เปิดหน้ากาก “ออกญาก๊กอาน” นักธุรกิจ-นักการเมืองกัมพูชา ผู้ใกล้ชิดกับฮุนเซน เบื้องหลังก็คือ “หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ขบวนการอาชญากรรม หลอกลวง ฟอกเงิน และค้ามนุษย์เบอร์ต้นๆ ผู้มีทรัพย์สินเฉียดแสนล้านบาท มีอิทธิพลโยงใยมาถึงนักการเมืองฝั่งไทย ถ้า “ทักษิณ” ไม่แตกหัก “ฮุนเซน” ด้วยประเด็นคลิปเสียง คงไม่มีทางที่ตำรวจไทยจะออกหมายจับได้
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการออกหมายจับ MR. Kok An หรือ ก๊กอาน สัญชาติกัมพูชา เจ้าของเครือข่าย Crown Casino resort ตึก 25 ชั้น, ตึก 18 ชั้น และ Hi-so ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา อันเป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ว่า หากนายทักษิณ ชินวัตร ไม่แตกหักกับนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยคงไม่สามารถออกหมายจับดังกล่าวได้ เนื่องจากนายก๊กอานได้รับการปกป้องจากนายฮุนเซนซึ่งมีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับนายทักษิณมาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ ตามหมาย คดีอาญาของ บก.สอท.1 ที่ 995/2568 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 นายก๊กอานถูกตั้งข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เหตุเกิดที่ บริเวณแขวงจอมพล เขตจตุจักร, แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร, ตำบลชัยสถาน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 9 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2568 เวลากลางวันและกลางคืน เกี่ยวพันต่อเนื่องกันมา
พฤติการณ์แห่งคดี ด้วยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้มีคำสั่งที่ 172/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน เพื่อทำการสืบสวนคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา บก.สอท.1 ที่ 22/2567, คดีที่ 287/2567 และคดีอาญา บก.สอท.4 ที่ 243/2568 ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกัน โดยมีการกระทำความผิดอันมีลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ประกอบด้วยบุคคลหลายสัญชาติ มีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ ณ สถานที่หลายแห่งในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา เช่น อาคาร 25 ชั้น, อาคาร 18 ชั้น, อาคาร HISO และอาคาร Crown Casino
โดยกลุ่มคนร้ายใช้สถานที่ทำการหลอกลวงทางออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น Hybrid Scam, Call Center และการฟอกเงินผ่านบัญชีม้า และสกุลเงินดิจิทัล มีการใช้แรงงานคนไทยจำนวนมากที่ถูกหลอกไปทำงานในลักษณะบัญชีม้า พร้อมบังคับให้สแกนใบหน้าเพื่อยืนยันธุรกรรม และมีพฤติกรรมกักขังหน่วงเหนี่ยวบุคคลในต่างประเทศ
จากการสืบสวนสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาคือนายก๊กอาน เป็นเจ้าของสถานที่อาคารให้ ขบวนการกลุ่มคนร้ายอาชญากรรมข้ามชาติใช้ในการก่อเหตุ อันมีส่วนร่วมกระทำการใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการจัดการ สั่งการ ช่วยเหลือ ยุยง อำนวยความสะดวก หรือให้คำปรึกษาในการกระทำความผิดร้ายแรงขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีพยานหลักฐานเพียงพอว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา
พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา ศาลอาญาอนุญาตให้ออกหมายจับผู้ต้องหา ตามคำร้องหมายจับที่ 3924/2568 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้สืบสวนจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายก๊กอานเป็นใคร และร่ำรวยขนาดไหน?
