xs
xsm
sm
md
lg

พระยาละแวก “ฮุนเซน” เนรคุณจีน-ไทย ซบอเมริกา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ชัดแล้ว ศึกเขมรรบไทยคือแผนการของสหรัฐฯ ที่จะดึงกัมพูชาเข้าเป็นพันธมิตรปิดล้อมจีน เมื่อผู้นำทหารเขมรเดินทางไปฮาวายในวันที่ยังรบกับไทย เพื่อตกลงความร่วมมือทางทหาร ทั้งเข้าร่วมในยุทธศาสตร์อินโด-แปซฟิก รื้อฟื้นการซ้อมรบ วันต่อมาโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ออกมาขู่ให้หยุดยิง จบลงด้วยฝ่ายกัมพูชาสรรเสริญเยินยอ “ทรัมป์” เป็นผู้สราเงสันติภาพ อยากให้ได้รางวัลโนเบล พร้อมเรียกร้องอเมริกาเข้าไปตั้งฐานทัพ



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงสงครามไทย-กัมพูชาว่า เป็นฉากทัศน์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการช่วงชิงอำนาจของชาติมหาอำนาจ คือ สหรัฐฯ และจีน โดยมี ประเทศไทย เป็นพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดใน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก”

ในการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย เมื่อ บ่ายวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา นอกจากตัวแทนของ 2 ประเทศ คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ไทย, นายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา และ นายอันวาร์ อิบบราฮิม นายกฯ มาเลเซียที่เป็นตัวกลางแล้ว น่าสังเกตได้ว่า มีตัวแทนจาก สหรัฐฯ และ จีน เข้าร่วมด้วย


ทั้ง ๆ ที่เบื้องหลังของการเจรจาครั้งนี้ ก็คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ “เสนอหน้า” เรียกร้องให้ไทย-กัมพูชาเจรจากัน โดยใช้ภาษีการค้า มาข่มขู่ ทั้ง ๆ ที่สงครามระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องการค้ากับสหรัฐฯ เลยแม้แต่น้อย

สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงอย่างออกนอกหน้า ซึ่งหลายคนบอกว่า เพราะว่านายโดนัลด์ ทรัมป์อยากได้ “รางวัลโนเบลสันติภาพ” ซึ่งนั่นเป็นแค่ฉากหน้าเท่านั้น

แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าสหรัฐฯ หวังจะใช้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อหาประโยชน์ให้กับตัวเอง และสหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จในขั้นแรกแล้ว โดยทำให้กัมพูชาหักหลังจีนและเข้าร่วมในยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” ของสหรัฐฯ


ส่วนที่ฝ่ายจีน สงวนท่าทีมาตลอด มีเพียงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ที่ออกมาพูดตามหลักการกว้าง ๆ ว่า “อยากให้ทั้งสองประเทศหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ” และ นายหวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่ให้ความเห็นว่า “ต้นตอของปัญหานี้มีสาเหตุมาจากผลกระทบที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากนักล่าอาณานิคมตะวันตกในอดีต และขณะนี้จำเป็นต้องเผชิญกับปัญหาอย่างสงบ และจัดการอย่างเหมาะสม”

ฝ่ายสหรัฐฯ ออกตัวเต็มที่ ส่วนจีนสงวนท่าที แต่พอมีการเจรจากันจริง ๆ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเชิญทั้งสหรัฐฯ และจีน เข้ามาร่วมด้วย นี่คือประจักษ์พยานที่แสดงเห็นว่า 2 ประเทศ สหรัฐฯ และ จีน คือ มหาอำนาจที่มีบทบาทอย่างสูงในภูมิภาคนี้

2 ชาติแต่งตั้ง ทูตใหม่ ประจำประเทศไทย

ประเทศไทยมีความสำคัญต่อสหรัฐฯ มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่อยู่ใจกลางของอาเซียน, ศักยภาพทางเศรษฐกิจ, จำนวนประชากร รวมถึงบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ ดังนั้นมหาอำนาจทุกชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯ กับจีน จึงจำเป็นต้องช่วงชิงบทบาทต่อประเทศไทยให้ได้

 นายฌอน โอนีล
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต ประจำประเทศไทย ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และ จีน กำลังมีทูตคนใหม่ในเวลาเดียวกันพอดี คือ

สหรัฐฯ จะแต่งตั้ง นายฌอน โอนีล อดีตกงสุลใหญ่ ประจำเชียงใหม่ มาเป็นเอกอัครราชทูตคนใหม่ เพื่อแทนที่ นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ที่ต้องพ้นตำแหน่งไป หลังจากพรรคเดโมแครตพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์

ส่วนฝ่ายจีน ได้แต่งตั้ง นายจาง เจี้ยนเว่ย อดีตเอกอัครราชทูต ประจำคูเวต มาเป็นเอกอัครราชทูตคนใหม่ แทน นายหาน จื้อเฉียง ที่ดำรงตำแหน่งครบวาระ และเกษียณอายุไปแล้ว

นายจาง เจี้ยนเว่ย
ทูตสหรัฐฯ คนสำคัญในยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก

นายฌอน โอนีล ว่าที่ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยคนใหม่ เป็นมือทำงานในยุทธศาสตร์ “อินโดแปซิฟิก” เคยเป็นกงสุลใหญ่ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้ เข้าใจดีทั้ง ภาษาไทย จีน พม่า เบงกาลี และญี่ปุ่น รวมถึงมีความใกล้ชิดกับหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ และกองทัพเรือของไทยด้วย

ถ้าว่ากันตามคุณสมบัติแล้ว นายฌอน โอนีล คือ ทูตประจำประเทศไทยที่ เหมาะกับงาน หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Put the right man in the right job มาก เพราะรู้เรื่องเมืองไทยเป็นอย่างดี และมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย


แต่ในความเหมาะกับงาน นี่เอง ก็ทำให้คิดได้เช่นกันว่า สหรัฐฯ ต้องการวางตัวให้ นายฌอน โอนีล มาทำภารกิจที่สำคัญมากในประเทศไทย ทั้งเรื่องของฐานทัพที่จังหวัดพังงา และสถานกงสุลใหญ่ที่เชียงใหม่ เพื่อต่อจิ๊กซอว์ในยุทธศาสตร์ “อินโดแปซิฟิก” ตามที่ผมได้เล่าไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้

ล่าสุด นายฌอน โอนีล ให้สัมภาษณ์เรื่องสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า "สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือ ชี้ให้ไทยเห็นว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในพันธมิตรตามสนธิสัญญาไม่กี่ประเทศของสหรัฐฯ ที่อยู่ในเอเชีย และสงครามหรือความขัดแย้งเช่นนี้ ไม่ได้ก่อประโยชน์ใด ๆ ต่อประชาชนของพวกเขาเลย"


ว่าที่ทูตสหรัฐฯ คนนี้จู่ ๆ ก็มาพูดพร่ำ ทำเป็นบงการประเทศไทยเราว่า อย่าไปทำสงครามกับกัมพูชา เพราะว่าไม่ก่อประโยชน์ใดๆต่อคนไทย และไม่ได้ช่วยเสริมสร้างความเป็นกับพันธมิตรกับสหรัฐฯ ผมขอถามว่า
-ในเมื่อกัมพูชารุกรานไทยก่อน แล้วไทยไม่มีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง หรือโจมตีตอบโต้หรืออย่างไร ?
-หลังข้อตกลงหยุดยิงในวันจันทร์ที่ผ่านมา กัมพูชายังคงละเมิดอยู่อย่างต่อเนื่อง
-แล้วทำไมนายโอนีลไม่ไปปรามกัมพูชา แต่กลับมาตำหนิหรือสั่งสอนไทย ?

นอกจากนี้ นายโอนีลยังจะสั่งไม่ให้ไทยรับรองการเลือกตั้งของพม่า ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ โดยบอกว่า “หากผมได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่ง ผมจะสนับสนุนให้ประเทศไทยไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ที่ไม่มีการมีส่วนร่วมของประชากรกว่า 50% ของประเทศ ในขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านส่วนใหญ่ยังคงถูกคุมขังอยู่”

เขาบอกว่า จุดยืนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ คือ ไม่สนับสนุนให้เมียนมาจัดการเลือกตั้ง “ลวงโลก” ของรัฐบาลทหาร

...แต่ขอถามว่า แล้วทำไมไทยต้องยอมรับตาม จุดยืนของสหรัฐฯ ด้วย ??

ทูตจีน เชี่ยวชาญเรื่องจัดการความขัดแย้ง


มาดูฝั่งจีนกันบ้างนายจาง เจี้ยนเว่ยเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่ เดินทางถึงประเทศไทยเพื่อเข้ารับตำแหน่งแล้ว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม

เอกอัครราชทูตจาง กล่าวว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร มีประวัติศาสตร์และมิตรภาพอันยาวนาน ทั้งสองประเทศได้ทำงานร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งสะท้อนถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ได้อย่างดี
ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย


และ “50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย” จีนกำลังผลักดันการสร้างประเทศที่เข้มแข็งและการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติจีนอย่างรอบด้าน ด้วยการพัฒนาจีนให้ทันสมัยตามแบบฉบับของจีน และประเทศไทยที่กำลังเร่งปฏิรูปและยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

“ข้าพเจ้าได้เดินทางมาประเทศไทยในฐานะเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าภารกิจของข้าพเจ้านั้นยิ่งใหญ่และมีความรับผิดชอบสูง ข้าพเจ้ายินดีที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนของประเทศไทย ดำเนินการตามฉันทามติสำคัญระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศอย่างจริงจัง ผลักดันการสร้างประชาคมร่วมอนาคตระหว่างจีน-ไทยให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม”


ประวัติทูตจีนคนใหม่

นายจาง เจี้ยนเว่ย อายุ 57 ปี ตำแหน่งล่าสุด คือ เอกอัครราชทูตจีน ประจำคูเวต แต่ภูมิหลังที่แท้จริงก็คือ เขาคือผู้เชี่ยวชาญภาษาอาหรับ เติบโตขึ้นมาจาก กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือ “จงเหลียนปู้ (中联部)” ภาษาอังกฤษคือ International Liaison Department of the Communist Party of China ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดย นายจางเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดี และอธิบดีกรมที่ 3 คือ ดูแล ภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยตรง

กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ถือว่ามีสถานะใหญ่และเหนือกว่า กระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล เพราะด้วยระบบของประเทศจีนแล้ว คือ “พรรคนำรัฐ”

ดังนั้น การส่งคนจากกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ มาเป็นทูตที่เมืองไทย จึงเป็นการกระชับอำนาจโดยตรงจากทางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และน่าจะเป็นการรองรับการผลัดเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ซึ่งในตอนนี้ นายหวังอี้ มารับตำแหน่งชั่วคราว หลังจากนายฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศจีนถูกปลดไปเมื่อปีที่แล้ว

โดยว่ากันว่า รัฐมนตรีต่างประเทศจีนคนใหม่ คือ นายหลิว เจี้ยนเชา นายใหญ่ของกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ต้นสังกัดของทูตจาง นั่นเอง

คำถามที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือทำไมจีนถึงส่งผู้เชี่ยวชาญภูมิภาคตะวันออกกลางมาเป็นทูตที่ประเทศไทย ?

วิเคราะห์ว่า เพราะจีนมองว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เหมือนกับภูมิภาคตะวันออกกลาง จึงต้องส่งผู้เชี่ยวชาญด้านจัดการความขัดแย้ง มาเป็นทูตที่ประเทศไทย

ทั้งนี้ นายหลู่ เจี้ยน อดีตทูตจีนประจำไทย ก่อนทูตหาน จื้อเฉียง ก็มาจากกรมเอเชียตะวันตกและแอฟริกาเหนือ ที่ดูแลงานด้านตะวันออกกลาง และ อุปทูต หยาง ซิน ที่เคยประจำการที่ไทย ตอนนี้ก็ย้ายไปดูแลงานด้านตะวันออกกลางเช่นกัน

ทูตทหารจีนคนใหม่เข้าพบ ผบ.สส. ผบ.ทบ.


ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นอกจากจะมีเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่แล้ว ทูตทหารของจีนประจำประเทศไทยก็เป็นคนใหม่เช่นกัน คือ พลตรี จาง หลินหง ซึ่งเดิมเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่บราซิล

พลตรีจาง หลินหง เพิ่งมารับตำแหน่งได้ไม่กี่วัน ก็เกิดศึกระหว่างไทย-กัมพูชา โดยทูตทหารจีนได้เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก

ฝั่ง พลเอกทรงวิทย์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยืนยันถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างจีนและไทย และแสดงความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางทหารกับจีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค


พลเอกพนา ผู้บัญชาการทหารบก ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค และได้แสดงจุดยืนและข้อเสนอเชิงนโยบายของไทยเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

ทัง้นี้ พลตรี จาง หลินหง ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร กล่าวว่า ในฐานะเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของไทยและกัมพูชา จีนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถลดความเป็นปรปักษ์ จัดการความขัดแย้งได้อย่างเหมาะสมผ่านการเจรจาทวิภาคีและการปรึกษาหารือฉันมิตร หลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์บานปลายเกินขอบเขต และฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพบริเวณชายแดนโดยเร็วที่สุด

กัมพูชาทรยศจีน เข้าร่วมยุทธศาสตร์ “อินโดแปซิฟิก”

การวางตัวทูตสหรัฐฯ และทูตจีน ประจำประเทศไทย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทั้ง 2 ชาติมหาอำนาจเลือกคนที่จะมาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เพื่อช่วงชิงความเป็นพันธมิตรกับประเทศไทย เพราะทั้งสองประเทศรู้ดีว่า รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยยึดนโยบาย “ไผ่ลู่ลม” เป็นมิตรกับทุกฝ่าย

แต่ว่ากองทัพไทยนั้นใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2, ใช้การจัดกำลังพลแบบสหรัฐฯ, ใช้อาวุธของสหรัฐฯ, บรรดาแม่ทัพก็ได้รับการฝึกอบรมจากสหรัฐฯ, มีการซ้อมรบร่วม “คอบบราโกลด์” เป็นประจำทุกปี

ศึกระหว่างไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุด มีเบื้องหลังทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างชัดเจน เพราะคนส่วนใหญ่มองกันว่า จีนหนุนหลังกัมพูชา ขายอาวุธให้กัมพูชา มีผลประโยชน์ด้านความมั่นคง, การค้า, การลงทุนในกัมพูชามากมาย


แต่ ณ ตอนนี้ ความจริงก็ได้เผยให้เห็นแล้วว่า นายฮุนเซนพร้อมจะทรยศหักหลังทุกคน เพื่อผลประโยชน์ และอำนาจของตัวเอง เหมือนกับที่ทรยศเขมรแดง ไปเข้ากับเวียดนามจนได้เป็นผู้นำกัมพูชา, หลังจากนั้นก็ทรยศเวียดนาม ไปสวามิภักดิ์จีน, ล่าสุด ก็ทรยศจีนไปเข้ากับสหรัฐฯ

ในขณะที่สงครามระหว่างกัมพูชากับไทยที่ฮุนเซนเปิดฉากก่อนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม คณะผู้แทนกองทัพกัมพูชาได้ไปเยือนกองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ ฮาวาย ระหว่างวันที่ 24-25 กรกฏาคม เพื่อประชุมหารือด้านกลาโหมทวิภาคี ทั้งการรื้อฟื้นการซ้อมรบ กับสหรัฐฯ "Angkor Sentinel" และเข้าร่วมกับยุทธศาสตร์ “อินโดแปซิฟิก” เพื่อปิดล้อมจีนอีกด้วย !!!


นอกจากนี้ กัมพูชายังว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน มีเป้าหมายเพื่อ “สร้างภาพลักษณ์ให้ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับจีน”


สถานทูตกัมพูชาในสหรัฐฯ ได้ทำสัญญา 15 เดือนกับ นายดอน เบนตัน อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐวอชิงตัน ซึ่งเคยทำงานในทีมถ่ายโอนอำนาจของทรัมป์ ด้วยค่าบริการรายเดือน 38,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200,000 กว่าบาทโดยบริษัทของเบนตันชื่อ National Consulting Services จะช่วยเหลือกัมพูชาขยายความสัมพันธ์กับสมาชิกสภาคองเกรส, เตรียมการเดินทางของสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ไปยังกัมพูชาในอนาคต, และทำงานเพื่อตอบโต้ ข้อกล่าวหาใด ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์หรือสถานะการค้าของกัมพูชา


สถานเอกอัครราชทูตกัมพูชายังได้ร่วมงานกับทีมล็อบบี้ยิสต์มากกว่า 10 คนจาก บริษัท Akin Gump Strauss Hauer & Feld มาตั้งแต่ปี 2565 ตามเอกสารที่ยื่นต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ

โดย เอกสารระบุว่า บริษัทดังกล่าวได้ช่วยประสานงานภารกิจการค้าของรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่เดินทางไปซานฟรานซิสโกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา,อำนวยความสะดวกในการจัดสายโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาหลังการเลือกตั้งและจัดการประชุมกับสำนักงานของวุฒิสมาชิกอเล็กซ์ พาดิลยา จากพรรคเดโมแครต เมื่อเดือนพฤษภาคม ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กัมพูชาเดินทางมายังสหรัฐฯ เพื่อเจรจาการค้า

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า จำนวนล็อบบี้ยิสต์ที่ทำงานให้รัฐบาลกัมพูชาในวอชิงตัน มีมากกว่าการเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทยอย่างเห็นได้ชัด โดยไทยมีเพียงสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวในนิวยอร์กและลอสแอนเจลิส ในขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเพิ่งขึ้นทะเบียนล็อบบี้ยิสต์ 2 รายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในกิจกรรมต่าง ๆ ตามเอกสารที่เปิดเผย

อินฟลูฯ เขมร ปั่นกระแสเรียกร้องอเมริกาเข้าไปตั้งฐานทัพ

วันพุธที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ภายหลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ บีบให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาไปเจรจาหยุดยิงกันที่ประเทศมาเลเซียก็เริ่มมีอินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชาออกมาเรียกร้องให้โดนัลด์ ทรัมป์ กับสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในกัมพูชาแล้ว เป็นอินฟลูฯ ผู้หญิงเขมรอ้างว่าเกิดที่สีหนุวิลล์ โดยใช้ชื่อเพจว่า The Khanitha Show มีผู้ติดตามอยู่ประมาณ 1.6 ล้านคน, ยูทูปอีกประมาณ 6 แสน เธอได้โพสต์ข้อความ และจดหมายยาว บอกว่า กัมพูชาต้องการฐานทัพสหรัฐฯ (Cambodia needs a US Military Base) ซึ่งมีคนเข้าไปคลิกไลค์ และแชร์โพสต์ไปหลายแสนคน คอมเมนต์อีกเป็นหมื่นๆ


เธอบอกว่า ประเทศไทยมีเจตนาอันใหญ่หลวงที่จะยึดครองกัมพูชา ดังนั้นกัมพูชาจึงต้องการฐานทัพของสหรัฐฯ เพื่อยืนหยัดต่อสู้เราต้องใช้โอกาสนี้ในการร้องขอให้สหรัฐอเมริกาสร้างฐานทัพในประเทศกัมพูชา ใกล้กับจังหวัดเสียมราฐ นี่คือหนทางเดียวที่จะช่วยปกป้องประเทศกัมพูชาของเราไปได้อีกหลายร้อยปีในอนาคต

“ดิฉันคิดว่าประเทศไทยจะกลับมารบกับกัมพูชาอีกครั้งอย่างแน่นอน ก่อนปี ค.ศ.2075 หรือ พ.ศ. 2618 (50 ปีข้างหน้า)ซึ่งถึงตอนนั้นยุทโธปกรณ์ของไทยจะทันสมัยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“พี่น้องคะ มีหลายประเทศที่มีฐานทัพสหรัฐฯ คอยปกป้องอธิปไตยของพวกเขา และประเทศเหล่านั้นก็เจริญรุ่งเรือง พวกเขาไม่เคยสูญเสียดินแดนเลย สหรัฐฯ ไม่ได้ยึดครองดินแดนของประเทศใด มีแต่จะช่วยเหลือและส่งคืนให้ แถมยังให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกด้วย”



นอกจากนี้เจ้าของเพจ The Kanitha Show ที่มีชื่อจริงว่า สก กานิถา (Sok Kanitha) อายุ 36 ปี ยังพยายามเชิดชูนายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยนะครับว่า นายทรัมป์สมควรที่จะได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในฐานะที่ช่วยยุติสงครามระหว่างกัมพูชากับไทยได้ในครั้งนี้อีกด้วย !?!

เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว แสดงให้เห็นชัดเจนว่า กัมพูชาเตรียมการมานานแล้ว ที่จะเปิดศึกกับประเทศไทย ทั้งเพื่อแย่งชิงดินแดน และเพื่อสถาปนาความมั่นคงทางอำนาจให้กับตระกูลฮุน


กัมพูชาภายใต้การนำของฮุนเซน แสดงสันดาน “พระยาละแวก” ที่เนรคุณ ทรยศหักหลักทุกคนทุกฝ่าย ซึ่งฮุนเซนจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสมจากทั้งฝ่ายไทยและจีนอย่างแน่นอน

เหตุการณ์ครั้งนี้ยังทำให้ทั้งภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะ ประเทศไทย กำลังถลำลึกเข้าไปในยุทธภูมิของการช่วงชิงอิทธิพลของชาติมหาอำนาจ คือ จีนและสหรัฐฯ ซึ่งถ้าหากเราวางตัวกำหนดท่าทีไม่รอบคอบ หรือ ละเอียดถี่ถ้วนพอ ก็มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะทำให้ ประเทศไทย และทั้งภูมิภาคอาเซียนนี้กลายเป็นเหมือน ตะวันออกกลาง หรือ ยูเครน ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน !

“ผมคิดว่าไทยอาจจะไม่ใช่ยูเครน 2 แต่กัมพูชากำลังจะกลายเป็นยูเครน 2 เพราะผมเชื่ออย่างมั่นคงเลยว่า จีนต้องเอาคืนกัมพูชาอย่างแน่นอนที่สุด เหมือนกับคำพูดของนายหวัง อี้ ที่พูดออกไป ท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ คนที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในวันนี้ นอกจากคนไทยและประเทศไทยแล้ว ก็คือประเทศจีน เพราะประเทศจีนช่วยกัมพูชาทุกเรื่อง วางโครงสร้างพื้นฐานให้ สนามบินที่พนมเปญ จีนก็เป็นคนสร้างให้ กำลังจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม กำลังจะให้เงินให้ทองไปสร้างคลองฟูนันเตโช ที่จะอ้อมผ่านเวียดนามโดยไม่ต้องส่งออกผ่านท่าเรือเวียดนามออกสู่ทะเล” นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น