดตามและร่วมในบางงานกับชุดปฏิบัติการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้เราตรวจสอบพบว่า มีทั้งข้าราชการและนักการเมืองบางกลุ่ม เป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนมหาศาลอยู่ในวงการกำจัดกากอุตสาหกรรม ซึ่งอาจเป็นกลุ่มที่ต้องการอาศัยจังหวะทางการเมืองเข้ามาบริหารกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้”
“ดังนั้น จึงฝากถึงนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ในการเลือก “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม” ให้คำนึงถึงประเด็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ด้วย อย่าให้ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นไปตามระบบโควตาเท่านั้น”
ในเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และยังไม่รู้ว่าใครจะมานั่งในตำแหน่งวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนต่อไป ทนายชำนัญ ในฐานะทนายความของผู้เสียหายจากการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ จึงขอเสนอให้ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องพยายามเดินหน้าตามกลไกที่เคยทำไว้ในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมา เพราะฝ่ายราชการมีความรู้และมีอำนาจที่สามารถทำงานได้อยู่แล้ว และจะกลายเป็นแรงผลักดันให้รัฐมนตรีอุตสาหกรรมคนต่อไปต้องเดินตามแนวทางนี้เช่นกัน
“ในอดีตมีภาพลักษณ์ที่ประชาชนจดจำกันไปว่า เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมเข้าข้างโรงงาน ไม่เห็นความเดือดร้อนของประชาชน ... ซึ่งภาพลักษณ์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปจากการทำงานของทีมสุดซอย”
“สิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรม และทีมสุดซอยในช่วงที่ผ่านมาทำไว้ คือการประสานและเปิดทางให้กลไกที่มีอยู่แล้วของฝ่ายราชการกลับมาทำงานได้ตามปกติอย่างที่ควรจะเป็นมานานแล้ว ด้วยการทำให้ข้าราชการไม่ต้องมีความกังวลกับการปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลโรงงานกลุ่มนี้ให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะทำตามนโยบายของฝ่ายการเมือง” ทนายชำนัญ อธิบายเพิ่ม
ส่วนข้อเสนอถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ทนายชำนัญ เห็นว่า รัฐมนตรีของทุกกระทรวงในรัฐบาลชุดใหม่น่าจะถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขเวลาทางการเมืองที่ทำให้จะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานนัก จึงคาดหวังที่จะเห็นทิศทางนโยบายในระยาวได้ยาก ดังนั้นจึงขอให้ช่วยผลักดันสิ่งที่ค้างอยู่ในท่อจากรัฐมนตรีคนก่อนให้เป็นผลสำเร็จ
“รัฐมนตรีอุตสาหกรรมคนต่อไป ควรผลักดันให้ “ร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม” ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะปฏิรูปวงการจัดการกากอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ที่สุด ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และถูกนำไปพิจารณาในสภาโดยเร็ว เพราะหากล่วงเลยไปจนยุบสภา ก็คงจะต้องค้างท่อไปอีกนาน ซึ่งจะถือเป็นการเสียโอกาสครั้งใหญ่ของประเทศไทยในการจัดการปัญหานี้ในเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง” ทนายชำนัญ ทิ้งท้าย