ก๊กอาน เป็นหนึ่งในนักธุรกิจและนักการเมืองทรงอิทธิพลที่สุดของกัมพูชา เกิดที่เกาะกงเมื่อปี 2497 ปัจจุบันอายุ 71 ปี โดยมีเชื้อสายจีน ไหหลำ และกัมพูชา ทำให้มีชื่อจีนว่า “ฝู กั๋วอัน (符國安)” ทำให้พูดได้ 4 ภาษา คือ เขมร ไทย จีน และ เวียดนาม
“ก๊กอาน” ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกภายใต้พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ที่นำโดย นายฮุนเซน าอย่างยาวนาน เขาเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของกลุ่มบริษัท Anco Brothers ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายทั้งในด้านกาสิโน ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การประมง พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทำให้กลายเป็น 1 ใน 10 มหาเศรษฐีของกัมพูชาที่มีบทบาทสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำระดับสูงของประเทศ
รายงานของสื่อจีนเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ระบุว่า “ก๊กอาน” น่าจะมีทรัพย์สินอย่างน้อย 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทไทยก็มากมายถึง 88,000 ล้านบาท
“ก๊กอาน” ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุด และได้สมัญญาเป็น “ออกญา” จากกษัตริย์แห่งกัมพูชา ตามคำกราบบังคมทูลของนายฮุนเซน
ในเอกสารลับเป็นโทรเลขเกี่ยวกับเหล่ามหาเศรษฐีกัมพูชาของสถานทูตสหรัฐฯ ที่รั่วไหลออกมาทาง Wikileaks เมื่อปี 2554 กว่า 700 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาในช่วงปี 2535-2553 มีตอนหนึ่งระบุว่า
10 มหาเศรษฐีชาวกัมพูชาที่มีความใกล้ชิดกับตระกูลฮุน โดย “ก๊กอาน” คือหมายเลข 4
“นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกำลังพยายามเชื่อมช่องว่างระหว่างภาคการเมือง และภาคเอกชนด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับกลุ่มนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ (ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ก๊กอาน)
“ผู้นำทางธุรกิจเหล่านี้บริจาคเงินให้พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล และฮุนเซนสามารถขอให้พวกเขาระดมทุนเพื่อการกุศลและโครงการสาธารณูปโภค และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่พรรค CPP สามารถเรียกร้องเครดิตได้
“ในทางกลับกัน กลุ่มนักธุรกิจเหล่านี้ได้รับความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมเพิ่มขึ้นจากการได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงเครือข่ายของกลุ่มนักธุรกิจ บุคคลสำคัญทางการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐที่ก่อตั้งขึ้นในกัมพูชา ซึ่งเสริมสร้างวัฒนธรรมแห่งการไม่ต้องรับโทษและจำกัดความก้าวหน้าในการปฏิรูป เช่น การประกาศ “สงครามต่อต้านการทุจริต” ของฮุนเซนเอง ...”
ด้วยเหตุนี้จึงมีรายงานจากเอกสารทางการทูตหลุดออกมาว่า “ก๊กอาน” เคยมีบทบาทในการจ่ายเงินชดเชยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้รัฐบาลไทย สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ จากเหตุการณ์จลาจลเมื่อปี 2546 ซึ่งส่งผลให้สถานทูตถูกเผาทำลาย และเป็นวิกฤตการณ์ทางการทูตครั้งใหญ่ระหว่างไทย-กัมพูชา ในยุคที่นายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกด้วย
“ก๊กอาน” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ราชาการพนันแห่งปอยเปต หรือ Kingpin of Poipet ยังมีความเชื่อมโยงถึงเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์และการหลอกลวงไซเบอร์ข้ามชาติ โดยเฉพาะธุรกิจกาสิโนที่เป็นจุดสนใจของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในหลายประเทศ ในปี 2559 มีรายงานว่าชาวจีนกว่า 70 คนถูกจับกุมที่ Crown Casino ซึ่งเป็นตึกที่ “ก๊กอาน” เป็นเจ้าของ
ปัจจุบัน “ก๊กอาน” ยังคงมีบทบาททั้งในด้านการเมืองและธุรกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยมีความสนิทสนมกับ นายวัฒนา อัศวเหม เจ้าพ่อปากน้ำ นักโทษหนีคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน (และเป็นสาเหตุว่าทำไมก๊กอานถึงไปซื้อบ้าน มีเซฟเฮาส์ และอสังหาริมทรัพย์หรูแถวสมุทรปราการเยอะ เป็นเขตอิทธิพลของนายวัฒนา อัศวเหมนั่นเอง)
ก่อนจะมีหมายจับ “ก๊กอาน” ออกมา ทีมสืบของ บก.สอท.ได้ให้ปากคำถึงข้อมูลการสืบสวนเกี่ยวกับพฤติกรรมของก๊กอาน ด้วยต่อพนักงานสอบสวน ระบุว่า ก๊กอานเป็นผู้รับผลประโยชน์และเจ้าของสถานที่ อาคาร Crown Casino, อาคาร HISO, อาคาร 25 ชั้น และอาคาร 18 ชั้น ในปอยเปต มีการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง ของกลุ่มคนจีนที่เช่าอาคารดังกล่าวทำกิจการที่ผิดกฎหมาย เป็นไปในลักษณะขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
โดย "บิ๊กบอส" ซึ่งหมายถึงก๊กอานจะมอบหมายให้ "บองเพี้ยะ" ซึ่งเป็นคนสนิท เก็บเงินส่งให้ทุกเดือน ขณะที่ลูกสาวของก๊กอาน ที่ชื่อ "เชอรี่" ก็มาตรวจสอบความเรียบร้อยที่กลุ่มอาคารดังกล่าวเป็นระยะ
(ชุดแดงในภาพ) “เชอรี่” หรือ นางจูรี ลูกสาวก๊กอาน ซึ่งถือบัตรประชาชนไทย
ตะลึง! นางจูรี หรือเชอรี่ ลูกสาวก๊กอาน ถือบัตรประชาชนไทยได้ยังไง?
