กระทรวงการต่างประเทศยังคงตีมึนแถลงอ้างข้อดีของ MOU 43 สวนทางความจริงที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ผล เพราะเขมรละเมิดมาตลอด 25 ปี ไทยประท้วง 600 กว่าครั้งก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ต้องรบกัน ทหารและประชาชนต้องสังเวยชีวิต แต่กระนั้นทั้งนักการเมือง ขรก. ทหารบางส่วนก็ยังกอด MOU 43 ไว้แน่น ซึ่งเชื่อมโยงกับ MOU 44 ที่มีเบื้องหลังคือผลประโยชน์ด้านพลังงานมูลค่ามหาศาล
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MOU43) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ยืนยันว่าไทยได้เปรียบ เพราะเป็นกรอบและกลไกสำรวจเขตแดน โดยยึดตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และปี 1907 โดย MOU 43 เป็นที่มาของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีหน้าที่จัดทำแผนแม่บท กำหนดอำนาจหน้าที่ และมอบหมายคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค (JTSC) ลงพื้นที่ตรวจสอบหลักเขตแดนทั้ง 74 หลัก ก่อนทำแผนที่ที่ต้องผ่านรัฐสภา
นายเบญจมินทร์ยังอ้างว่า MOU 43 ยังเป็นกลไกห้ามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนสภาพพื้นที่เอง และกำหนดให้ทั้งสองประเทศร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อความปลอดภัยก่อนสำรวจ แม้ยกเลิก MOU 43 ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส และแผนที่ 1:200,000 ได้ หรือถ้าจะยกเลิกไป ก็ต้องกลับไปใช้เอกสารทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมไว้ใน MOU 43 หรือเป็นการกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตามกลไกที่มีอยู่
พร้อมอ้างอีกว่า เขายังเผยว่าหลังการประชุม JBC เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ JTSC เริ่มสำรวจแล้ว 29 หลักจากทั้งหมด 74 หลัก ซึ่งพิสูจน์ว่ากลไกตาม MOU 43 ใช้งานได้จริงและกำลังดำเนินการอยู่
นายสนธิกล่าวว่า ในอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเป็นคนเก่งและกล้าหาญ พยายามรักษาผลประโยชน์ชาติเต็มที่ แต่มาในช่วงหลายสิบปีหลังนี้ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้ว ว่าทุกวันนี้คนในกระทรวงการต่างประเทศนั้นเหลือแต่ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน หรือพวกผู้ลากมากดี นามสกุลใหญ่โต เส้นสายยุบยับ วันๆ ต้อนรับแขกต่างชาติ ชนแก้วไวน์หรือเปล่า?
“เพราะทุกวันนี้ สิ่งที่ผมและประชาชนคนไทย 70 ล้านคน โลกแห่งความเป็นจริงของพรมแดนไทยกับกัมพูชาภายใต้ MOU 43 มันช่างแตกต่างกับที่ คุณเบญจมินทร์ อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ พูดถึงอย่างสิ้นเชิง เพราะอะไร”
ประการแรก MOU 43 ที่อ้างว่ามีข้อดีมากกว่าข้อเสีย การเจรจากำลังคืบหน้า การปักปันเขตแดนโดย JTSC กำลังดำเนินการอยู่นั้น เหมือนเดินอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เพราะในความเป็นจริงนั้น ทหารไทยต้องสละชีพ เสียเลือดเสียเนื้อไปกี่นาย พิการเหยียบกับระเบิดขาขาด ได้รับบาดเจ็บตาเกือบบอดเป็นร้อยๆ นาย อธิปไตยของไทยต้องถูกรุกล้ำไปกี่จุด เสียพื้นที่ไปกี่ตารางกิโลเมตร ชาวบ้านต้องสูญเสียที่ดินทำกินไปกี่ครัวเรือน จนเขาทนไม่ไหวเห็นทหารเขมรใช้ชาวบ้านมาประท้วงรื้อรั้วลวดหนาม ชาวบ้านคนไทยก็เลยต้องออกมาบ้าง
นอกจากนี้หลักเขตแดนที่เคยทำไว้ตามสนธิสัญญาเขมรฝรั่งเศส กัมพูชาก็พยายามทุบทำลาย กระทรวงการต่างประเทศ-กองทัพไทย ส่งจดหมายประท้วงว่าเขมรละเมิด MOU ไปแล้วกี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้ง แล้วทำอะไรได้ มีประโยชน์ไหม?
สถานการณ์มาถึงจุดนี้แล้วพวกคุณ ผู้บริหาร ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ โดยเฉพาะอธิบดีกรมสนธิสัญญา เบญจมินทร์ กับอธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นิกรเดช พลางกูร ก็ยังกอด MOU 43 ออกมานั่งปกป้องแผ่นกระดาษที่เขมรฉีกทิ้งไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ???
ประการต่อมา ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่ออกมาแย้งความเห็นของอธิบดีกรมสนธิสัญญาที่ขัดกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์อย่างนายมนตรี ลิมปพยอม ก็ออกมาชำแหละเนื้อหาในการแถลงข่าวของอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ เป็นข้อๆ เช่นกัน ดังนี้
1. เรื่องแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ในระหว่างการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก พ.ศ. 2503-2505 กระทรวงการต่างประเทศและทีมทนายความของไทย ต่างต่อสู้ว่าแผนที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 และอย่างน้อยผู้พิพากษา 3 ท่านใน 9 ท่าน เห็นด้วยกับคําโต้แย้งของไทย ศาลโลกเองก็ไม่มีอํานาจตัดสินเรื่องเขตแดนและในที่สุดตั้งแต่นั้นมาเราไม่เคยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 แต่อย่างใด
แต่การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ควรอธิบายว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สมัยไหนและนําไปใช้กับประเทศใด นอกจากที่นํามาใช้เป็นพื้นฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา และการนํามาใช้นั้นได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยหรือไม่ เพราะแผนที่ 1 : 200,000 นั้นไม่ลงรอยกับสภาพภูมิศาสตร์อันแท้จริงและขัดต่อข้อบทในอนุสัญญา ค.ศ.1904 โดยเฉพาะ “สันปันน้ำบนเทือกเขาพนมดงรัก” ที่กําหนดให้เป็นเส้นเขตแดน โดยมีตัวอย่างความไม่ลงรอยของแผนที่ เช่น กรณีปราสาทพระวิหารและภูมะเขือ เป็นต้น
2. แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 นั้นคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดแรกได้มอบหมายให้ฝ่ายฝรั่งเศสไปทําแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จํานวน 11 ระวาง และเมื่อพิมพ์เสร็จแล้วจะต้องนําแผนที่เข้าที่ประชุมของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเสียก่อน แต่ปรากฏว่าแผนที่ทั้ง 11 ระวางไม่เคยเข้าที่ประชุม จึงไม่ถือว่าเป็นผลงานคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ
นอกจากนี้ แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ต่อเนื่องจากคณะกรรมการปักปันชุดแรกอีก 5 ระวาง มีบันทึกวาจาโครงร่างแผนที่มาตราส่วน 1:1,000-10,000 กํากับทีละหลักเขตเพื่อใช้เป็นหลักฐานการถูกเคลื่อนย้ายสูญหายหรือการถูกทําลาย รายงานการประชุมระบุว่าจะต้องลงตําแหน่งเครื่องหมายแสดงหลักเขตบนแผนที่ด้วย และเมื่อพิมพ์แผนที่เสร็จ จะต้องนําเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ปรากฏว่าแผนที่ 5 ระวางเมื่อพิมพ์เสร็จไม่ปรากฏเครื่องหมายแสดงตําแหน่งหลักเขตทั้ง 74 หลักและไม่ได้เข้าที่ประชุม
ดังนั้น แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 จึงเป็น “แผนที่เก๊” ไม่ถูกต้อง และประเทศไทยไม่ยอมรับมาตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร
3. การทำงานของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค หรือ JTSC ตาม MOU43 ที่อ้างว่าจะผลิตแผนที่ที่ไทย-กัมพูชาสามารถนํามาใช้ร่วมกันได้จริง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แต่ในความเป็นจริง JTSC ได้ร่วมกันกับฝ่ายกัมพูชาไปสร้างเส้นเขตแดน 2 เส้น ตลอดแนวพรมแดนเพราะยืนยันด้วยหลักฐานคนละอย่าง เช่น แผนที่คนละฉบับ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นบริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ดฝ่ายกัมพูชาปักหลักแดงฝ่ายไทยปักหลักน้ำเงิน
การทำเช่นนี้ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน สงคราม 5 วันก็มีสาเหตุมาจากการดําเนินงานของ JTSC อันมาจาก TOR46 และ MOU43 รวมถึงทีมสํารวจที่ร่วมกับกรมแผนที่ทหารบกของไทย จนก่อให้เกิดการแสดงสิทธิ์แต่ละฝ่ายที่จะต้องจัดกําลังร่วมลาดตระเวนและดูร่วมกัน เช่น ที่ปราสาทตาเมือนธม และที่ปราสาทตาควาย JTSC ก็ไปขีดเส้นเขตแดนผ่ากลางตัวปราสาท และในวันนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ครอบครองปราสาทตาควายอย่างสมบูรณ์ โดยที่ JBC หรือกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ทําการประท้วง
4. ที่อ้างว่า MOU 43 กําหนดให้ทั้งไทยและกัมพูชาจะต้องงดเว้นการดําเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการสํารวจเขตแดน เช่น การไม่ขุดคูเลท หรือการไม่ควรมีทหาร เป็นต้น และหากเกิดปัญหาการตีความการบังคับใช้ MOU ต่อพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะต้องมาเจรจากันตามที่ MOU กําหนดไว้ โดยไม่ได้มีการระบุให้บุคคลที่ 3 หน่วยงานที่ 3 หรือหลีกเลี่ยงไปหากลไกอื่นมาร่วมแก้ปัญหา เรื่องนี้ประชาชนที่ใส่ใจเขารับทราบมาโดยตลอดว่ามันล้มเหลว จนเกิดสงคราม 5 วัน การไม่กระทําการใดๆ คือปัญหา การเอาแต่ประท้วงไม่เคยได้ผล
5. ที่อ้างว่า ถ้ายกเลิก MOU 43 ก็ไม่สามารถหนีข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 ได้ เพราะถือเป็นแม่บทกําหนดรายละเอียดไว้ และไม่สามารถหนีแผนที่ 1:200,000 ได้ และถ้าจะยกเลิกไป ก็ต้องกลับไปใช้เอกสารทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมไว้ใน MOU43 หรือเป็นการกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตามกลไกที่มีอยู่
เรื่องนี้ต้องย้อนไปที่แผนที่ 1:200,000 ที่เราไม่ยอมรับตั้งแต่ตอนสู้คดีปราสาทพระวิหาร เพราะมิได้เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน แถมมีสภาพ แท้ง เก๊ ไม่ถูกต้อง แต่เรายังใช้รายงานการประชุม บันทึกวาจาโครงร่างแผนที่มาตราส่วน 1:1,000-10,000 กํากับทีละหลักเขตได้ รวมทั้ง ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายดาวเทียมหรือไลดาร์ก็ล้วนแล้วแต่นํามาใช้ในการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนได้ แต่ต้องยึดหลักประวัติศาสตร์ พื้นที่ และเป้าประสงค์ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนที่มีอยู่ในรายงานการประชุมด้วย
สรุป คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศผ่านนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญา นอกจากจะไม่ได้ช่วยดับไฟ หรือสร้างความกระจ่างให้กับสังคม แต่กลับเป็นเหมือนการราดน้ำมันเข้ากองเพลิง เพราะยิ่งอธิบายมากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างคำถามใหม่ๆ ให้กับประชาชนคนไทยมากขึ้นเท่านั้น
เบื้องหลัง กต.-นักการเมือง-ทหาร กอด MOU 43-MOU 44
สำหรับ MOU 2543 นั้นมีมาตั้งแต่ยุคสมัยของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ คือยุคนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ส่วนบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป หรือ MOU 2544 นั้นมีมาตั้งแต่ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยของนายทักษิณ ชินวัตร
MOU ทั้งสองฉบับนี้ตั้งแต่ฝ่ายไทยลงนามกับกัมพูชา ผ่านมาแล้ว 24 ปี กับ 9 นายกรัฐมนตรี ไล่ตั้งแต่ ชวน หลีกภัย ทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประยุทธ์ จันทร์โอชา เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยไม่ได้อะไรเลย มีแต่เสียไปเรื่อยๆ เสียพื้นที่ด้วยสาเหตุที่ MOU เหล่านี้ยึดเอาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เราก็เสียให้เขมรไปทีละจุดๆ เสียตั้งแต่ทางบก เรื่อยไปจนถึงทางทะเลรอบเกาะกูด ไล่ไปจนถึงอาณาเขต และพื้นที่ทางทะเลที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ มีพระบรมราชโองการประกาศเส้นอาณาเขตทางทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ. 2547 ก็พระราชทาน ส.ค.ส.เป็นแผนที่ประเทศไทยทั้งทางบกและทางทะเล โดยระบุถึงอาณาเขตของประเทศไทยที่ชัดเจน อันสอดคล้องกับแผนที่ตามพระบรมราชโองการเมื่อปี 2516
แต่ที่น่าเศร้าอย่างยิ่งก็คือ ไม่ว่าจะนักการเมือง ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ไปจนถึงกองทัพ และแม่ทัพเกือบทุกยุคทุกสมัย ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมา แม้มือพนม ปากบอกว่า “รับด้วยเกล้า” แต่ไม่เคยใส่ใจพระบรมราชโองการ และเคยคิดที่จะนำมาปฏิบัติแม้สักนิด
กลับพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าใน “พื้นที่ทางทะเลของไทยในอ่าวไทย” นั้นทับซ้อนกับ “พื้นที่ทางทะเลของกัมพูชา” อยู่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร จึงต้องดำเนินการเจรจากัน โดย MOU 2543 และ MOU 2544 นั้นมีจุดเชื่อมโยงกันตรงที่หลักเขตแดนที่ 73 ซึ่งตั้งอยู่ ณ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมา นอกจากบรรดานักการเมือง ข้าราชการ และทหารที่ดูแลเรื่องนี้จะไม่ยึดถือพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้ว ยังปล่อยให้มีการทุบทำลายหลักเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส ที่ปักปันไว้อย่างสมบูรณ์แล้วตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
ทั้งๆ ที่หลักเขตแดนทั้งหมด 74 แท่งนั้นเป็นประจักษ์พยานชิ้นสำคัญในการปักปันเขตแดนที่ดีที่สุด เพราะได้รับการยอมรับจากทั้งฝั่งไทย ฝรั่งเศส และกัมพูชา และมีความสำคัญยิ่งกว่าการยึดเอาอัตราแผนที่ 1 : 200000 หรือ 1 : 50000 มาเจรจากันเสียด้วยซ้ำ เพราะ หลักเขตทั้ง 74 หลัก (ที่ว่าหลักเขตมีทั้งหมด 74 หลักเขตนั้นก็เป็นเพราะหลักเขตที่ 22 และ 22B มี 2 หลักเขตติดต่อกัน) นั้นคือ หลักฐานชิ้นสำคัญแบบจับต้องได้ 1 : 1 ถึงการปักปันเขตแดนที่เสร็จสิ้นไปแล้วอย่างสมบูรณ์
การที่นักการเมือง ข้าราชการ และทหารบางส่วนกลับออกมาปกป้อง MOU 2543 และ MOU 2544 นี้มาตลอด โดยอ้างว่ามีดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จึงมีข้อน่าสงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้?
เกือบสามสิบปีที่แล้ว ช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายชวน หลีกภัย ตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งตั้งแต่ปี 2540 เรื่อยมาจนถึงปี 2543 ตอนนั้นฝรั่งต่างเข้ามารุมทึ้งประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น World Bank, IMF, กองทุนอีแร้งทั้งหลาย รวมถึงตัวละครสำคัญก็คือ บริษัทพลังงานทั้งหลายด้วย
เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หนังสือ “เปลือยธารินทร์” โดย “พายัพ วณาสุวรรณ” เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ ถึงการเปิดประตูให้ฝรั่งเข้ามาครอบงำและขูดรีดเอากำไรจากระบบเศรษฐกิจไทย
ในช่วงนั้นพวกวาณิชธนกิจ หรือ Investment Banker เข้ามาเต็มประเทศไทย ซึ่งพวกนี้จริงๆ ในการทำงานก็จะมีเครือข่ายธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการเงิน, รถยนต์, โทรคมนาคม, เทคโนโลยี, อาวุธ-การป้องกันประเทศ รวมไปถึงอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง “อุตสาหกรรมพลังงาน” ด้วย
นโยบายของบรรดาบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในโลกไม่ว่าจะเป็น อารามโกของซาอุฯ, Exxon ของอเมริกา, เชฟรอนของอเมริกา, เชลล์ของอังกฤษ, โททาลของฝรั่งเศส, เปโตรไชนาของจีน พวกนี้จะมีการวางยุทธศาสตร์ ทั้งระยะสั้น, ระยะกลาง และระยะยาว
อย่างกรณีแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา นี้เห็นได้ชัดว่าเป็น “โปรเจกต์ระยะยาว” ของบริษัทพลังงานระดับโลก เพราะมีเรื่องให้ต้องเคลียร์ยุบยับไปหมดเลย ทั้งเรื่องการเมืองภายใน, การเมืองระหว่างประเทศ, ความมั่นคง, ภูมิรัฐศาสตร์ ฯลฯ แต่ก็คุ้มเพราะเมื่อสำรวจแล้วน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท
พวกนี้มีความเคยชินกับการสำรวจแหล่งพลังงานทั่วโลก เมื่อมันรู้แล้วว่าในอ่าวไทยซึ่งไทยกับกัมพูชาต่างเคลม ก็เล็งเอาไว้แล้ว และวางแผนให้มีการทับซ้อน และทะเลาะกัน ไม่ให้เป็นของฝ่ายไทยฝ่ายเดียว ก็พยายามดึงฝั่งเขมรเข้ามาเอี่ยวด้วย เนื่องจากผลประโยชน์มหาศาล บริษัทพลังงานพวกนี้สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกวงการไม่ว่าจะเป็น นักการเมือง นักการทูต ทหาร ทุกองคาพยพ เพื่อชักจูงให้เห็นด้วยกับมันและเดินตามเส้นที่มันขีดเอาไว้
ด้วยเหตุนี้เอง การจะทำให้เกิดความวุ่นวาย ก็ต้องกวนน้ำให้ขุ่น ทำให้เรื่องทุกอย่างมันคลุมเครือเข้าไว้ คือ การหยิบเอาแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เข้ามาใช้, ไม่ใช่แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ที่ใช้กันเป็นสากล
เมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดนี้แล้ว ผ่านมา 24-25 ปีแล้ว ผ่านมาแล้วตั้ง 9 รัฐบาล 9 นายกฯ แต่บันทึกความเข้าใจเพื่อแก้ปัญหาเขตแดนทั้งทางบก และทางทะเลอย่าง MOU 2543 และ 2544 กลับไม่ได้ช่วยให้การแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย แต่กลับสร้างความขัดแย้งให้เพิ่มขึ้น
จุดแตกหักคือ เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง มีการสูญเสียทหารไทยสูญเสียไปหลายสิบนาย บาดเจ็บอีกเป็นร้อย ส่วนฝ่ายกัมพูชาแม้จะพยายามปิดข่าวอ้างว่ามีทหารตายแค่ 5 นาย แต่จริงๆ แล้วก็เป็นที่รับทราบว่าตายจริงๆ หลายพันนาย
ยังไม่นับรวมกับการรุกล้ำดินแดน การสูญเสียอธิปไตย ชาวบ้านไม่สามารถทำกินได้จากการถูกรุกล้ำที่ดิน ส่วนประเทศชาติ ทหารและประชาชนก็ต้องมาระดมสรรพกำลังเพื่อลุกขึ้นสู้กับอริราชศัตรู แต่ทำไม นักการเมืองที่เป็นรัฐบาลอยู่ ณ เวลานี้, ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงแม่ทัพ และทหารบางส่วนโดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นสายตรงบูรพาพยัคฆ์ กลับยังกอด MOU 2543 และ 2544 เอาไว้แน่นแบบไม่ยอมปล่อย และพยายามสร้างความซับซ้อนด้วยการเจรจาในเวทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น JBC, GBC, RBC โดยอ้าง MOU ซึ่งตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า “เขมรมันไม่ทำตามหรอก” จะประท้วงล้านรอบให้กระดาษหมดโลกมันก็ไม่ทำตาม MOU
"เพราะฉะนั้นผมถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องเลิกใช้ไม้อ่อน ถึงเวลาฉีก MOU ทั้งสองฉบับทิ้ง บอกเลิกมันเสีย มันเป็นแค่ MOU, Memorandum Of Understanding หรือบันทึกความเข้าใจ ไม่ใช่ “สนธิสัญญา” ที่มีข้อตกลงผูกมัดทั้งสองฝ่าย ถ้าเราเห็นว่าไม่เข้าใจกันก็เลิก ก็แค่นั้น
"และในอนาคต ต้องใช้วิธีการอื่น ยุทธวิธีอื่น โดยไม่ได้ละทิ้งการเจรจา แต่ก็ต้องไม่จำกัด หรือผูกมัด การใช้กำลังหรือกำปั้นเข้าสู้ เพราะเราเหนือกว่าอยู่แล้ว อย่าอ้างตะพึดตะพือว่า เดี๋ยวเกิดความรุนแรง-เกิดสงคราม แล้วเราจะถูกลากไป UN ไปศาลโลก เพราะเราไม่รับอำนาจศาลโลกอยู่แล้ว และกัมพูชาก็พยายามนำเรื่องนี้เข้าไปในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแต่ก็ถูกปัดตกไปแล้ว
“วันนี้หน้ากากจอมปลอมของพวกคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการเมือง ทุคยุคทุกสมัย ข้าราชการทุกหน่วยงาน ทหาร ที่ดันทุรัง รวมถึงทหารที่หมกเม็ดประโยชน์และปัญหาต่างๆ บริเวณชายแดนเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซุกซ่อนเรื่องคอขาดบาดตาย การสูญเสียอธิปไตย และการรุกล้ำดินแดน วันนี้ประชาชนเขารู้ทันคุณกันหมดแล้ว อย่าเดินหน้าขายชาติกันอีกต่อไปเลย เพราะประชาชนเขาตื่นรู้และเขาไม่ยอมพวกคุณอีกต่อไป” นายสนธิกล่าว