นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงจุดยืนชัดเจนว่า MOU 43 ควรถูกยกเลิก โดยให้เหตุผลว่าอนุสัญญาและสนธิสัญญาต่างๆ มีอายุเวลาในการบังคับใช้ และการที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงตาม MOU 43 กว่า 600 ครั้ง ทำให้เกิดความขัดแย้งและกลายเป็นชนวนสงคราม จึงเข้าข่ายที่ฝ่ายไทยสามารถบอกเลิกได้แต่เพียงฝ่ายเดียวตามกฎหมาย พร้อมทั้งยืนยันว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่าพื้นที่ "บ้านหนองจาน" เป็นของไทย และการที่กัมพูชาเข้ามาก่อความวุ่นวายถือเป็นการรุกล้ำอธิปไตย
จากกรณีปัญหาเรื่อง “เอ็มโอยู” หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา ในกรณีเอ็มโอยู 43-44 ที่มีเสียงให้ยกเลิกดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลกลับมีท่าทีชัดเจนเช่นกันว่า “ไม่ต้องการยกเลิก” โดยอ้างว่าทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาปัญหาร่วมกันได้ ทั้งปัญหาเขตแดน รวมไปถึงเรื่องกู้ทุ่นระเบิด เป็นการบีบให้กัมพูชาต้องยอมรับการเจรจาแบบทวิภาคีหรือสองฝ่ายโดยไม่มีประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm ในประเด็น สิ่งที่ควรรู้ เกี่ยวกับ MOU43 โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
"อนุสัญญา, สนธิสัญญาคือหลักฐานชั้นต้น รายงานการประชุมจากกรรมการปักปัน คือหลักฐานชั้นรอง บันทึกวาจา แผนที่กำกับหลักเขตและแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 คือหลักฐานชัั้นสาม เรียนประวัติศาสตร์มาต้องจัดชั้นหลักฐานให้เป็นจึงจะเข้าใจนะครับว่าจะใช้อ้างอิงได้อย่างไร
ดังนั้น ข้อบทในอนุสัญญาและสนธิสัญญาจึงสำคัญกว่ารายงานการประชุมของกรรมการปักปัน บันทึกวาจาแผนที่กำกับหลักเขต และแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในแต่ละชั้นของหลักฐานต้องถูกตรวจสอบตามวิธีทางประวัติศาสตร์ สังเคราะห์ วิเคราะห์ เข้าใจ เวลา สถานที่บริบทสังคม วัฒนธรรม ศาสนาและการเมือง รวมถึงกฎหมายที่ใช้เป็นพื้นฐาน
อนึ่ง อนุสัญญา, สนธิสัญญาใดๆ แม้เป็นหลักฐานชั้นต้นก็มีอายุเวลาคือการก่อกำเนิด การนำไปใช้เป็นผลและการสิ้นสุดลงตามยุคสมัย ถ้าเข้าใจเรื่องนี้การเรียนประวัติศาสตร์มาก็สัมฤทธิผลใช้ประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยและสามารถโต้แย้งได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ดังนั้น การยกเลิก MOU 43 ก็ทำได้และบอกเลิกได้โดยฝ่ายเดียวตามสนธิสัญญาเวียนนา พ.ศ. 2512 ที่ว่ารัฐภาคีคู่สัญญาละเมิดข้อตกลงตามข้อบทที่ห้าของ MOU 43 กว่า 600 ครั้งจนก่อให้เกิดความขัดแย้งกลายเป็นชนวนเหตุแห่งสงคราม 5 วัน"
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (27 ส.ค.) นายเทพมนตรีได้ออกมาโพสต์ข้อความอีกครั้ง เกี่ยวกับความจริงของบ้านหนองจาน หลังมีชาวกัมพูชาหลายคนเข้ามาก่อความวุ่นวาย โดยนายเทพมนตรีได้ระบุข้อความว่า
"เมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชาในนาม SIte 2 เหนือ-ใต้ อยู่ในเขตแดนประเทศไทยทุกค่าย จากแนวหลักเขตที่ 28-47 (โปรดดูภาพและผังที่นำมาแสดง) เพราะถ้าอยู่นอกเขตแดนประเทศจะไม่มีความปลอดภัย แต่เมื่อชาวกัมพูชาอพยพเข้ามาอยู่ก็มีการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ออกเป็นสถานที่ต่างๆ จำนวน 6 ตำบล 65 หมู่บ้าน กินพื้นที่ บุรีรัมย์และสระแก้ว
สำหรับบ้านหนองจานถือเป็นค่ายผู้อพยพที่สำคัญ อยู่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 45-47 ตำแหน่งที่มีปัญหามากที่สุดคือหลักเขตที่ 46 ซึ่งมีการทำลายหลักเขตให้โทรมหลง (ฝ่ายไทยได้สำรวจและจดพิกัดดาวเทียมของหลักเขตทุกหลักไว้แล้วก่อนมี MOU 43)
กองทัพภาคที่ 1 โดยกองกำลังบูรพาต้องเร่งผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุดเพราะเป็นการละเมิดข้อตกลง ซึ่งจะเห็นได้ว่า MOU 43 ไม่มีประโยชน์ใดๆสำหรับเรื่องนี้เลย เพราะ JBC ฝ่ายกัมพูชาไม่สนใจความจริงทางประวัติศาสตร์ แต่อาศัยช่องว่างใน MOU 43 ทำการรุกล้ำแผ่นดินไทยโดยอ้างแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไปปักหลักเขตแดงเอาไว้
ควรยกเลิก MOU 43 ครับ"