ประเด็นที่น่าสงสัยจากการตรวจค้นของตำรวจไซเบอร์ครั้งนี้คือ “นางเชอรี่” ลูกสาวก๊กอานมีบัตรประชาชนไทย โดย “เลขบัตร 13 หลัก” ขึ้นต้นด้วย “เลข 2” อันหมายความถึงคนไทยที่แจ้งเกิดเกินกำหนดตามกฎหมาย (15 วันหลังคลอด)
ทั้งนี้สิ่งที่ผิดปกติคือ มีการแจ้งเกิด “นางเชอรี่” ว่าเกิดในเดือนพฤษภาคม 2526 หรือถึงปัจจุบันก็ต้องอายุ 42 ปีแล้ว โดยมีการทำบัตรประชาชนครั้งแรกในเดือน มิถุนายน 2541 และทำบัตรเรื่อยมาอีก 4 ครั้งในปี 2548, 2556, 2561 (2 ครั้ง) โดยทั้งหมดทำที่สำนักงานเขตเดียวกัน
แม้ตัวเลขบนบัตรประชาชนจะ “ดูเหมือนถูกต้อง” ตามระบบราชการไทย แต่เมื่อดูจากช่วงเวลาการแจ้งเกิด และความเกี่ยวพันกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชุดสืบสวนตั้งข้อสงสัยว่า
- กรณีนี้อาจเป็นการสวมบัตรประชาชน หรือมีเจ้าหน้าที่บางรายเอื้อประโยชน์ให้นายทุนต่างชาติแทรกซึมสู่ระบบทะเบียนราษฎรไทย หรือไม่?
- บุคคลที่เกิดและเติบโตในต่างแดน ได้บัตรประชาชนไทยได้อย่างไร?
- ใครคือเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีการ “เปิดช่อง” ให้ดำเนินการเช่นนี้
จากการเข้าตรวจค้นบ้านพัก 19 จุดนั้น 15 จุดมีชื่อของ “เชอรี่” ลูกสาวของนายก๊กอาน เป็นเจ้าบ้าน และมีชื่อสกุลชาวต่างชาติเป็นผู้อาศัยหลายคน
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สืบสวนทลายรังโจรหลอกลวงโลกแก๊งฮุนเซน เนื่องจากมีกรณีนางสาวชาล็อต ออสติน รองอันดับ 5 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 ถูกคนร้ายหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย
และคดีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2567 นางสาวพัชรินทร์ วงศ์ไชยา ผู้เสียหาย ถูกคนร้ายหลอกลวงโดยข่มขู่ให้เกิดความกลัว (Call center) เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงินจำนวนมากหลายสิบล้านบาทไปยังบัญชีม้าของคนร้าย
นอกจากนี้ ยังพบว่าพิกัดการทำธุรกรรมทางการเงินบัญชีม้าของคนร้ายเกิดขึ้นที่จุดเดียวกัน ปรากฏตามละติจูด และลองจิจูดซ้ำๆ กัน ณ เขตปอยเปต ประเทศกัมพูชา มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ตึก Puli Casino
2. ตึกในเครือ Crown Casino Resort (ประกอบด้วยอาคาร 4 อาคาร ดังนี้ อาคาร Crown Casino, อาคาร 25 ชั้น, อาคาร 18 ชั้น และอาคาร Hi-so) โดยอาคารของตึก Crown Casino และ อาคาร 18 ชั้น และอาคาร Hi-so ทั้ง 3 ตึก มีทางเชื่อมต่อถึงกัน
3. ตึกเบาะแดง ฯลฯ
ทั้งหมดปรากฏอยู่ในพื้นที่เขตปอยเปต ประเทศกัมพูชา อันก่อให้เกิดความเสียหายจำนวนมหาศาลต่อประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เชื่อมโยงคดีมากกว่า 150 กรณี รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 1 พันล้านบาท จึงเป็นเหตุให้ บช.สอท.ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน ตามคำสั่งเพื่อดำเนินการสืบสวนขยายผลหาผู้กระทำผิด โดยมี พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคำสั่งดังกล่าวเพื่อจับกุมกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
จากการรวบรวมพยานหลักฐานและปรากฏจากรายงานการสืบสวนของคณะทำงาน ทราบว่า “นายก๊กอาน (Kok An)” ซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชา และเป็นเจ้าของอาคาร 4 อาคารในเครือ Crown Resort จะใช้สถานที่ดังกล่าวให้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่าอาคารและห้องพัก จัดทำสำนักงานสำหรับหลอกลวงคนไทยและต่างชาติ โดยในพื้นที่ประกอบด้วย 4 อาคาร มีชื่อเรียกอาคาร ดังนี้
