xs
xsm
sm
md
lg

“ดีลลับลังกาวี” ปิดทาง “แม่ทัพกุ้ง” นั่ง รมว.กลาโหม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน บ้านเมืองมีศึกสงคราม คนไทยนับล้านๆ คนสนับสนุนให้ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” ขึ้นเป็น รมว.กลาโหม หากไม่ต่ออายุราชการในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 แต่ “ดีลลับลังกาวี” ที่มีการพูดคุยกันระหว่าง “ทักษิณ” กับ “บิ๊กแดง” ได้วางตัวเจ้ากระทรวงกลาโหมคนใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ “บิ๊กแก้ว” เพียงแต่รอเวลาปลดล็อกทางกฎหมายวันที่ 30 ก.ย. 68 เท่านั้น โอกาสของ “แม่ทัพกุ้ง” จึงถือว่าปิดตายโดยสิ้นเชิง แม้จะมีผลงานปกป้องอธิปไตยของชาติเป็นที่ประจักษ์ชัดก็ตาม



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงบทบาทของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง หรือแม่ทัพกุ้ง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่โดดเด่นขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยท่าทีที่เด็ดขาดในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ ส่งผลให้ประชาชนให้ความไว้วางใจในระดับที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม พล.ท.บุญสินจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568 ที่จะถึงนี้ ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้มีการต่ออายุราชการให้ พล.ท.บุญสิน ในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ออกไปก่อน จนกว่าความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจะยุติ

อย่างไรก็ตาม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาบอกปัดข้อเสนอดังกล่าว โดยอ้างว่าการต่อสู้และการปกป้องอธิปไตยมีทั้งหมดหลายกองทัพและหลายคน ดังนั้น การต่ออายุราชการต้องไปดูระเบียบ เพราะยังมีรองแม่ทัพ และมีหลายๆ คนรออยู่ เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ทางราชการ คิดว่าระบบมันดีอยู่แล้ว ต้องให้ระบบมันเดินไป ส่วนถ้าแม่ทัพภาคที่ 2 เกษียณอายุราชการไปแล้ว จะมีบทบาทด้านไหนบ้าง ก็พิจารณาได้ อย่าให้ระบบผิดเพี้ยน จะทำให้การบริหารระบบราชการต่างๆ เป็นปัญหา


หลังจากนายภูมิธรรมออกมาดับกระแสต่ออายุราชการให้ พล.ท.บุญสิน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก เป็นข้อเสนอ 3 ข้อ หากไม่ต่ออายุราชการแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะกลัวเสียระบบ นั่นคือ

1. อย่าเปลี่ยนตัวว่าที่แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ให้เป็นไปตามที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง เสนอเท่านั้น

2. ขอพระราชทานยศ เป็น “พลเอก” บุญสิน พาดกลาง เป็นกรณีพิเศษ ที่ยึดคืนแผ่นดินไทยกลับมาได้มากที่สุดในรอบ 17 ปี และ

3. เชิญมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ซึ่งตำแหน่งว่างอยู่)



หลังจากนายปานเทพโพสต์ข้อความดังกล่าวในตอนเช้าของวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568 แต่เมื่อผ่านไปเพียง 24 ชั่วโมง ก็มีคนในเฟซบุ๊กเข้ามาชมโพสต์นี้มากกว่า 10 ล้านคน, เข้ามาคลิกไลก์ และแชร์ข้อความออกไปกว่า 1 แสน 2 หมื่น ครั้ง นอกจากนี้ ยังแสดงความเห็นมากกว่า 15,000 ความเห็น ซึ่งเกือบทั้งหมดแสดงความเห็นด้วย และเมื่อผ่านไปเกือบ 48 ชั่วโมงก็มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นเป็น 16.3 ล้านวิว มีคนไลก์และแชร์ไปเกือบ 150,000 ครั้ง และแสดงความเห็นประมาณ 18,000 ความเห็น ซึ่งเกือบทั้งหมดเห็นด้วย


นายสนธิกล่าวว่า สำหรับข้อเสนอข้อแรกนั้น ขณะนี้ 3 แคนดิเดตที่จะขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ล้วนแล้วแต่มีตำแหน่งเป็น “รองแม่ทัพภาคที่ 2” ทั้งสิ้น โดย 2 คนเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.26 กับแม่ทัพกุ้ง อีก 1 คนเป็นรุ่นน้อง ตท. 27 ได้แก่ 1. พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เตรียมทหารรุ่นที่ 26 (คนนี้ที่ อ.ปานเทพระบุว่าคือเต็ง 1 คือสานต่อการทำงานของ “แม่ทัพกุ้ง” ได้ทันที) เคยดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 ผู้บัญชาการกองกําลังสุรนารี

2. พล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 เตรียมทหารรุ่นที่ 26 เคยดํารงตําแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3

3. พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เตรียมทหารรุ่นที่ 27 เป็นที่กล่าวขวัญถึงในวงกว้าง เพราะเป็นลูกชาวนา จ.สุรินทร์ สามารถพูดและฟังภาษาเขมรได้เป็นอย่างดี เคยดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการทหารพรานปักธงชัย ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 ผบ.กองกําลังสุรนารี


ซึ่งเมื่อดูตามคุณสมบัติแล้ว รองแม่ทัพทั้งสามต่างเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งแม่ทัพ แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น “แม่ทัพกุ้ง” เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงรุ่นน้องที่ทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดทั้งสิ้น แต่ฝ่ายการเมืองอย่าเปลี่ยนตัวว่าที่แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ให้เป็นไปตามที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง เสนอเท่านั้น

ต่อมาข้อเสนอ ข้อที่ 2 เรื่องการขอพระราชทานยศให้ท่านเป็น “พลเอก” บุญสิน พาดกลาง เป็นกรณีพิเศษนั้น แล้วแต่ใครจะเสนอ และขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย

นายสนธิกล่าวว่า ส่วนข้อเสนอข้อที่ 3 คือ เชิญ “แม่ทัพกุ้ง” มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งตำแหน่งว่างอยู่นั้น ถือว่าน่าสนใจ มีความสำคัญ และมีนัยที่ลึกซึ้งมากต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อนาคตของประเทศไทย รวมถึงการเมืองไทย ไม่เฉพาะแค่เรื่องอธิปไตย

สำหรับประวัติ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง นั้นเป็นคนตำบลบ้านจันทน์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 37 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 77 เติบโตในเหล่าทหารราบ ปฏิบัติงานในหน่วยขึ้นตรงของกองทัพภาคที่ 2 ผ่านประสบการณ์ในหน่วยรบชายแดน และหน่วยกำลังรบหลักในพื้นที่ภาคอีสาน


เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 (จังหวัดสกลนคร), ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22, เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 3, ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3, ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 (ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา), รองแม่ทัพภาคที่ 2, แม่ทัพน้อยที่ 2 ตำแหน่งล่าสุดคือ แม่ทัพภาคที่ 2 ปัจจุบันครอบครัวอบอุ่น ปัจจุบันมีบุตรสาว 2 คน

ด้วยความที่ดูสุขุม ใจเย็น ใจดีกับทุกคน อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แข็งแกร่งแต่ไม่แข็งกร้าว ทำงานเพื่อปกป้องแผ่นดิน ปกป้องชาติบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เหมาะที่สุดที่จะนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมที่ว่างอยู่ตอนนี้ ในยามที่บ้านเมืองกำลังเจออริราชศัตรู หากเรามีแม่ทัพที่อ่อนแอ นอกจากเราจะแพ้แล้ว เราจะสูญเสียแผ่นดินที่เราเคยหวงแหนมาตั้งแต่บรรพบุรุษอย่างไม่มีวันกลับ เฉกเช่นปราสาทพระวิหารและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรในอดีต

ปัญหาก็คือว่า ในการปรับเก้าอี้คณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา เราไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมานานถึงวันนี้ก็เกือบ 2 เดือนแล้ว มีแต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมคือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งถูกตั้งฉายาไปแล้วว่าเป็นเหมือน “หมานำราชสีห์” ซึ่งวันนี้เหตุการณ์ต่างๆ ก็ปราก#แล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ


แต่ทำไมประเทศไทยต้องว่างเว้น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เอาไว้เพราะอะไร?

