xs
xsm
sm
md
lg

หลงกลเขมร หรือจงใจขายชาติ? หลักเขตมีอยู่แล้ว ยังไปเซ็น MOU43-44 จนไทยเสียดินแดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลังจบสงครามไทย-กัมพูชา 5 วัน พิสูจน์ชัดว่าไทยเสียดินแดนให้เขมรมานานเพราะ MOU43 และยึดคืนมาได้แค่บางส่วน โดยเฉพาะบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่ทหารวางแนวรั้วลวดหนามห่างหลักเขตถึง 500 เมตร คำถามคือทำไม่ต้องทำ MOU43 เพราะมีหลักเขต 73 หลักที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสปกครองเขมรอยู่แล้ว แค่ฝ่ายเขมรอ้างว่าหลักเขตถูกเคลื่อนย้าย บางหลักสูญหาย ต้องปักปันเขตแดนใหม่ ทำไมฝ่ายผู้นำไทยยอมเชื่อตาม แถมลามไปทำ MOU2544 ให้เขมรเคลมพื้นที่ทับซ้อนแบ่งเอาผลประโยชน์ใต้ทะเลนับล้านล้านบาท



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึง การปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ขณะที่ กองทัพภาคที่ 2 นำโดย “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่กุมพื้นที่ชายแดนอยู่ทางภาคอีสาน, และ กองทัพเรือ-นาวิกโยธิน ที่คุมพื้นที่บริเวณจันทบุรีกับตราดที่อยู่ใต้ลงมา กับทหารทุกหมู่เหล่าทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ รวมถึงประชาชนทุกภาคส่วนทั้งแนวหน้าแนวหลังจะทุ่มเทสรรพกำลัง ทหารสละชีพไป 15-16 นาย ได้รับบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน, ประชาชนต้องเสียชีวิตไปอีกเกือบ 20 คน ไม่นับรวมกับประชาชนชายแดนที่ต้องอพยพอีกหลายแสนคน ต้องเสียสละเพื่อให้การช่วงชิงดินแดน 11 จุดของกองทัพภาคที่ 2 ให้กลับคืนจากกัมพูชาสู่การควบคุมของประเทศ สามารถดำเนินไปได้บรรลุตามเป้าหมาย

แต่ทหารบางส่วนภายใต้การดูแลของกองทัพภาคที่ 1 ก็คือ“กองกำลังบูรพา”บริเวณจังหวัดสระแก้ว กลับเจรจาเกี้ยเซียะกับทหารฝั่งกัมพูชา ทำเป็นขึงขังสร้างภาพว่า พอมีประกาศหยุดยิงจากข้อตกลง GBC ที่มาเลเซียมีผลบังคับใช้แล้ว พอกองทัพภาคที่ 2 ประกาศขอรับบริจาครั้วลวดหนามเพื่อมากั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาให้มีความชัดเจน และเพิ่มความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่ทหารในแนวหน้าแล้ว ตัวเองกองทัพภาคที่ 1 ก็ต้องดำเนินการบ้าง ด้วยการกั้นรั้วลวดหนามบ้าง ในแต่ละจุดของชายแดนที่“กองกำลังบูรพา”ควบคุมอยู่ ราวกับว่าไม่ให้เขมรสามารถรุกล้ำมาได้อีกต่อไป โดยเฉพาะที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว


ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลา 5 วันที่มีการสู้รบอย่างดุเดือดระหว่างไทยกับเขมรจุดนี้ไม่ได้มีการปะทะกันแต่อย่างใดเลย !?!

เรื่องกลับมาโป๊ะแตกตรงที่ว่า จุดที่กองกำลังบูรพาดำเนินการวางรั้วลวดหนาม และกั้นสแลนสีดำบังสายตากลับไม่ใช่เขตพรมแดนของไทยกับกัมพูชา !

เพราะจุดบ่งชี้เขตแบ่งพรมแดนของไทยกับกัมพูชา อันมีหลักฐานเป็นมั่นเป็นเหมาะ ปักกันมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงปี พ.ศ.2451 – 2452 “ประเทศไทย” หรือ “สยาม” ในเวลานั้นได้ดำเนินการปักปันเขตแดนร่วมกับกัมพูชาภายใต้อาณานิคมฝรั่งเศส เพื่อให้มีเส้นแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจนตามแบบสากลในยุคนั้น โดย “หลักเขตแดน”ของไทยกลับอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ทหารกัมพูชาควบคุมอยู่


จนถึงขั้นว่าวันศุกร์ที่แล้ว สามารถนำเอาผู้สื่อข่าวต่างประเทศ คณะสังเกตการณ์มาชมดูได้ จนผู้สื่อข่าวฝรั่งคนนึงถามว่า นี่มันหลักเขตของประเทศไทย กับกัมพูชาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ ???

ประเด็นคือระยะห่างที่ทหาร “กองกำลังบูรพา” ขึงรั้วลวดหนาม และขึงสแลนสีดำบังสายตาเอาไว้นั้น อยู่ห่างจาก หมุดหลักเขตกรุงสยาม หรือ ประเทศไทยไปอีก 500 เมตร หรือ ครึ่งกิโลเมตร!!!


เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะนี่เท่ากับว่าตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเราเสียดินแดนไปให้กับกัมพูชาแบบที่รัฐบาล กับ ทหารไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน แม้ชาวบ้านจะออกมาเรียกร้องแล้วเรียกร้องอีกว่าโดนยึดที่ดินทำกินไป ทั้ง ๆ ที่มีโฉนดอยู่กับมือ แต่ทหารก็ไม่สนใจ

แม้แต่ช่วง ปลายปี 2553 หรือ 15 ปีที่แล้ว ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน จะพาชาวบ้านลงพื้นที่ไปพยายามพิสูจน์หลักเขตที่ 45 , 46 และ 47 ที่อยู่บริเวณบ้านหนองจาน ยังเดินไม่ถึงหลักเขต แต่กลับถูกทหารกัมพูชาจับตัวไป พร้อมกับยัดข้อหาว่ารุกล้ำดินแดน และตั้งข้อหาหนักว่าเป็นสายลับ


ขณะที่รัฐบาลไทยในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลความมั่นคง, พล.อ.ประวิตร, พล.อ.ประยุทธ์ รวมไปถึง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ

แต่คนพวกนี้เหมือนผลักนายวีระเข้าไปติดคุกเขมรถึง 3 ปีครึ่ง ด้วยการออกมาแถลงยอมรับว่า คณะของนายวีระ กับ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่ง สส.ประชาธิปัตย์อยู่ด้วย ล้ำเข้าไปในแดนของกัมพูชาจริง ๆ !?!


วันที่ 2 มกราคม 2554- นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ (ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหล่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ) กล่าวว่า “กระทรวงการต่างประเทศ ได้เตรียมแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และพวกรวม 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศไทยโดยเร็ว ......ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบพื้นที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พบว่า เส้นทางที่คณะนายพนิชใช้ได้รุกล้ำในเขตพื้นที่กัมพูชาจริง แต่ไม่ได้เจตนา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ทราบต่อไป”

แต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาความจริงก็เพิ่งเปิดเผยสู้สาธารณชนคนไทยว่า หลังจากที่ทหารกองกำลังบูรพาไปสร้างรั้วลวดหนาม ชาวบ้านคนไทยบ้านอ่างศิลา และบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ก็รีบออกมาขอบคุณทหารที่เข้าล้อมรั้วลวดหนามชายแดน และ กันชาวกัมพูชา และทหารเขมรออกจากแผ่นดินไทย เพราะพวกเขาถูกเขมรเข้ายึดครองที่ดินมากว่า 40 ปี !!!

ก็แสดงว่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่มีการปล่อยปละละเลยทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดน และชาวบ้านต้องเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินมา 40 ปีแล้ว !!!

เรื่อง “หลักหมุดกรุงสยาม” ที่หลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนเขมร นี้เป็น“เรื่องใหญ่มาก”ใหญ่จนถึงขั้นที่ผู้รับผิดชอบอย่างกองทัพบกมิอาจนิ่งเฉยได้ ต้องออกมาชี้แจง

โดยเมื่อ วันจันทร์ที่ผ่านมา วันที่ 18 สิงหาคม 2568 กองทัพบกได้พยายามออกมาชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า จากกรณีที่มีชาวกัมพูชาได้ออกมาร้องเรียนเรื่องการวางรั้วลวดหนามของทหารไทยบริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว โดยกล่าวอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของตนนั้น แท้จริงแล้วพื้นที่ดังกล่าวเป็นอาณาเขตของประเทศไทย ซึ่งอยู่บริเวณบ.หนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว รอยต่อแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 โดยบริเวณดังกล่าวมีประเด็นปัญหา แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ ที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาไม่สามารถตกลงที่ตั้งหลักเขตแดนได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าตำแหน่งหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบัน มีการเคลื่อนย้ายเข้าไปในฝั่งประเทศของตน จึงต้องรออาศัยกลไก ทวิภาคี อาทิ JBC มาแก้ไขปัญหาในระยะยาว


2. พื้นที่ดังกล่าว ในอดีตเมื่อครั้งเกิดสงครามการสู้รบภายในกัมพูชาในปี พ.ศ.2520 รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ให้ราษฎรกัมพูชาอพยพลี้ภัยเข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อแสดงถึงความมีน้ำใจและเห็นแก่หลักมนุษยชน แต่เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ พบว่ามีราษฎรกัมพูชาบางส่วนไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ ยังคงพักอาศัยในพื้นที่ของประเทศไทย

3. การติดตั้งแนวรั้วลวดหนามในบริเวณพื้นที่ต่างๆ ยังไม่ใช่การวางเพื่อระบุแนวเส้นเขตแดน เป็นเพียงการวางแนวเครื่องกีดขวางในการรักษาความปลอดภัยให้กำลังพล โดยเฉพาะป้องกันการลักลอบเข้ามาใช้อาวุธทุ่นระเบิดเพื่อทำร้ายฝ่ายไทย และเป็นลักษณะเสริมความมั่นคง ต่อที่วางกำลังของหน่วยทหารเท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยการสนับสนุนให้ราษฎรมาสร้างถิ่นฐานอย่างถาวร ทั้งในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ และนอกบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ในฝั่งประเทศไทย ซึ่งกองทัพบก โดยกองกำลังบูรพา ได้ดำเนินการประท้วงร้องเรียนฝ่ายกัมพูชาในเวทีต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับหน่วยทหารในพื้นที่ และผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน แต่ฝ่ายกัมพูชากลับนิ่งเฉย ไม่มีการชี้แจงในรายละเอียด หรือแก้ไขใดๆ จึงยืนยันได้ว่าฝ่ายไทยได้ใช้การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีมาตลอด

สรุปง่ายๆ ก็คือ กองทัพบก ออกมายอมรับว่าสูญเสียดินแดนไปแล้วจริง ๆ นานแล้ว แต่ก็อ้างว่า เพราะความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยตั้งแต่สมัยมีสงครามกลางเมืองในเขมร เมื่อสงครามในเขมรสงบ ผู้ลี้ภัยก็ไม่ยอมกลับพยายามตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินไทยเลย ส่วนฝั่งไทยก็ปล่อยให้เขาอยู่อย่างนั้น ทำได้เพียง “ส่งหนังสือประท้วง”

ส่วนหลักเขตแดนประเทศไทยที่ตั้งตระหง่าน ทนโท่ ลึกอยู่ในดินแดนที่กัมพูชาควบคุม และทหารไทยเข้าถึงไม่ได้นั้น กองทัพบกกับกองกำลังบูรพาก็อ้างว่า “เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าตำแหน่งหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบัน มีการเคลื่อนย้ายเข้าไปในฝั่งประเทศของตน จึงต้องรออาศัยกลไก ทวิภาคี อาทิ JBC มาแก้ไขปัญหาในระยะยาว”


ด้วยเหตุที่ผู้มีอำนาจฝั่งไทย ยึดเอาคำกล่าวอ้างของเขมรเป็นหลัก จึงนำมาสู่การเดินหน้าทำ บันทึกความเข้าใจ หรือ MOU 2543 ซึ่งอ้างว่า เพื่อเอื้ออำนวยให้เกิดการพูดคุยและเจรจาเรื่องเขตแดน หรือ ชายแดน ไม่ว่าจะผ่าน JBC - คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม, GBC - คณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ RBC - คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค

โดย “กองทัพบก” ให้เหตุผลว่า การพูดคุยเหล่านี้ตาม กรอบของ MOU43 มีความจำเป็นก็เพื่อจะได้ทำการสำรวจใหม่ โดยบอกว่า “ในปัจจุบัน หลักเขตแดนเดิมบางส่วน สูญหาย ถูกทำลาย หรือถูกเคลื่อนย้าย อีกทั้งตั้งอยู่ห่างกันมาก ทำให้บางพื้นที่ไม่มีความชัดเจน เพื่อแก้ปัญหานี้ ไทยและกัมพูชาจึงได้ร่วมลงนาม บันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวให้ชัดเจน โดยอิงตาม หลักฐานทางกฎหมายดั้งเดิม”


แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือทำไมต้องปักปันเขตแดนใหม่ ในเมื่อมันมีหลักเขตอยู่แล้ว !?! แต่ก็ไม่รักษา ปล่อยปละละเลยมาหลายสิบปี รวมไปถึงความพยายามในการทำ MOU 43 และ MOU 44 ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเป็นต้นตอของการยึดพื้นที่ในอัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั้นลึก ๆ แล้วมีเงื่อนงำอะไรอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เคยเขียนบทความเรื่อง “ความจริง 195 กิโลเมตร ไทย-กัมพูชา ไม่ต้องปักปันใหม่อะไรทั้งสิ้นแล้ว” เผยแพร่วันที่ 8 มิถุนายน 2568 โดยมีรายละเอียดว่า

ประเทศไทยและกัมพูชาได้มีการจัดทำหลักเขตแดนมีจำนวนทั้งสิ้น 73 หลักเสร็จสิ้นไปหมดแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยหลักเขตแดนที่ 1 ถูกจัดทำขึ้นที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจัดทำหลักเขตแดนอื่นๆ ตามลำดับไปใน “ทิศตะวันตก” จากช่องสะงำ จนไปสิ้นสุดหลักเขตที่ 73 ที่จังหวัดตราด ส่วน “ทิศตะวันออก” จากช่องสะงำ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นขอบหน้าผาพนมดงรักมีความยาว 195 กิโลเมตร "ไม่ต้องมีหลักเขตแดนใดๆ เลย" เพราะมีขอบหน้าผาตามธรรมชาติเป็นสันปันน้ำตามธรรมชาติ จึงไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆ


ตัวอย่างหลักฐาน “ผลงาน” การเดินสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสได้แก่ เอกสารบันทึกการปาฐกถาของ พันโท แบร์นาร์ด ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการปักปันผสมสยามกับฝรั่งเศสชุดแรก ที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 ซึ่งได้แสดงที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2450 ความตอนหนึ่งว่า
“ทางเหนือยอดภูเขาดงรัก เป็นเส้นเขตแดนที่เห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง”

หลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง ปรากฏเป็นบันทึกรายงานของ พันเอก มองกิเอร์ ประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการปักปันผสมสยามกับฝรั่งเศส ชุดที่ 2 ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาตามสนธิสัญญา ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2450) ได้ยืนยันตามผลงานการสำรวจและปักปันของคณะกรรมการชุดแรกว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำอย่างชัดเจนว่า “เส้นเขตแดนเดินไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ที่หน้าผาเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก”


นี่คือเหตุผลหลักในการตอบคำถามว่าทำไมคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส ชุดที่ 2 จึงเริ่มทำหลักเขตแดนทางบก “หมายเลข 1” ที่ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันตก จรดไปจนถึงจังหวัดตราดและตัวหลักเขตลำดับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปทางทิศตะวันตก

โดยปล่อยทิ้งด้านทิศตะวันออกจนถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี ความยาวถึง 195 กิโลเมตรว่าไม่ต้องทำหลักเขตแดน เพราะสามารถเห็นหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากตีนภูเขาดงรัก


ดังนั้นจากช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกถึงช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี แผ่นดินเหนือสันปันน้ำคือแผ่นดินไทยทั้งหมด ไม่ต้องมีการปักปันใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้นแล้ว

เช่นเดียวกับหลักเขตที่ 1 ถึงหลักเขตที่ 73 คณะกรรมการปักปันสยามกับฝรั่งเศส ก็ได้ “ปักปัน” เสร็จสิ้นไปหมดแล้วตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนที่สูญหายไปก็ให้จัดทำขึ้นมาทดแทนเท่านั้น รวมถึงปราสาทตามเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย อยู่หลังแนวสันปันน้ำฝั่งไทยเช่นเดียวกัน และควรจะนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของฝ่ายไทยโดยเร็ว

เมื่อมีการรุกล้ำราชอาณาจักรไทยแนวสันปันน้ำต้องผลักดันผู้รุกรานออกไปสถานเดียว ไม่มีคำว่า No Man’s Land มีแต่ “Thailand”

ส่วนเรื่อง MOU43 ซึ่งไปเชื่อมโยงกับ MOU44 โดยมีจุดเชื่อมคือ หลักเขตที่ 73 ณ บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด


ก็คือ การนำการเจรจาปักปันเขตแดนบนบก ตาม MOU43 ไปเจรจาต่อรองเพิ่มเติมกับการเจรจาเขตแดนทางทะเลตาม MOU44 ที่อ้างอิงไปถึงเรื่องการเคลม “ครึ่งนึงของเกาะกูด” ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป้าหมายหลักนั้นคือ ผลประโยชน์ของทรัพยากรทางทะเลที่ซ่อนอยู่ในอ่าวไทยมูลค่านับเป็นล้านล้านบาท !!!

มีคนพยายามออกมาปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคนออกกฎหมาย สกัดเขมือบทรัพยากรทางทะเลด้วย MOU 44 คือ พลอากาศโท วัชระ ฤทธาคนี อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ ที่บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกกฎหมายสำคัญยิ่งที่จะสกัดระบอบทักษิณ “เขมือบทรัพยากรทางทะเล ด้วย MOU 44” โดยตรากฎหมายฉบับนี้ พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 ซึ่งครอบคลุมการรักษาทรัพยากรทางทะเลไว้ทั้งหมด”

แต่จริง ๆ แล้วพ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562คือ กฎหมายของประเทศไทย ไม่ได้มีอำนาจครอบคลุมไปถึงกัมพูชา หรือ ฮุนเซน ซึ่งจะจับมือกับทักษิณ กับ ตระกูลชินวัตร อย่างไรก็ได้ พล.อ.ประยุทธ์จะออกคำสั่ง, ออกกฎหมาย, ออก พ.ร.ก., ออก พ.ร.บ. อย่างนี้อีก 100 ฉบับ ฮุนเซนก็ไม่สน จะเอาไปเช็ดกันหรือขยำทิ้งลงถังขยะประเทศไทยก็ทำอะไรไม่ได้


แต่ที่น่าสนใจคือ ในหมวดที่ 1 ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เขียนเอาไว้ว่า ให้มีการตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่งที่เรียกว่า คณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือ นปท. ขึ้นมา โดยมี

1.นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็น ประธานกรรมการ และ

2.กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 27 คน รัฐมนตรี, ปลัดกระทรวง, เลขาฯ สภาพัฒน์, ผอ.สำนักข่าวกรอง, ผอ.สำนักงบประมาณ, อัยการสูงสุด, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมือง ที่นั่งตำแหน่งเสนาบดีทั้งหลาย, ปลัดกระทรวงต่าง ๆ , ข้าราชการด้านความมั่นคง และที่สำคัญเขาตบท้ายด้วย ฝ่ายความมั่นคง และ ผบ.เหล่าทัพทั้งหลาย

“ทุกวันนี้แม้แต่หลักหมุดประเทศไทย 73 หลักหมุดยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ นักการเมืองยังขายชาติ ส่วนทหารชั่วก็แลกแผ่นดินกับผลประโยชน์ชายแดน แล้ว จะให้ผม กับ ประชาชนชาวไทย เชื่อได้ไหมครับว่า คนเหล่านี้จะรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลหลายๆ ล้านบาทจริง ๆ

“หรือในความเป็นจริงแล้ว การเขียนพ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลฉบับนี้ขึ้นจริง ๆ แล้ว ก็คือ การตัดไม้ ถางหญ้า ปูทางเอาไว้ให้เพื่อที่เวลาพวกกูขึ้นมามีอำนาจจะได้แบ่งผลประโยชน์กันได้ง่าย ๆ สะดวก ๆ แค่นั้นเอง” นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น