(1.) อาคาร Crown Casino
(2.) อาคาร 25 ชั้น (เอนเตอร์เทนเมนต์รีสอร์ต + สำนักงาน)
(3.) อาคาร 18 ชั้น (เอนเตอร์เทนเมนต์รีสอร์ต และสำนักงาน)
และ
(4.) อาคาร Hi-So (สำนักงาน และร้านอาหาร)
ซึ่งอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกันหมด โดยทั้งสามตึก คืออาคาร Crown Casino กับ อาคาร 18 ชั้น และอาคาร Hi-So นั้นมีทางเชื่อมต่อถึงกันได้หมด
ปีที่แล้ว วันที่ 14 มิถุนายน 2567 ทีมสืบสวนไซเบอร์ได้เดินทางไปประสานงาน เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทย กรุงพนมเปญ ได้ไปร่วมประชุมหารือแนวทางการสืบสวนจับกุมกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวกับ นายพล Chea Pov รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ประเทศกัมพูชา) และคณะ เพื่อขอความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมอบเอกสารระบุพิกัดอาคารดังกล่าวข้างต้น หมายจับผู้ต้องหา พร้อมทำหนังสือร้องขอการปฏิบัติการร่วมจับกุมในประเทศกัมพูชา
ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประสานไปยัง นายฮุนมาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อให้มีความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายในประเทศไทยจำนวนมาก โดยได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะข้าราชการตำรวจไทย เข้าร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกลกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา และคณะ โดยคณะที่ประชุมฝ่ายไทย ประกอบด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. (ยศในขณะนั้น), พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ยศในคณะนั้น) และ พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. ในฐานะหัวหน้าทีมสืบสวน เข้าร่วมในที่ประชุมด้วย
ทั้งนี้ พลตำรวจตรี วิวัฒน์ได้แจ้งในที่ประชุมทราบว่าได้มีการขออนุมัติศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับแก้งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 165 ราย จากการสืบสวนผู้ต้องหาส่วนใหญ่หลบหนีไปอยู่ที่เขตปอยเปต ประเทศกัมพูชา เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย และในที่ประชุมร่วมได้มีความเห็นและข้อตกลงร่วมกันที่จะดำเนินการ
ครั้นต่อมา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ทีมสืบสวนได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ติดต่อประสานงานติดตาม เร่งรัด เพื่อจับกุมผู้ต้องหา 165 ราย ตามหมายจับจากประเทศกัมพูชา ทีมตำรวจไทยชุดนี้จึงได้เดินทางไปประสานงานกับข้าราชการตำรวจกัมพูชา เขตปอยเปต ประเทศกัมพูชา
ซึ่งข้อมูลแหล่งที่เชื่อว่าผู้ต้องหาหลบหนีไป ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าวส่วนใหญได้หลบหนีไปอยู่ที่เขตปอยเปต ประเทศกัมพูชา ทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะใช้อาคารทำการหลอกลวงคนไทยมีอยู่อย่างน้อยจำนวน 6 จุด ได้แก่
จุดที่ 1 - PULI CASINO ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุ ละติจูด และลองจิจูดได้ทั้งหมด
จุดที่ 2 - ตึก 25 ชั้น
จุดที่ 3 - ตึกบ่อปลา
