หากให้พูดถึง พิธีกรรม “พิธีเหยา” ในวงกว้างนั้น อาจจะเรียกได้ว่ายังไม่ถูกพูดถึงในวงกว้างมากนัก อาจจะด้วยเพราะประเพณีดังกล่าวนี้ ถูกรู้จักกันในตามความเชื่อของชาวภาคอีสาน ซึ่งหากดูจากแต่งกายและพิธีกรรมแบบผ่านๆ ด้วยแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คน อาจจะเหมารวมกับอีกประเพณีหนึ่งจากภาคอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
และเมื่อภาพยนตร์ไทยเรื่อง ’ท่าแร่’ ของค่ายสหมงคลฟิล์ม ที่มีเนื้อหากล่าวถึงพิธีกรรมดังกล่าวนี้ด้วย โดยมีหนึ่งในทีมงานที่ปรึกษาของหนังเรื่องนี้ อย่าง แม่หมอโอปอ หมอเหยาสกลนคร-ธีรยุทธ แก้วกิ่ง, ครูคิม-นิติ ไชยวงศ์คต และ หมอแคนแชมป์-ธิชานันท์ วงศ์เครือศร ทีมงานหมอเหยาพื้นถิ่นรุ่นใหม่ มาทำให้รู้จักถึงความเป็น ‘หมอเหยา’ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นและใบเบิกทางก่อนที่จะทำความเข้าใจไปสู่วงกว้างผ่านทางหนังเรื่องนี้เพิ่มเติมต่อไป
ถ้าจะให้รู้จัก หมอเหยาแบบเบื้องต้นพอสังเขป หมอเหยาคืออะไร
ครูคิม : หมอเหยา คือ หมอรักษาที่ใช้อำนาจของผีบรรพบุรุษในการสื่อสาร ระหว่างผีกลุ่มหนึ่ง กับ ผู้ป่วย โดยใช้ศาสตร์ทางด้านวาทศิลป์ และด้านคีตศิลป์ โดยมีเครื่องดนตรีแคนมาเป็นส่วนประกอบครับ
หมอแคนแชมป์ : สำหรับหมอแคน ความสำคัญในหน้าที่ตรงนี้ คือจะมาช่วยเสริมในการเหยา ซึ่งก็คือการฟ้อนรำในการรักษาผู้ป่วยครับ
แม่หมอโอปอ : คือถ้าไม่มีหมอแคน พิธีเหยาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าต้องใช้เสียงแคนเป็นเสียงดนตรีในพิธีกรรมดังกล่าว ซึ่งถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป ก็ไม่สามารถที่จะอัญเชิญผีบรรพบุรุษเพื่อมารักษาอาการได้
พิธีที่สำคัญของหมอเหยามีอะไรบ้าง
แม่หมอโอปอ :อันดับแรกก็คือถามหาสาเหตุการเจ็บป่วยว่ามันเกิดจากอะไร เช่น มาจากสิ่งลี้ลับ ภูตผีปีศาจ จนทำเกิดอาการเจ็บป่วยหรือไม่ พอได้ถามหาสาเหตุแล้ว ก็จะมีการแก้ไขปัญหาที่พบเจอให้ จนขั้นตอนสุดท้าย คือเป็นการเรียกขวัญของผู้ป่วย เรียกว่าสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ป่วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในวัตถุประสงค์ของการเหยานั่นเอง (ยิ้ม)
เคยมีประสบการณ์เรื่องลึกลับอาถรรพ์ในการเป็นหมอเหยาอย่างไรบ้าง
แม่หมอโอปอ : อันนี้ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวโดยตรงในการไปรักษาร่วมกับหมอแคนแชมป์ ก็คือมีทั้งสิ่งลี้ลับ และความเหลือเชื่ออภินิหารก็ว่าได้ เพราะว่าในการรักษาแต่ละครั้ง มันก็จะมีหลายแบบจากหลายอาการความเจ็บป่วย แต่สำหรับเคสนี้มีการล้มหมอนนอนเสื่อ ถึงขั้นป่วยจนติดเตียง ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมายืนได้
