รายงานพิเศษ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2559 เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัด และมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ตรวจสอบความไม่ชอบด้วยกฎหมายและขอให้เพิกถอนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 ซึ่งยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองรวมให้กับกิจการโรงงานในกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor – WP) คือ โรงไฟฟ้าขยะ (โรงงานลำดับที่ 88/89) โรงงานรับกำจัดของเสียอันตราย (101) โรงงานคัดแลกขยะหรือฝังกลบของเสียไม่อันตราย (105) และโรงงานรีไซเคิล (106) ทำให้โรงงานกลุ่มนี้ สามารถเปิดกิจการได้ในทุกพื้นที่รวมทั้งในชุมชนหรือแม้แต่ในพื้นที่เกษตรกรรมที่ประชาชนทำกิน
แต่ในวันนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา โดยระบุเหตุผลว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ถือเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการอาศัยอำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) ปี 2557 มาตรา 44 ที่ให้อำนาจไว้กับหัวหน้า คสช.ในขณะนั้น
ผลที่ตามมาคือความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรม แหล่งน้ำทั้งผิวดินและใต้ดิน เพราะคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2559 ทำให้มีโรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor – WP) โดยเฉพาะโรงงานลำดับที่ 105 โรงงานคัดแยกและหลุมฝังกลยของเสียไม่อันตราย และ 106 โรงงานรีไซเคิล เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะโรงงานรีไซเคิลจากกลุ่มทุนจีน ตามมาด้วยปัญหาการลักลอบนำเข้าซากอิเล็กทรอนิกส์ ลักลอบทิ้งและลักลอบฝังกลบของเสียอันตรายในหลายต่อหลายพื้นที่ ซึ่งในทุกพื้นที่ยังไม่สามารถจัดการกับของเสียอันตรายที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เพราะไม่มีงบประมาณมากพอที่จะนำไปกำจัดและยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายให้ผู้ก่อมลพิษกลุ่มนี้นำของเสียไปกำจัดอย่างถูกต้องได้แม้แต่กรณีเดียว
ผ่านไปเป็นเวลา 9 ปี 6 เดือน สภาผู้แทนราษฎรจึงมีมติเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ให้เพิกถอนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 โดยจะมีผลทันทีที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับการหยุดยั้งการขยายตัวของกลุ่มโรงงาน WP ที่ไม่มีความรับผิดชอบในประเทศไทยนับจากนี้ไป แต่ก็น่าเสียดายที่การหยุดยั้งนี้ไม่เกิดขึ้นตั้งแต่ 9 ปีก่อน
**********
“ในฐานะที่เป็นทนายความของชาวบ้านที่เดือดร้อนจากคำสั่งนี้ เราคาดหวังว่า อำนาจตุลาการ จะไปช่วยถ่วงดุลการใช้อำนาจบริหารที่เล็งเห็นแล้วว่าจะไปก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนได้”
ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ รู้สึกยินดีที่ ส.ส.ช่วยพิจารณายกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 เพราะอย่างน้อยก็จะช่วยหยุดยั้งความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นเพิ่มได้อีก แต่ก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน เพราะคำสั่งนี้ควรจะถูกเพิกถอนไปตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว
“ปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในแวดวงนักกฎหมาย คือ นักกฎหมายมักจะถือว่าคำสั่งที่ออกโดยรัฐหรือออกโดยใช้อำนาจรัฐเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่มักจะไม่พิจารณาถึงบริบทแวดล้อมหรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากคำสั่งนั้น ... ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ตามหลักการแล้ว การใช้อำนาจตุลาการ ประชาชนมีความคาดหวังในการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลอยู่แล้ว ดังนั้น ตุลาการก็น่าจะให้ความสำคัญด้วยการรับพิจารณาข้อร้องเรียนของประชาชนที่เกรงจะได้รับผลกระทบจากคำสั่งของฝ่ายบริหารได้ แม้ว่าคำสั่งนั้นจะเกิดขึ้นมาจากคณะรัฐประหารก็ตาม”
“ถ้าพิจารณาให้ดี เราได้เสียโอกาสที่จะระงับยับยั้งความเสียหายจากคำสั่งที่ 4/2559 ช้าไป 9 ปี” ทนายชำนัญ กล่าว
ในบทบาททนายความที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงมาทำคดีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ทนายชำนัญ ระบุอย่างหนักแน่นว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 มีผลเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของคนบางกลุ่มอย่างมหาศาลในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะเมื่อยกเลิกการใช้ผังเมืองกับกลุ่มธุรกิจโรงงาน WP ก็มีกลุ่มคนที่ได้ที่ดินมาในช่วงเวลานั้นจำนวนหนึ่ง สามารถนำที่ดินไปจัดสรรให้เกิดโรงงานใหม่ขึ้นมาได้ซึ่งรวมทั้งโรงงานกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาเปิดกิจการในไทยเป็นจำนวนมาก หลังจีนประกาศปิดประเทศไม่ต้อนรับการนำเข้าซากอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ปี 2560
“คำสั่งที่ 4/2559 ทำให้ผังเมืองถูกใช้ผิดไปจากสภาพความเป็นจริงมาก คนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมาในช่วงที่มีประกาศคำสั่งฉบับนี้ออกมา นำที่ดินไปจัดสรรเพื่อรองรับกลุ่มโรงงานทุนจีน สร้างอาคาร ขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และโอนกรรมสิทธิ์จ่อให้ผู้ประกอบการชาวจีน”
“คำสั่งนี้ยังทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับรัฐ หรือขัดแย้งระหว่างรัฐกับกลุ่มธุรกิจโรงงาน เพราะในบางพื้นที่ชุมชนไม่เห็นด้วยที่จะให้ตั้งโรงงาน แต่เจ้าหน้าที่รัฐในระดับท้องถิ่นก็ใช้คำสั่งนี้เป็นข้ออ้างว่าจำเป็นต้องอนุญาต ส่วนในบางพื้นที่แม้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะพยายามปกป้องชุมชนด้วยการไม่อนุญาตให้สร้างโรงงาน แต่ก็ถูกกลุ่มธุรกิจนำคำสั่งที่ 4/2559 มาข่มขู่ว่าจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้า คสช.” ทนายชำนัญ อธิบายให้เห็นความจำเป็นที่ประชาชนต้องไปหวังพึ่งอำนาจจากศาลปกครองเพื่อปกป้องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของตนเองจากมลพิษ
“การที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้เพิกถอนคำสั่งที่ 4/2559 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เห็นความจำเป็นของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกของประชาชน เพราะเราเห็นแล้วว่า ในสภาวะที่บ้านเมืองถูกปกครองโดยอำนาจนอกระบบ แม้จะออกคำสั่งที่อาจสร้างผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาอำนาจตุลาการมาถ่วงดุลอำนาจบริหารได้ แถมยังกลับกลายเป็นการให้ตราประทับคำสั่งนั้นว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายไปอีก”
“จริงๆ แล้ว อำนาจตุลาการ ถือเป็นหนึ่งในสามเสาหลักเท่ากับอำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของรัฐบาลที่มาจากอำนาจนอกระบบหรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายตุลาการก็มีอำนาจที่จะยับยั้งได้ หากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ทนายชำนัญ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
แม้สภาผู้แทนราษฎรจะมีมติเพิกถอนคำสั่งที่ 4/2559 แล้ว แต่ทนายชำนัญ ยังแสดงความสงสัยต่อสิ่งที่จะตามมาอีกบางประการ เพราะการเพิกถอนคำสั่งครั้งนี้จะไม่มีผลย้อนหลังไปถึงกลุ่มคนที่ได้ที่ดินมาในระหว่างที่มีคำสั่งที่ 4/2559 รัฐบาลจึงควรระบุให้ชัดเจนว่า จะมีมาตรการอย่างไรหากที่ดินเหล่านั้นจะถูกนำไปสร้างโรงงานกลุ่ม WP เพิ่ม หรือการดำเนินการกับโรงงานที่ตั้งไปแล้วในพื้นที่ชุมชนและพื้นเกษตรกรรมหลังจากนี้ ควรจะเป็นอย่างไรต่อไป