ทายาทแบรนด์เครื่องประดับดังโพสต์เดือด น้องชายถูกกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน รุมทำร้ายหน้าร้านอาหารหรูย่านเอกมัยจนบาดเจ็บสาหัส ถามหาความรับผิดชอบของร้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อุกอาจ พร้อมจี้ตำรวจเร่งล่าตัวคนร้ายที่ขับรถหรูมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
วันนี้ (11 ส.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Bhopthorn Wutigriviboon" หรือ "ภพธร วุฒิกรีวิบูลย์" ทายาทแบรนด์เครื่องประดับชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอพร้อมระบุข้อความ เผยถึงเหตุการณ์ที่น้องชายของตนเองถูกชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน ทำร้ายร่างกายตามที่ได้ปรากฎในคลิปวิดีโอ โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า
"เอาแบบสุภาพและเป็นปัญญาชนละกันเนอะ ไม่พูดเลยคงไม่ได้ เพราะคับข้องเกินไป เมื่อคืน (9/8/25) น้องชายผมออกไปดื่มกับเพื่อนที่ร้าน Home Ekkamai เหมือนการพบปะสังสรรค์ทั่วไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับสะท้อนปัญหาความรุนแรงที่ฝังรากอยู่ในสังคมเรา
จากคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อนของน้องชายเผลอเดินชนบุคคลที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เนื่องจากพื้นที่แคบ จึงเกิดปากเสียง ก่อนจะถูกแยกออกจากกันตามปกติของเหตุการณ์ในร้านอาหารหรือบาร์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาไม่ใช่เรื่องปกติ — เมื่อน้องชายและภรรยาเดินออกจากร้าน กลับถูกกลุ่มชายเกือบ 20 คน เข้าล้อมถามหาเพื่อน และเมื่อได้รับคำตอบว่าเพื่อนได้กลับไปแล้ว กลุ่มนี้ก็ลงมือรุมทำร้ายทันที ตามที่เห็นในคลิป ทั้งชก เตะ และใช้จำนวนคนกดขี่เหยื่ออย่างไม่เกรงกลัวต่อใคร ผลคือบาดเจ็บฟกช้ำหลายแห่ง และมีแผลบนใบหน้าที่ต้องเย็บ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าภรรยา ในขณะที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของร้านอยู่หลายคน แต่กลับไม่มีการเข้าแทรกแซง ทั้งที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจน สิ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนความล้มเหลวของมาตรการรักษาความปลอดภัยของสถานประกอบการ แต่ยังสะท้อนความอ่อนแอของระบบยุติธรรมที่ทำให้คนบางกลุ่มมั่นใจว่าตน “ทำได้” และ “รอดได้”
เมื่อศึกษากฎหมาย พบว่าการทำร้ายร่างกายมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท และการชดใช้ความเสียหายจะครอบคลุมเพียงค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียโอกาสในการทำงาน หากถูกตีความเป็นเพียง “ทะเลาะวิวาท” ก็อาจจบลงด้วยค่าปรับ 500 บาท — ซึ่งต่ำเกินกว่าจะป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้
ชายที่ถูกทำร้ายในเหตุการณ์นี้เป็นพ่อของลูกเล็กสองคนที่ต้องกลับไปอธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมใบหน้าของเขาถึงมีรอยเย็บจากฝีมือของอันตพาลที่ขับรถคันละหลายสิบล้านที่เลือกใช้กำลังแทนเหตุผลและสติในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องของครอบครัวเราเพียงคนเดียว แต่มันคือคำถามต่อทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ถ้าวันนี้เราเงียบ วันหน้าคนที่ถูกกระทำอาจเป็นเพื่อนคุณ คนในครอบครัวคุณ หรือแม้แต่ตัวคุณเอง
เราควรปล่อยให้ “ความรุนแรงในที่สาธารณะ” กลายเป็นเรื่องปกติหรือไม่?
ผมขอประณามการกระทำที่ถ่อยเช่นนี้และครอบครัวเราจะดำเดินคดีทางกฏหมายอย่างสุดกำลัง ในขณะเดียวกันผมขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าตำรวจตามคนร้ายมาลงโทษให้ได้และขอให้ร้าน Home Ekkamai แสดงความรับผิดชอบที่ละเลยในการดูแลความปลอดภัยของลูกค้าที่มาใช้บริการในสถานประกอบการของคุณ"