แต่พอเราได้ทำการรักษาได้ประมาณ 2-3 วัน ก้ได้สอบถามถึงอาการป่วยเพิ่มเติม ก็ปรากฏว่าของผู้ป่วยดีขึ้น สามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้ มีการสื่อสารโต้ตอบกับลูกหลานได้บ้าง แม้ว่าจะยังไม่หายดีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โดยภาพรวมนั้น ถือว่าอาการดีขึ้นประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าทางเราก็ได้แก้ไขให้กับผู้ป่วย พอได้รักษาแล้ว ส่วนตัวเราก็รู้สึกถึงความอัศจรรย์ใจและเหลือเชื่อตรงที่ว่า จากที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง จนกลายเป็นทำให้ท่านกลับมามีกำลังได้ โดยจากไปที่แบบผิดกฎกติกาของผี แล้วเขาก็ลงโทษให้เจ็บป่วย จนเราไปรักษาในสภาพที่ผู้ป่วยถึงขั้นอาการหนัก แต่เราก็สามารถสร้างขวัญกำลังใจละเยียวยาจิตใจ และต่ออายุให้กับผู้ป่วยได้
แล้วจากประสบการณ์ส่วนตัวดังกล่าวนี้ ยังได้ส่งผลอะไรต่อแม่หมอบ้างครับ
แม่หมอโอปอ : เราว่าส่งผลในเรื่องของคนรุ่นใหม่ ที่ยังไม่รู้จักพิธีกรรมเหยา ที่อาจจะแบบว่าผิดจารีตประเพณีหรือแหวกแนวไปบ้าง แต่พอหมอเหยาเข้ามามีบทบาทในเรื่องการบอกสอนกล่าวเตือนแล้ว ก็คอยบอกกับพวกเขาเหล่านั้นว่า การกระทำบางอย่าง มันอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว และคอยบอกถึงประเพณีโบราณดั้งเดิมให้กับพวกเขาไป
นอกจากกำลังใจเป็นสิ่งหลักในการรักษาอาการต่างๆ แล้ว ปัจจัยอื่นที่คิดว่าสำคัญในความเห็นของทางทีมงาน คืออะไร
ครูคิม : แน่นอนว่ามันมีอยู่แล้วครับ คือกำลังใจเป็นผลพลอยได้ แต่ศาสตร์จริงๆ คือ เรารู้เหตุผลว่าทำไมถึงป่วย โดยใช้อำนาจศาสตร์ของผี เป็นตัวไขปัญหาว่า คุณทำผิดในลักษณะนี้ เลยทำให้ผีมาลงโทษคุณ เพราะฉะนั้น คุณจะต้องมาแก้ไขว่าต้องทำแบบนี้ๆ นะ อาการป่วยถึงจะดีขึ้น อันนี้คือเหตุการณ์หลักที่เกิดขึ้น แต่ว่าในบางกรณี ก็ไม่ได้มีเรื่องผีมาเกี่ยวข้อง แต่จะเป็นในเรื่องของการให้กำลังใจในการเยียวยาแทน
แม่หมอโอปอ : ในบางเคส ก็อาจจะใช้ยาสมุนไพรเข้าช่วยด้วย ให้รู้จักสรรพคุณของยาสมุนไพร ที่บางครั้งยาแผนปัจจุบันอาจจะไม่ช่วยเท่าไหร่ เราก็ใช้ยาสมุนไพรเข้าช่วยที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย หรือใช้ศาสตร์มนต์คาถาแบบโบราณเข้าช่วย ซึ่งจากการรักษาที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ทุกอย่างล้วนมีกุศโลบายทำให้ครอบครัวรักกัน จนสามารถให้กำลังใจผู้ป่วยได้ แต่โดยรวมหลักๆ ก็คือ การสร้างขวัญกำลังใจนั่นเอง
แน่นอนว่า ประเพณีที่สืบกันมา อาจจะหายไปในระหว่างรุ่น ในมุมของทางทีมงาน มีความเป็นห่วงยังไงบ้างครับ
แม่หมอโอปอ : มันก็เป็นไปตามยุคตามสมัย เราก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องเครื่องใช้อุปกรณ์ หรือในเรื่องการละเล่น ซึ่งในหมอเหยาเอง ก็มี 3 อย่างด้วยกัน คือ หนึ่ง การเหยามในผี ก็คือการไหว้ครูประจำปี เรียกว่าการเลี้ยงผีประจำปี สอง คือการเหยาที่สืบทอดผี และ สาม การเหยาเพื่อการรักษา หรือองค์ประกอบรวมเรียกว่า การเหยาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ แต่ส่วนที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็คือ คนรุ่นใหม่ จะต้องมีการเหยาไปทำไม เหยาไปเพื่ออะไร เราก็ได้อธิบายให้เข้าใจ ทั้งในเชิงวิชาการ เชิงศาสนาผี และในเชิงพุทธศาสนาด้วย ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันสอดคล้องกัน แล้วก็บอกประมาณว่า หมอเหยา ก็คือคลินิกรักษาคน เป็นที่พึ่งให้กับคนที่เจ็บป่วย ในเชิงลักษณะนี้มากกว่า
ครูคิม : แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงก็คือ ในปัจจุบัน การรักษาจารีตของหมอเหยา อาจจะถูกคลี่คลายลงไป เพราะฉะนั้นอำนาจที่เกิดขึ้นจากสิ่งลี้ลับ ก็จะถูกลดทอนไปด้วย เพราะไม่สามารถทำตามข้อห้าม และก็มีการนำศาสตร์อื่นเข้ามาประยุกต์มาปะปนปนกัน จนไม่ใช่สิ่งที่บรรพบุรุษของเราสั่งสอนมา เช่น มีการเอาพิธีกรรมที่แปลกๆ มาใช้ร่วมด้วย ก็ส่งผลให้การเป็นหมอเหยาก็ค่อนข้างที่จะเปลี่ยนแปลงไป
อยากให้ช่วยเล่าถึงการมาทำงานในหนังเรื่องนี้พอสังเขป
แม่หมอโอปอ : สำหรับการมาร่วมงานกับหนังเรื่องนี้ ก็จะมาดูในเรื่องของคาแรกเตอร์หมอเหยาให้กับ คุณมีน (พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร) เช่นสอนในเรื่องของการรำ ท่าทาง รวมไปถึงเรื่องของจารีตประเพณีของหมอเหยา ว่าจะต้องปฏิบัติตัวยังไง ถึงจะสื่อสารกับทางบรรพชนได้ ให้มีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด เพราะว่า พิธีกรรมในลักษณะนี้ เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ และมันเกี่ยวกับผี เราก็ต้องสอนว่า จังหวะในการพูดและแสดงท่าทางออกมา มันก็ต้องมีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในการสอนในเรื่องของการรำ ก็ถือว่ามีความยากกอยู่เหมือนกันนะ แต่ทางคุณมีน โดยส่วนตัวเราก็ถือว่าเก่งมาก แล้วเราก็อาจจะพูดภาษากลางไม่ถนัดนัก อาจจะมีพูดภาษาถิ่นของเราออกไปบ้าง แต่คุณมีนก็เข้าใจในสิ่งที่เราสอนออกไป ซึ่งในเรื่องภาษาก็จะเป็นทางครูคิม ที่มาช่วยสอนอีกคน
ครูคิม : อย่างตัวบทบาทที่น้องมีนได้รับ ก็มีพื้นหลังของตัวละครที่เป็นหมอเหยาที่มีชาติพันธ์ทางภูไท เพราะฉะนั้นภาษาที่เขาใช้ในการสื่อสารเกือบตลอดทั้งเรื่อง ก็จะเป็นภาษาภูไท ซึ่งเราจะช่วยในเรื่องของการเขียนบทอธิบาย และเป็นในเร่องของสำเนียง และมีการบ้านให้กับน้องเขาส่งกลับไปมา อีกทังจะเป็นเรื่องของหารแต่งกายที่มันถูกต้อง ซึ่งภาพรวมที่ออกมาก็มีความตรงกับชาติพันธุ์ของเราครับ
จุดที่ยากและความท้าทายที่สุดของการทำงานกับหนังเรื่องนี้
หมอแคนแชมป์ : น่าจะเป็นในเรื่องของการรำครับ เพราะด้วยที่พี่มีนเป็นคนต่างถิ่น ที่ก่อนหน้านี้แทบจะพูดภาษาภูไทไม่ได้เลย
แม่หมอโอปอ : คือถ้าเป็นภาษาถิ่นอีสานก็ว่ายากแล้ว ยิ่งเป็นภาษาภูไทก็ถือว่ายากขึ้นไปอีก เพราะทั้งสองภาษานี้ก็มีความแตกต่างกัน สำเนียงภูไทจะมีความเหน่ออีกขั้น น้ำเสียงสำเนียงภูไทจะมีความเนิบ ถ้าออกเสียง ช.ช้าง ปกติ ก็จะเป็นเสียง ซ.โซ่
ครูคิม : คือด้วยความที่ทางทีมงานของหนังเรื่องนี้ ได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี อย่างพิธีการเหยา ก็จะมีฟีดแบ็กไปมากันตลอดเวลา ซึ่งทางเราก็คิดนะครับว่า มันต้องมีความละเอียดเลยรึเปล่า แต่ทางทีมงานก็แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจรายละเอียด แต่ว่าอาจจะติดแค่เรื่องสำเนียงภาษาการออกเสียงนิดหน่อย ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติในการฝึกสอน
แม่หมอโอปอ : ส่วนการสวมบทบาทหมอเหยาโดยส่วนตัวเรา คุณมีนก็ถือว่าตอบโจทย์ในการสวมบทบาทนี้ แต่อาจจะติดในเรื่องน้ำเสียงสำเนียงบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในการหัดพูดภาษาภูไท
หากหลักความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายที่เหมือนกัน แม่หมอมีความเห็นคร่าวๆ ยังไงบ้าง
แม่หมอโอปอ : ถ้าให้พูดถึงในมุมนี้ เราคิดว่าจะเป็นเรื่องของการรวมตัวกันมากกว่า คือความเชื่ออาจจะเหมือนกัน แต่การบอกการสอนการปฏิบัติอาจจะไม่เหมือนกันซึ่งส่วนตัวเราก็คิดว่าน่าจะเป็นผลดีนะ เพราะว่ามันสอดคล้องหลายๆ อย่าง ทั้งในเรื่องวัฒนธรรม ศาสนา ที่เข้ามาแทรกซึมและมีการร่วมกัน เพื่อจุดมุ่งหมายที่จะผ่านวิกฤตไปด้วยกัน เหมือนกับรวมตัวเพื่อจุดหมายเดียวกัน ของแต่ละศาสนา อาจจะใช้วิธรการรักษาที่แตกต่างกัน
ครูคิม : ผมมองว่าความแตกต่างของศาสนา อาจจะต่างในเรื่องของวิธีการปฏิบัติที่ไมเหมือนกัน แต่เป้าหมายสูงสุดที่เหมือนกัน ก็คือมุ่งหมายไปสู่ความสงบสุข และการมีสุขภาพที่ดี จากทั้งหมอเหยา หรือ ศาสนาอื่นก็ตามที ก็คือการบูชาธรรมชาติ และปฏิบัติตัวให้ดี เพื่อที่จะให้ชีวิตของเรามีความสุข ศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นๆ ก็มีจุดมุ่งหมายที่ไม่แตกต่างกัน เขาก็จะมีหลักปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน เพื่อที่จะให้ชีวิตมีความสุข ซึ่งถ้าดูในหนัง อย่างบทกลอนที่ทางหมอเหยาใช้นั้น ประกอบไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงมีความเป็นธรรมชาติรวมอยู่ด้วยครับ
คิดว่าผู้ชมจะได้อะไรถึงความน่าสนใจของหมอเหยาจากหนังเรื่องนี้ครับ
แม่หมอโอปอ : คิfว่าผู้ชมจะได้รู้ในเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิมของทางสกลนคร ได้รู้จักภาษาที่แตกต่างออกไป ได้รู้จักพิธีกรรมการเหยาว่าเป้นอย่างไร และมีไว้ทำไม หนังเรื่องนี้ก็จะบอกว่า ทุกศาสนาอาจจะมีการใช้เหมือนกัน แต่วิธีการปฏิบัติอาจจะแตกต่างกัน ซึ่งคิดว่าผลลัพธ์น่าจะตอบโจทย์นะ เพราะว่าผลตอบรับจากชาวภูไทก็มีมากมาย และจะช่วยสื่อสารถึงวัฒนธรรมเหล่านี้ไปสู่วงกว้างมากขึ้น
ครูคิม : ผมว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นการคลี่คลายความเข้าใจผิดตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ระหว่างเรื่องหมอเหยา กับประเพณีผีฟ้า ว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ ซึ่งหนังเรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงวัฒนธรรมการเหยาของชาติพันธุ์ภูไทว่ามันเป็นอย่างนี้ ว่ามันมีกำแพงเป็นจารีตปกป้องอยู่ อีกทั้งจะได้เห็นความสำคัญของทั้งสองความเชื่อที่สุดท้ายมันต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันครับ ยังไงก็อยากให้ไปพิสูจน์กันในโรงภาพยนตร์ ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมนี้ เป็นต้นไปด้วยนะครับ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช และ สหมงคลฟิล์ม