ทั้งๆ ที่กำลังมีสงครามรบพุ่ง ทหารถูกกับระเบิดขาขาดเกือบทุกวัน ทหารตายไป 15-16 นาย ประชาชนสังเวยชีวิตไปแล้วเกือบ 20 ราย ได้รับบาดเจ็บอีกหลายร้อย โรงพยาบาล โรงเรียน ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ บ้านพักอาศัยประชาชน ศูนย์พัฒนาชายแดน ถนนหนทาง พังไปแล้วกี่แห่ง เสียหายไปแล้วหลายพันล้านบาท ...แต่ทำไมเราไม่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ???

คำตอบที่หลายคนพูดตรงกันก็คือ “ให้รอก่อน รอดีล”

ถามต่อว่า แล้วรอดีลอะไรล่ะ?

ประเด็นก็คือ ภายหลังการปรับ ครม.ครั้งล่าสุดที่มีการโยกย้าย นายภูมิธรรม ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามบัญชานายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการเก้าอี้คืนจากพรรคภูมิใจไทย เพื่อจะผลักดันนโยบายปราบยาเสพติด เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พร้อมกับการจัดทัพข้าราชการ เปลี่ยนจากคนในเครือข่ายพรรคภูมิใจไทย ให้เป็นคนของพรรคเพื่อไทย เพื่อใช้เป็นกลไกสู้ศึกเลือกตั้งครั้งถัดไป

เมื่อนายภูมิธรรมถูกโยกจากกลาโหมไปมหาดไทย ทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนี้ว่างเปล่า แต่ความจริงแล้ว หลายคนทราบดีว่าเก้าอี้ตัวนี้มีคนจองแล้ว


เขาคือ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ หรือ “บิ๊กแก้ว” อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด อดีต ส.ว.ตามบทเฉพาะกาล 5 ปีแรกของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นเตรียมทหารรุ่น 21 ซึ่งสนิทสนมกับ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก เตรียมทหารรุ่น 20 อีกทั้ง พล.อ.เฉลิมพล ยังเป็นนายทหารคนเดียวที่ร่วมคณะของ พล.อ.อภิรัชต์ ไปดีลลังกาวีเจรจาให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคดีกลับมายังประเทศไทย ในช่วงการเลือกตั้งเมื่อปี 2566

แต่สาเหตุที่ พล.อ.เฉลิมพลไม่สามารถมานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหมได้ทันที ก็เพราะติดปัญหาตรงที่ พล.อ.เฉลิมพลเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และพ้นจากตำแหน่งไม่ถึง 2 ปี จึงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้ ตามกฎหมายต้องรอพ้นจากตำแหน่งครบรอบ 2 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ถึงจะปลดล็อกรับตำแหน่งรัฐมนตรีได้ !!!

นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำไมประเทศไทยถึงไม่มี “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” มาถึง 2 เดือนแล้ว และจะไม่มีไปถึงปลายเดือนหน้าคือวันที่ 30 กันยายน เพราะต้องรอคนคนเดียว รอดีลลับระหว่าง “ทักษิณ” กับ “ทหารบางนาย”

พล.อ.เฉลิมพล ปัจจุบันอายุ 62 ปี เป็นชาวจังหวัดลพบุรี จบเตรียมทหารรุ่นที่ 21 นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 32 เริ่มรับราชการทหารในตำแหน่งผู้บังคับหมวดกองร้อยลาดตระเวน กองพันทหารม้าที่ 22 จากนั้นก็เติบโตในรั้วทหารม้า เรื่อยมา ก่อนข้ามมาเป็นเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในปี 2563 และเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ถึง 3 ปี ก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2566

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวระบุว่า เดิมที นายทักษิณ ทาบทาม พล.อ.อภิรัชต์ ให้มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2566 ตอนมีจัดตั้งรัฐบาลดีลผสมข้ามขั้วระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มอนุรักษนิยมครั้งแรก แต่ พล.อ.อภิรัชต์ปฏิเสธ เพราะตอนนั้นดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักพระราชวังอยู่ อีกทั้งนายทักษิณไม่ยอมให้นายทหารคนไหนมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พยายามนำคนของพรรคเพื่อไทยมาดำรงตำแหน่ง อย่างเช่น นายสุทิน คลังแสง และ นายภูมิธรรม เวชยชัย แต่เมื่อสถานการณ์แวดล้อมทำให้นายทักษิณต้องยอมปล่อยมือ แม้จะทาบทาม พล.อ.อภิรัชต์อีกครั้ง เพราะนายทักษิณไว้วางใจมาก แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ปฏิเสธอีกครั้งเช่นเดิม


เหตุผลก็คือ แม้ พล.อ.อภิรัชต์จะเป็นคีย์แมนในดีลจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว แต่ก็ไม่ต้องการออกหน้า หรือเกี่ยวข้องทางการเมืองอย่างเปิดเผย อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์สุขภาพไม่ดี ต้องไปรักษาตัว แต่เมื่อหายดีแล้วยังอยู่ในฉากหลังการเมืองเพื่อประคับประคองดีลที่ทำกันไว้ โดยมีเป้าหมายก็คือ ให้รัฐบาลนี้อยู่ด้วยกันให้นานที่สุด เพื่อสกัดกั้นพรรคการเมืองสีส้มซึ่งเป็นจุดยืนที่ชัดเจนของ พล.อ.อภิรัชต์

นอกจากนี้ เมื่อ “ดีลลับลังกาวี” ถูกเปิดเผย ทำให้หมากระดับขุนพลอย่าง พล.อ.อภิรัชต์ กลายเป็นหมากที่ไม่สามารถใช้เดินเกมได้อีกต่อไป จึงมาตกอยู่ที่ พลเอก เฉลิมพล

พล.อ.เฉลิมพล ไม่เพียงแค่เป็นสายตรงที่เป็นทั้งน้องรักและเป็นเพื่อนรุ่นน้องของ พล.อ.อภิรัชต์ แต่ย้อนกลับไปในยุครัฐบาล คสช. หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลานั้น พล.อ.เฉลิมพลเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ก็เป็นมือทำงานให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในเรื่องจัดระเบียบสังคม ปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย มาเฟียและกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ใกล้ชิดกับ พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่งตอนนั้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้น เรียกได้ว่ารู้ใจและเชื่อมือกันมาตลอด

นอกจากนี้ พล.อ.เฉลิมพลเป็นรุ่นพี่ที่ใกล้ชิดของ “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนปัจจุบัน เพราะเป็นคนสนับสนุนให้ พลเอก ทรงวิทย์ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแทนด้วย ซึ่ง พล.อ.ทรงวิทย์เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ทางแกนนำรัฐบาลสนิทสนมและไว้วางใจ เพราะเป็นทหารอาชีพ ให้คำปรึกษาและให้ความร่วมมือในฐานะกลไกของรัฐบาลมาอย่างดี ไม่แทรกแซงการเมือง เพราะปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองแก้ไขปัญหากันไปเอง

คำถามต่อมาก็คือ คงมีคนสงสัยว่า แล้วทำไม “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ไม่ขยับจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตัวจริง เพราะ พล.อ.ณัฐพล ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเก้าอี้ในโควตาของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ”

ต่างจาก พล.อ.เฉลิมพล มาจากสายของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ ที่มีดีลลับลังกาวีกับนายทักษิณโดยตรง หาก พล.อ.ณัฐพล ขยับเข้ามา เก้าอี้รัฐมนตรีหนึ่งในกระทรวงเกรดเอที่เป็นของพรรคเพื่อไทยเดิม จะถูกเบียดแทนที่ ซึ่งในทางการเมืองย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น


จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของตัวละคร “ดีลลับลังกาวี” ล้วนมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการกลับประเทศไทย หลังหลบหนีคดีทุจริตมานานถึง 17 ปี

หรือจะเป็น พล.อ.อภิรัชต์ ที่ต้องการรักษาอำนาจขั้วอนุรักษนิยม ต่อสู้กับพรรคการเมืองสีส้ม ถึงยอมจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว โดยที่พรรคเพื่อไทยก็ยอมสูญเสียฐานเสียงคนที่ไม่เอารัฐบาลทหาร

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังเอาพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ตอนนั้นมีกลุ่มทุนพลังงานหนุนหลังเข้ามามีส่วนร่วมด้วย


ทุกวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังไร้หัว ตำแหน่งของ พล.อ.ณัฐพล ก็ไม่ได้มีพลังมากพอ โดยเฉพาะเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ยังปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตัดสินใจร่วมกับผู้นำประเทศที่ตอนนี้ก็ยังไร้หัว มีเพียงนายภูมิธรรม เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี

เมื่อไม่มีสัญญาณการเมืองที่ชัดเจน ก็มีรายงานว่าแกนนำเตรียมทหารรุ่น 21 เพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.เฉลิมพล ได้นัดกินข้าวหารือกันถึงสถานการณ์ทางการเมือง โดยมี พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. ซึ่งเคยมีชื่อเป็นแคนดิเดต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมร่วมวงด้วย พบว่าเก้าอี้ของ พล.อ.เฉลิมพล ยังไม่มีอะไรแน่นอน เพราะต้องรอดูบทสรุปของ “คดีคลิปเสียงอุ๊งอิ๊ง-ฮุนเซน” ของแพทองธารก่อน แต่เพื่อนร่วมรุ่นพร้อมสนับสนุน ถ้า พล.อ.เฉลิมพล หรือ พล.อ.สุนัย ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ขณะที่ พลเอก ณัฐพล รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้จัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งตอนนี้เหล่าทัพกำลังพิจารณาจัดทำอยู่ และกำหนดที่จะส่งให้ พล.อ.ณัฐพลภายในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ซึ่งต้องมีการเลือกผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่ถึง 4 คน แทนคนที่เกษียณราชการ ทั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ

แต่ก็ยังคงมีนายภูมิธรรม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่คุมกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่กลั่นกรองในท้ายที่สุด

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง อธิปไตยของชาติ ชีวิตของนายทหารแนวหน้า-แนวหลัง ชะตากรรมของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ถูกล็อกสเปกไปหมดแล้วจาก “ดีลลับ” ที่เกี่ยวข้องกับทั้ง ทักษิณ ชินวัตร, บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายทักษิณที่มีสถานะเป็นหอกข้างแคร่ เป็นเพื่อนสนิทพระยาละแวก ก็ยังคงกุมอำนาจในการควบคุม และจัดการโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพอยู่

ด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอของ อ.ปานเทพ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนคนไทยนับเป็นล้านๆ คน ให้ “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงแทบจะเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่ผลงานท่านก็พิสูจน์อยู่แล้วว่าท่านเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะได้รับการต่ออายุราชการ หรือ ได้ทำงานต่อในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในห้วงเวลาที่ชาติบ้านเมือง อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้

สาเหตุสำคัญ ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะว่า ดีลลับ และการช่วงชิงทางการเมือง พล.ท.บุญสิน ซึ่งเป็นแม่ทัพ นายทหารผู้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า รักชาติ รักแผ่นดินเกิดจริง ที่ไม่ได้อยู่ในดีล จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม


กำลังโหลดความคิดเห็น