ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จาก “รองแม่ทัพภาคที่ 2” ช่องอานม้า…ความจริงมีหนึ่งเดียว สารที่รัฐบาล-ฝ่ายการเมือง ควรตระหนัก!!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อ “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ไล่เรียงความเป็นมาของ “ช่องอานม้า” พูดถึงปัญหาค้างคาใจแบบจัดเต็ม!
ภายใต้หัวข้อ.. ช่องอานม้า…ความจริงมีหนึ่งเดียว!
อธิบายถึง “ช่องอานม้า” ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นช่องเขาลักษณะคล้ายอานม้า เดิมเป็นช่องทางธรรมชาติชักลากไม้นำเข้าจากฝั่งกัมพูชา อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร
ห้วงสงครามกลางเมืองภายในกัมพูชา คนเขมรหลบหนีภัยการสู้รบเข้ามาบริเวณชายแดน ไทยได้เอื้อเฟื้อพื้นที่จัดตั้งศูนย์อพยพตามหลักมนุษยธรรม โดยมีหน่วยงานของสหประชาชาติอำนวยการ หลังการสู้รบเราได้ส่งคืนผู้อพยพกลับประเทศแต่มีส่วนหนึ่งปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่ยอมกลับ ด้วยหลักมนุษยธรรมที่สากลนำมากล่าวอ้าง และความไม่เด็ดขาดของเราทำให้ไม่สามารถผลักดันกลุ่มคนเหล่านี้ออกจากพื้นที่ได้หมด และยืดเยื้อจนเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน
ปี 2542 จ.อุบลราชธานี และ จ.พระวิหาร เห็นชอบเปิดช่องอานม้าเป็นจุดผ่อนปรนเพื่อการค้า กำหนดให้ตลาดฝั่งกัมพูชาอยู่บริเวณชุมชนเดิมนี้ ในขณะที่ตลาดฝั่งไทยลึกเข้ามาจากแนวเขตแดนประมาณ 300 เมตร คนกัมพูชาขึ้นมาจับจองพื้นที่ขยายชุมชนจากประมาณ 30 หลัง เป็นกว่า 100 หลังในปัจจุบัน
ปี 2554 ในขณะมีข้อขัดแย้งพื้นที่เขาพระวิหาร กัมพูชาใช้ห้วงเวลาที่เราติดตรึงการรบแอบสร้าง “อนุสาวรีย์ตาอม” และปรับปรุงมาเรื่อยๆ จากแบบชั่วคราวจนเป็นแบบถาวร ทั้งการขยายบ้านเรือน การสร้างอนุสาวรีย์ ฝ่ายทหารได้พยายามแก้ไข ด้วยการเจรจาและประท้วงผ่านกลไกทางทหารและกระทรวงการต่างประเทศ รวม 65 ครั้ง แต่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉย ซึ่งสร้างความอึดอัดแก่ฝ่ายทหารในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ปี 2555 รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบให้ยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร มีนักลงทุนมาสร้างกาสิโนรอ แต่หน่วยงานความมั่นคงไม่เห็นด้วย ยื่นข้อเสนอให้ย้ายชุมชนลงไปด้านล่าง ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม ทำให้การยกระดับไม่สามารถดำเนินการได้ ฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาจึงเสนอขอให้ปิดจุดผ่อนปรนฯ แต่ จ.อุบลราชธานีคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าจะกระทบต่อการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน
หวังว่าคำกล่าวอ้าง “เพื่อมนุษยธรรม” และ “กระทบการค้าและการท่องเที่ยวชายแดน” ซึ่งทำให้เราเพิกเฉยต่อประเด็นความมั่นคง แล้วส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ในระยะยาว จะเป็นบทเรียนให้ทุกภาคส่วนของไทยเราได้ตระหนักและแก้ไขท่าทีทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
นี่คือ สารจาก “พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์” รองแม่ทัพภาคที่ 2 อ่านแล้วต้องบอกเลยว่า ปรบมือรัวๆ ให้กับทัศนคติที่น่าชื่นชม และอุดมการณ์อันแน่วแน่ของรองแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะได้รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไล่เรียงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบแบบเข้าใจง่าย ชี้ให้เห็นว่าความจริงของเรื่องนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
ที่สำคัญ การที่เราปล่อยปละละเลยประเด็นด้านความมั่นคงเพราะคำว่า “มนุษยธรรม” หรือ “เศรษฐกิจ” นั้น อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ในระยะยาวได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องเป็นบทเรียนให้ทุกภาคส่วนของไทย ได้ตระหนักและหันมาแก้ไขอย่างจริงจังทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะ "ฝ่ายการเมือง" และรัฐบาล
ต้องยอมรับว่า กองทัพภาคที่สอง นอกจากจะมีความสามารถทางการทหารแล้ว ทัศนคติของแม่ทัพ “พลโท บุญสิน พาดกลาง” มาจนถึงรองแม่ทัพฯ และกำลังพลในกองทัพก็น่ายกย่อง
เพราะมองเห็นถึงรากของปัญหา และกล้าที่จะออกมาเปิดเผยความจริงสู่สาธารณะ ซึ่งสะท้อนความรักชาติ ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยอย่างแท้จริง
++ มองข้ามช็อต “ชัยเกษม-ลุงตู่-เสี่ยหนู” ใครจะเป็นนายกฯ ต่อจาก “อิ๊งค์”
วันนี้ (21 ส.ค.) “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะไปให้ปากคำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนคดีคลิปเสียงที่สนทนากับ “ฮุนเซน” พร้อมพยานอีกคนคือ “ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯ ก่อนจะตัดสินชี้ขาดกันในวันที่ 29 สิงหาคม
และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีกระแสข่าวว่า “นายกฯ อิ๊งค์” จะรอด ด้วยเสียง 5 ต่อ 4
การตัดสินของศาล รธน.จะมาจากการพิจารณา วินิจฉัย ของตุลาการศาล รธน. ทั้ง 9 คน แต่ละคนต้องทำความเห็น บอกเหตุผล ข้อกฎหมายว่าทำไมตัดสินใจอย่างนั้น แล้วมาโหวตกันในที่ประชุมใหญ่ และออกมาเป็นมติ ว่าจะรอด หรือไม่รอด
ที่ลือกันว่า รอดด้วยมติ 5 ต่อ 4 ถึงเวลา อาจจะไม่รอดด้วยมติ 5 ต่อ 4 ก็เป็นได้
ที่ผ่านมาบรรดานักวิชาการ นักกฎหมาย ส่วนใหญ่ที่ออกมาแสดงความเห็นมองว่า “อิ๊งค์รอดยาก”
เพราะนายกฯ ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงของตนเองจริง ประชาชนคนไทย หรือใครที่ได้ฟังแล้วตัดสินได้ทันทีว่านายกฯ อย่างนี้ ปล่อยให้บริหารต่อไปไม่ได้ แม้จะมีการแก้ตัวในภายหลังว่าเป็นเทคนิคการเจรจา แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว
ผลโพลของนิด้าที่สอบถามถึงเรื่องนี้ยืนยันได้ เพราะเสียงส่วนมากๆๆ บอกไม่ไว้ใจแล้ว อยากให้เปลี่ยนรัฐบาลโดยเร็ว และคะแนนนิยมของ “แพทองธาร” ก็ตกรูด
ตอนนี้ไม่ว่า “แพทองธาร” จะชิงลาออก ก่อนวันที่ 29 ส.ค. หรือจะรอลุ้นศาลฯตัดสิน รอด หรือไม่รอด ในทางการเมืองนั้นแทบไม่มีความหมายแล้ว
เพราะถึงรอดมาก็บริหารประเทศไม่ได้ ประชาชนไม่ไว้ใจ ที่ผ่านมาก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย เหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ ต้องให้ “ทักษิณ” ออกหน้าทุกเรื่อง
ตอนนี้มีการมองข้ามช็อตกันแล้วว่า ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป
“ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ คนสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย นอกจากจะมีปัญหาสุขภาพ มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีจากคดี 112 แล้ว ถ้าได้ขึ้นมา ก็หนีไม่พ้นการเป็นนอมินี หรือ “หุ่นเชิด” ของทักษิณอยู่ดี
ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีแคนดิเดตนายกฯ 2 คน คือ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” กับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ... ถามว่า “พีระพันธุ์” มีบารมีถึงขั้นเป็นนายกฯ ได้แล้วหรือ แถมยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.อีกต่างหาก ไม่รู้จะถูกสอยวันไหน
ส่วน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ตามผลโพลแม้จะมีคะแนนนำคนอื่นๆ แต่การจะเป็นนายกฯ ได้ก็ต้องมีคะแนนจากพรรคเพื่อไทย เทมาให้ ซึ่งนั่นก็จะเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะว่า “ดีลลังกาวี” มีจริง
เป็นการจับมือกันระหว่าง “ทักษิณ-ลุงตู่-นายทุนพรรครวมไทยสร้างชาติ” เพื่อรักษาอำนาจให้อยู่ในมือต่อไป
ยิ่งการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่นี้ ถ้า “ลุงตู่” มา ก็มานั่งทับปัญหาไว้ตามเดิม...ที่เพิ่มเติมอาจมีการแบ่งผลประโยชน์ทางทะเล กับกัมพูชา ตามที่ “ทักษิณ” กับนายทุนพรรค รทสช.จ้องตาเป็นมันอีกต่างหาก
ทั้งสามคนที่กล่าวมา ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกฯ การบริหารก็คงไม่ต่างจากเดิม เพราะยังเป็นพรรคร่วมเดิมๆ เสียงปริ่มน้ำ จะโหวตกฎหมายสำคัญแต่ละทีก็ต้องพึ่ง “งูเห่า” สุดท้ายคงหนีไม่พ้นภาคประชาชนลงถนนมาขับไล่
จะหานายกฯ ขัดตาทัพ เพื่อมาทำหน้าที่ยุบสภา ก็กลัวว่าเลือกตั้งใหม่ “พรรคส้ม” จะมา
ครั้นจะไปดึง “พรรคส้ม” มาหนุนยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคนั้น สถาบันฯ ก็ไม่เอา เรื่องชาติ เขาก็เอาแต่ชาติพม่า ชาติเขมร ไม่มีชาติไทยอยู่ในหัวจิตหัวใจหรือหัวสมอง เรื่องศาสนาก็ไม่เอา คนจะไปสักการะสังเวชนียสถานที่อินเดีย ศรีลังกา ยังถามว่าไปทำไม ไปไหว้อะไร
ล่าสุดจึงมีกระแสแบบ “โยนหิน” ออกมาใหม่ว่า เพื่อไทยอาจจะหวนกลับไปจับมือกับภูมิใจไทยอีกรอบ ซึ่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ก็มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่แล้ว
แค่ได้ยินได้ฟังก็มีคำถามขึ้นมาทันทีว่า จะเป็นไปได้หรือ เพิ่งทะเลาะกันเรื่องยึดกระทรวงมหาดไทย ยึดคืนที่เขากระโดง ล้างบาง “ผู้ว่าฯ สีน้ำเงิน” ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่เลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทย แล้วยังจะกลับมาจูบปากกันได้
เมื่อถาม “อนุทิน” ก็ได้คำตอบแบบอ้อมๆ ว่า “ในความเห็นส่วนตัว เราไม่มีอะไรกัน เราก็ทำหน้าที่ของเรา ในฐานะฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็ทำหน้าที่ฝ่ายรัฐบาล ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเป็นสาระ มันก็จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้”
เหมือนจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ... เพียงแต่บอกว่าตอนนี้ทำคนละหน้าที่ ไม่มีเรื่องโกรธเคืองเป็นการส่วนตัว
ท่าทีเช่นนี้ช่างบังเอิญกับที่ “หมอเปรม” เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ว.ที่มีสายสัมพันธ์อยู่กับทางพรรคเพื่อไทย ออกมาปูดข่าวว่า “ส.ว.สีน้ำเงิน” เตรียมคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบ 69 ที่กำลังจะพิจารณากันในวันที่ 1-2 ก.ย.นี้ โดยเลื่อนจากกำหนดเดิมที่จะพิจารณาในวันที่ 25-26 ส.ค.
พูดง่ายๆ ว่า “ส.ว.สีน้ำเงิน” รอดูผลของ “นายกฯ อิ๊งค์” ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ก่อนค่อยโหวตงบฯ
“หมอเปรม” ถึงกับบอกว่า นี่คือ “โรดแมปมืด” เป็นการใช้อำนาจเพื่อตอกย้ำผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างชัดเจน
ดังนั้น ตราบใดที่ “การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร”... มีแต่เรื่องผลประโยชน์ลงตัวเท่านั้นที่เป็นใหญ่ การเมืองไทยก็จะไม่มีวันถึงทางตัน และอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
เหมือนใครบางคนที่ตะโกนบนเวที ...ปิดสวิตช์ ส.ว. ปิดสวิตช์ 3 ป. .... แล้วสุดท้ายลงเอยอย่างไรล่ะ
ตัวอย่างมีให้เห็น เพียงแต่ว่าที่ผ่านมานั้น ผลประโยชน์จะตกอยู่กับพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ทุนการเมือง หรือไม่ก็ทหาร ... ไม่เคยเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว และในอนาคตก็ไม่รู้จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร