พบเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาปลุกระดมเยาวชนชาวเขมรให้จดจำพฤติกรรมของไทยในปีนี้ และเปลี่ยนความโกรธแค้นเป็นพลัง รักษามรดกทางวัฒนธรรม พร้อมกล่าวหาว่าไทยใช้เล่ห์เหลี่ยมบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อหวังยึดครองดินแดนกัมพูชากว่า 500 ปี
วันนี้ (1 ส.ค.) เว็บไซต์เฟรชนิวส์ (Fresh News) สื่อของกัมพูชา รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม กัมพูชาเตือนเยาวชนอย่าลืมพฤติกรรมของไทยในปี 2025 และเปลี่ยนความโกรธให้เป็นแรงผลักดันในการเรียนรู้ โดยนางเนตร ภูมารี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปะ เป็นตัวแทนของ นางภึ่ง สกุณา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ โดยได้กล่าวเตือนเยาวชนชาวกัมพูชาให้จดจำพฤติกรรมของไทยในปี 2025 พร้อมแนะนำให้เปลี่ยนความโกรธนั้นให้กลายเป็นความพยายามในการแสวงหาความรู้ ศึกษา และเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และขนบธรรมเนียมอันดีงามของบรรพบุรุษ เพื่อร่วมกันอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของกัมพูชาให้ยั่งยืนและคงอยู่ตลอดไป
คำกล่าวนี้มีขึ้นในเวทีสัมมนาเรื่อง “บทบาทของเยาวชนในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมของบรรพบุรุษ” ที่ โรงเรียนศิลปะประจำชาติ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งสำนักข่าวเฟรชนิวส์อ้างว่าความขัดแย้งระหว่างกัมพูชา-ไทยปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อเช้าวันที่ 24 ก.ค. ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดอุดรมีชัย และลุกลามไปยังพื้นที่อื่นตามแนวชายแดน โดยอ้างว่าเกิดขึ้นหลังจากฝ่ายไทยเปิดฉากยิงก่อนที่จุดดังกล่าว
นางเนตร ภูมารี ระบุว่า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะไทยเคยใช้เล่ห์เหลี่ยมบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อหวังยึดครองดินแดนกัมพูชามานานกว่า 500 ปี นับแต่การล่มสลายของอาณาจักรอังกอร์ โดยใช้กลอุบายต่างๆ เพื่อชักจูงชาวกัมพูชาให้ทำลายมรดกทางวัฒนธรรมของตนเองโดยไม่รู้ตัว โดยกล่าวหาว่าไทย ยุให้วัวชนกับรถไถในเรื่องพระโคพระแก้ว การใช้เงินบ่อนทำลายกรุงหลวงเวียงจันทน์ การทำลายและขโมยรูปปั้นโบราณและวัตถุมีค่าจากดินแดนกัมพูชา
นางเนตรกล่าวว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพไทยได้อ้างสิทธิเหนือพื้นที่ตั้งแต่เกาะกูด จังหวัดเกาะกง ไปจนถึงปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตากระบือ (ตาควาย) และสามเหลี่ยมมุมเบย (ช่องบก) จังหวัดสตึงแตรง ซึ่งนำไปสู่การประท้วง การปะทะกัน และการยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิต อีกทั้งยังมีการยิงระเบิดใส่โบราณสถานของกัมพูชา ซึ่งเป็นมรดกโลก ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
นางเนตร ภูมารี กล่าวย้ำว่า การกระทำของเพื่อนบ้านของเราได้สร้างความเจ็บปวดให้กับประชาชนกัมพูชาโดยเฉพาะเยาวชน และควรใช้ความรู้สึกนั้นเป็นแรงผลักดันในการเรียนรู้ ทำความเข้าใจในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ และร่วมกันอนุรักษ์ให้คงอยู่ตลอดไป
นางเนตรกล่าวเสริมว่า เยาวชนกัมพูชาเป็นเสาหลักของชาติ เป็นผู้สืบทอดที่มีพลังในการขับเคลื่อนประเทศสู่สันติภาพ ความมั่นคง และความรุ่งเรือง การอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมจำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากเยาวชนทั่วประเทศ
การจัดสัมมนาในครั้งนี้ตอบสนองต่อความต้องการของเยาวชนชายหญิงที่มีศักยภาพสูง ซึ่งเป็นทายาทของชาวกัมพูชาในการสืบสาน รักษา และอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี ขนบธรรมเนียม รวมถึงการเผยแพร่อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติในเวทีโลกด้วยความภาคภูมิใจ
นอกจากนี้ นางเนตรยังกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมและศิลปะ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของรัฐ มีบทบาทในการผลักดันนโยบายของรัฐบาลภายใต้ยุทธศาสตร์ห้าเหลี่ยมระยะที่ 1 ที่เน้นมนุษย์ ถนน น้ำ ไฟฟ้า และเทคโนโลยี ควบคู่กับนโยบายด้านวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์และสืบสานมรดกวัฒนธรรมของชาติ โดยโรงเรียนศิลปะประจำชาติก็เป็นหน่วยสำคัญในการฝึกอบรมและถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะดั้งเดิม เช่น การรำ ดนตรี โขน ประติมากรรม และละคร ให้กับเยาวชน เพื่อให้มรดกเหล่านี้คงอยู่สืบต่อไปในอนาคต มรดกทางวัฒนธรรมของเราจะคงอยู่ได้ ก็ด้วยพลังของเยาวชนทุกคน