รายงานพิเศษ
“ร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ผ่านขั้นตอนต่างๆจากกระทรวงไปหมดแล้ว อยู่ระหว่างรอเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีครับ แต่ที่ยังเสนอไม่ได้เป็นเพราะติดขั้นตอนทางเทคนิคอยู่ที่กระทรวงการคลัง ซึ่งจริงๆ แล้ว เราคาดว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์ก็น่าจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีได้”
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานที่คณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีอุตสาหกรรม อธิบายถึงสถานะล่าสุดของการเสนอร่างกฎหมายที่จะมาเปลี่ยนแปลงกลไกการกำกับดูแลโรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor) ที่มีโรงงานจำนวนมากในกลุ่มนี้สร้างความเสียหายต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่มาตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เขาเคยบอกว่า ลงมือร่างตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงที่มีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดการกากอุตสาหกรรม มีสาระสำคัญคือ หากมีผลบังคับใช้ โรงงานทุกแห่งที่มีลักษณะการประกอบกิจการในกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย ไม่ว่าจะเป็น การคัดแยกขยะ การรีไซเคิลทุกรูปแบบ หลุมฝังกลบทั้งของเสียอันตรายและไม่อันตราย รวมไปถึงเตาเผาขยะ จะต้องถูกย้ายมาอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ฉบับนี้ ซึ่งจะทำให้มีกฎเกณฑ์ต่างๆในการประกอบกิจการโรงงานกลุ่มนี้ที่เข้มข้นขึ้นมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน การขอประกอบกิจการโรงงาน การวางหลักค้ำประกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ไปจนถึงมาตรการการกำกับดูแลและการลงโทษที่จะต่างออกไปจาก พ.ร.บ.โรงงาน ปี 2562 ที่มีขั้นตอนต่างไม่ยุ่งยากเพราะต้องการส่งเสริมการลงทุน
“ในปัจจุบัน โรงงานทั้ง 2 กลุ่ม อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันครับ คือ พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งถ้ากระทรวงอุตสาหกรรมใช้มาตรฐานเดิมในการออกใบอนุญาตหรือติดตามตรวจสอบโรงงาน ก็จะถูกมองว่า “เบาเกินไป” สำหรับโรงงานกลุ่มรับกำจัดบำบัดของเสีย ที่มีปัญหามาตลอด แต่ถ้าเราใช้มาตรฐานที่ไปเข้มงวดมาก ก็จะถูกสะท้อนจากโรงงานทั่วไปอีกว่า “ยุ่งยากเกินไป” และจะไปกระทบกับการตัดสินใจลงทุน ... ดังนั้น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากโรงงานกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะสร้างผลกระทบมาก เราจึงต้องแยกโรงงาน 2 กลุ่มนี้ออกจากกันไปอยู่ภายใต้กฎหมายคนละฉบับ คล้ายๆกับการแบ่งเป็น Good Boy กับ Bad Boy” อรรถวิชช์ กล่าวไว้เมื่อเดือนมกราคม ปี 2568 ในงานเสวนาที่เขานำเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก และมีเสียงตอบรับไปในทิศทางบวกจากกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กับปัญหากากลักอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ นักกฎหมายสิ่งแวดล้อม อดีตข้าราชการ รวมไปถึงองค์กรพัฒนาเอกชน
แต่ในเมื่อมีคำสังจากศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ทำให้สถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงทันที และมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งหมดพ้นสภาพไปด้วยเช่นเดียวกัน ... จึงมีคำถามว่า ร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม จะได้ไปต่อในรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่
“สถานะก็คือ ร่างกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรม มันผ่านขั้นตอนการเวียนหนังสือภายในกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่อ่อนไหวที่สุด ยากที่สุดไปแล้วครับ แต่ที่ยังติดอยู่นิดเดียวในเบื้องหลังก็คือ กฎหมายนี้ต้องการให้มี “กองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน” เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้มีเงินช่วยจัดการกับกากของเสียอันตรายที่ถูกนำมาลักลอบทิ้งออกไปก่อน เพื่อช่วยลดผลกระทบที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมและประชาชนได้ก่อนในระหว่างขั้นตอนการดำเนินคดีหรือขั้นตอนบังคับคดีกับโรงงาน แต่การจะตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืนได้ จะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการทุนหมุนเวียน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ระหว่างรอการประชุม และเชื่อว่าอีกประมาณ 2 สัปดาห์น่าจะนำเข้าที่ประชุม ครม.ได้ .... แต่เมื่อกำลังมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี ก็ต้องรอดูสถานการณ์ในช่วงนี้ต่อไป” อรรถวิชช์ อธิบายสถานะล่าสุดของร่างกฎหมายฉบับนี้
แน่นอนว่า เมื่อตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” กำลังจะเปลี่ยนผ่านในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากจนอาจไปถึงขั้นการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งข้อต่อรองในการรวบรวมจำนวน ส.ส.จากพรรคการเมืองหรือกลุ่มย่อยต่างๆ ย่อมส่งผลต่อการพิจารณาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีไปด้วย จึงยังไม่รู้ว่า “รัฐมนตรีอุตสาหกรรม” คนต่อไป จะเป็นใคร
ในฐานะผู้ที่ดำเนินการร่างและพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ให้เป็นกฎหมายใหม่ในการแก้ปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในประเทศไทย อรรถวิชช์ จึงหวังว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะยังคงเห็นความสำคัญที่จะต้องมีกฎหมายฉบับนี้ และช่วยผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป
“อยากให้ช่วยดันไปต่อครับ เพราะร่างกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรม ถือเป็นการปฏิรูประบบการจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ เป็นการปัดกวาดปัญหานี้ครั้งใหญ่ของประเทศไทยครับ ถ้ากฎหมายมีผลบังคับใช้จะช่วยในการจัดการกากอตสาหกรรมได้ทุกรูปแบบ ทั้งจากตัวรงงาน จากระบบราชการแบบเดิมที่มีช่องว่างทำให้เกิดการรั่วไหล นี่เป็นกฎหมายที่ศึกษามานานและเริ่มทำทันทีตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน ถ้ามันตกไปก็คงจะน่าเสียดายและเสียโอกาสของประเทศไป” อรรถวิชช์ ฝากถึงนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำลังผลักดันให้เป็นกฎหมายใหม่ ยังมี ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ อีก 1 ฉบับ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเข้าไปรอลุ้นอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว