รายงานพิเศษ
20 มกราคม พ.ศ.2559 หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 4/2559 เรื่อง “การยกเว้นการบังคับใช้กฎกระทรวงใช้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท” หรือที่เรียกกันให้เข้าใจง่ายในเวลาต่อมาว่า คำสั่งที่ 4/2559 ยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองรวม ให้กับกิจการโรงงานในกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor – WP) คือ โรงไฟฟ้าขยะ (โรงงานลำดับที่ 88/89) โรงงานรับกำจัดของเสียอันตราย (101) โรงงานคัดแลกขยะหรือฝังกลบของเสียไม่อันตราย (105) และโรงงานรีไซเคิล (106) ซึ่งหมายความว่า โรงงานในกลุ่มนี้ จะไปเปิดอยู่ในพื้นที่แบบไหนก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัดจากผังเมืองอีกต่อไป
ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ระบุว่า ในปี 2558 ประเทศไทยมีสัดส่วนระหว่าง โรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator - WG) กับโรงงานในกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor – WP) ที่ 40 ต่อ 1 คือ มี WG 40 แห่งต่อ WP 1 แห่ง ... แต่ในปี 2566 สัดส่วนเปลี่ยนไปอย่างมาก คือ มี WG 26 แห่ง ต่อ WP 1 แห่ง ซึ่งหากนับเป็นจำนวนโรงงาน จะพบว่ามีโรงงาน WP มากถึงกว่า 2,700 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก
อ่านความหมายได้ว่า ในช่วงเกือบ 10 ปี ที่ผ่านมา โรงงานกลุ่ม WP เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย หลังคำสั่งที่ 4/2559 มีผลบังคับใช้ โดยโรงงานเหล่านี้เข้าไปตั้งอยู่ในชุมชน อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรม ส่วนใหญ่มีเจ้าของกิจการเป็นทุนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มทุนจีน และสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงในเกือบทุกพื้นที่
23 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 โดยจะมีผลบังคับใช้ทันทีที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หลังจากที่เปิดช่องให้สามารถตั้งโรงงานกลุ่ม WP มาได้เป็นเวลายาวนานถึง 9 ปี 6 เดือน
“เฉพาะในพื้นที่หมู่ 9 ต.เกาะขนุน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา มีใบอนุญาตลำดับที่ 105 และ 106 เกิดขึ้นมากกว่า 30 ใบ หลังมีคำสั่งที่ 4/2559 ออกมา และเมื่อไปตรวจสอบก็พบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน กากอุตสาหกรรมถูกกองทิ้งและถูกลักลอบฝังกลบ”
“เรียกได้ว่า โรงงานพวกนี้มาตั้งแบบ Stand Alone อยู่ในชุมชนกับพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน”
ดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม มูลนิธิบูรณะนิเวศ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำงานคลุกคลีกับผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายจังหวัดทั่วประเทศ กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำสั่งที่ 4/2559 ซึ่งยังพบว่า กากอุตสาหกรรมเหล่านี้ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ และมีระบบการจัดสรรที่ดินสำหรับการจัดตั้งโรงงานเพื่อรองรับกลุ่มทุนชาวจีนด้วย
“ช่วงปี 2560 ประเทศจีนที่เคยเป็นแหล่งรับรองซากอิเล็กทรอนิกส์จากฝั่งยุโรปละสหรัฐอเมริกา ประกาศปิดประเทศไม่ยอมรับการนำเข้าซากอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิลอีกต่อไปเพราะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศไทย ออกประกาศคำสั่งที่ 4/2559 ทำให้ซากอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นหลั่งไหลมาที่ประเทศไทย โดยในช่วงต้นปี 2561 ไทยไปตรวจพบโรงงานรีไซเคิลซากอิเล็กทรอนิกส์ที่ ต.เกาะขนุน และพบว่า ในโรงงานเดียวกันมีใบอนุญาต 105 และ 106 รวมกันถึง 15 ใบ มีเจ้าของเป็นชาวจีน” ดาวัลย์ ย้อนเหตุการณ์
“พอลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเชิงลึกเราก็พบข้อมูลสำคัญว่า เฉพาะในพื้นที่หมู่ 9 ต.เกาะขนุน มีใบอนุญาต 105 และ 106 รวมกันถึง 30 ใบ โดยเริ่มจากมีคนไทย 4 คน รับหน้าที่จัดสรรที่ดิน สร้างอาคารโรงงานและขอใบอนุญาตเตรียมไว้แล้ว ก่อนจะโอนกรรมสิทธิ์ไปให้กลุ่มทุนจีนซึ่งสามารถขนเครื่องจักรย้ายโรงงานจากจีนมาเปิดในไทยได้อย่างง่ายดาย ... เมื่อรีไซเคิลนำของที่ยังมีมูลค่าออกมา ก็ส่งกลับไปที่จีน และทิ้งกองกากอุตสาหกรรมที่ใช้อะไม่ได้แล้วไว้บนแผ่นดินไทย โดยไม่ส่งไปกำจัดอย่างถูกต้องด้วย”
นอกจากพื้นที่หมู่ 9 ต.เกาะขนุน ดาวัลย์ ยังระบุพิกัดอื่นๆที่ทำในลักษณะเดียวกัน คือที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม หลายแห่งที่ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา และโรงงานกลุ่มทุนจีนก็ยังขยายไปที่ ต.หนองหอย อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี จนกระทั่งไทยมีนโยบายห้ามนำเข้าซากอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับการขอใบอนุญาตประเภท 105 และ 106 ทำได้ยากขึ้นเพราะต้องไปขอจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมโดยตรง โรงงานทุนจีนก็ยังขยายตัวเปลี่ยนไปขออนุญาตเป็นโรงหลอมพลาสติก (ลำดับที่ 53) ซึ่งสามารถขอกับเจ้าพนักงานอุตสาหกรรมได้เลยโดยตรง จนไปพบอาณาจักรโรงงานทุนจีนเถื่อนบนพื้นที่ถึง 88 ไร่ ที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งใช้ใบอนุญาตเป็นโรงหลอมพลาสติก 11 ใบ แต่ในโรงงานเต็มไปด้วยซากอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเป็นจุดที่ถูกใช้เพื่อลักลอบขนกากแคดเมียมมาเตรียมหลอมด้วย
“คำสั่งที่ 4/2559 เป็นต้นเหตุที่ทุนจีนกลุ่มนี้ย้ายฐานมาที่ประเทศไทยจนเละเทะไปหมด แต่ไม่ได้มีแค่ทุนจีนที่อาศัยคำสั่งนี้มาเปิดกิจการ ยังมีโรงงานของผู้ประกอบการไทยเองด้วยที่มีผลพลอยได้สามารถขอใบอนุญาต 106 เปิดกิจการในพื้นที่ชุมชนและเกษตรกรรมได้จากคำสั่งนี้ ซึ่งก็คือ โรงงานวินโพรเสส ที่บ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งต่อมากลายเป็นมหากาพย์ความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมที่มีมูลค่าความสูญเสียเกือบ 2 พันล้านบาท กากอุตสาหกรรมไปทำลายแหล่งน้ำและพืชผลเกษตรเป็นวงกว้าง มลพิษเจือปนลงในแหล่งน้ำบาดาล ถูกปล่อยทิ้ง ถูกไฟไหม้จนเกิดการปนเปื้อนขยายออกไป และยังจัดการได้เพียงเล็กน้อยมาจนถึงวันนี้”
ดาวัลย์ กล่าวต่อไปว่า รู้สึกดีใจที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติให้เพิกถอนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 โดยหวังว่ามตินี้จะถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้โดยเร็ว เพราะยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปก็ยังมีโอกาสที่จะมีโรงงานกลุ่ม WP จากทุนจีนเปิดขึ้นมาเพิ่มได้อีก เนื่องจากที่ผ่านมา ก็มีข้อสงสัยมาโดยตลอดว่า การออกคำสั่งที่ 4/2559 จนทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงขนาดนี้ เกิดจากความไม่รอบคอบในการประเมินสถานการณ์ของรัฐบาลในยุคนั้น หรือเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดกันแน่
“เดิมทีมีคำอธิบายว่า การออกคำสั่งที่ 4/2559 เป็นเพราะรัฐบาลต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เพื่อจัดการกับปัญหาขยะชุมชน ซึ่งเมื่อจะจัดการขยะ ก็ต้องมีโรงงาน 101 105 106 รวมอยู่ด้วย แต่ปัญหาคือ โรงงาน 106 (รีไซเคิล) เป็นโรงงานที่สามารถรับของเสียมาจัดการได้แบบครอบจักรวาล จึงมีคนบางกลุ่มเห็นเป็นโอกาสที่จะนำทุนจีนเสียบเข้ามาเปิดโรงงานประเภทนี้ในไทยเพราะจีนประกาศปิดประเทศพอดี ... ถ้าเป็นเหตุผลนี้ ก็อาจถือว่า เป็นความไม่รู้เท่าทันของ คสช. แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็จะเห็นว่า มันเป็นช่วงจังหวะที่พอดีกันมากๆกับที่เราออกคำสั่งนี้ในช่วงที่จีนปิดประเทศ เราก็ยังสงสัยได้ว่า มีเจตนาที่จะเปิดรับมุนจันกลุ่มนี้อยู่แล้วหรือเปล่า เพราะประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีโรงงานรีไซเคิลมากขนาดนี้” ดาวัลย์ตั้งข้อสังเกตทิ้งท้าย