จุดที่ 4 - ตึก 6 ชั้น และตึก 3 ชั้น
จุดที่ 5 - ตึกเขียว
จุดที่ 6 - ตึกสีเปลือกไข่
จากการสืบสวนทราบข้อมูลว่ามี นายก๊กอาน เป็นออกญา เจ้าของตึกและบ่อนพนัน คราวน์ กาสิโน โดยนายก๊กอานเป็นผู้มีอิทธิพลในประเทศกัมพูชา ไม่มีใครกล้าจับกุม ตรงตามที่ข้อมูล ซึ่งรู้อยู่ก่อนแล้วด้วย กระทั่งการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกับกัมพูชาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน ก็ไม่ได้รับการประสานงานจากตำรวจกัมพูชาให้เข้าร่วมตรวจค้นจับกุมแต่อย่างใด
การทำงานร่วมกันครั้งนี้ เมื่อทางทีมตำรวจไทยเร่งรัดให้มีการร่วมปฏิบัติการครั้งใดก็จะได้รับการบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนเรื่อยมา ตำรวจกัมพูชาเพิกเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตำรวจไทยวางกำลังสายสืบอยู่ที่ปอยเปตถึงสองเดือนจึงเดินทางกลับไทย
การที่มีการกระทำผิดในพื้นที่อาคารต่างๆ ของ “ก๊กอาน” แต่ “ก๊กอาน” กลับไม่ยอมดำเนินการอะไรเลยกับกลุ่มจีนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เช่าตึก จึงเชื่อได้ว่ามีการรับผลประโยชน์ต่างตอบแทน และน่าจะคอยอำนวยความสะดวกให้ เคลียร์เจ้าหน้าที่ภาครัฐของกัมพูชาให้ จนไม่มีการเข้าไปตรวจค้นจับกุม แม้จะมีการประสานแจ้งเบาะแสไปจากทางการไทยแล้วก็ตาม
จริงๆ พฤติกรรมเช่นนี้ไม่แตกต่างไปจากกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กับกาสิโนที่ฝั่งเมียวดีที่นายทุนจีนเทามีการให้หุ้น และจ่ายค่าคุ้มครองแก่ พลตรี ซอ ชิดตู่ ของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงหรือกะเหรี่ยง BGF ทางฝั่งพม่า แต่อย่างใด
ทั้งหมดนี้คือที่มาของการออกหมายจับ “ก๊กอาน” สมุนมือขวา “ฮุนเซน” ที่นำไปสู่การรวบรวมหลักฐาน และขอหมายค้นต่อศาลอาญาฯ รวม 19 จุด ที่เป็นข่าวใหญ่ตามหน้าสื่อต่างๆ
ทุกสื่อลงกันโครมๆ ว่าตำรวจไซเบอร์ไล่ค้น 19 จุดทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล ที่เป็นเครือข่ายก๊กอาน และในบางจุดเป็นบ้านพักของลูกสาวก๊กอาน ที่มาสวมบัตรประชาชนคนไทย มาเสพสุข เสพความสำราญในประเทศไทย จากเงินที่หลอกคนไทย โดยตำรวจไซเบอร์ยึดอายัดทรัพย์มาได้ 27 ล้านบาท
แต่ความเป็นจริงตำรวจไซเบอร์ยึดอายัด เงินสดกับเครื่องประดับของเครือข่าย “ก๊กอาน” ได้รวมประมาณ 520 ล้านบาทเศษ และต่อมายึดอายัดเงินในบัญชีธนาคารต่างๆ อีกรวม 130 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการยึดอายัดทรัพย์สินพวกอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน ประเมินคร่าวๆ ประมาณ 520 ล้านบาทเศษ
รวมมูลค่าทรัพย์สินรอบนี้ที่มีการยึดอายัดคร่าวๆ ประมาณ 1,170 ล้านบาท
สรุปง่ายๆ ก็คือ “ออกญาก๊กอาน” ในฉากหน้านั้นเป็นนักธุรกิจ และนักการเมืองที่ใกล้ชิดกับผู้นำกัมพูชา แต่เบื้องหลังก็คือ “หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ขบวนการอาชญากรรม หลอกลวง ฟอกเงิน และค้ามนุษย์เบอร์ต้นๆ ของกัมพูชานั่นเอง
ทรัพย์สิน 1,100 กว่าล้านของ “ก๊กอาน” ที่ตำรวจอายัดเอาไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นแค่เศษเสี้ยวทรัพย์สินของลูกสาว และลูกสมุน “ก๊กอาน” ที่มาซุกในประเทศไทยนะครับ และยังสาวไปไม่ถึงตัว “ก๊กแาน” เลย ยังมีการยักย้ายทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลขนาดนี้มาฝากไว้ที่ประเทศไทย ถ้าถึงตัว “ก๊กอาน” จริงๆ มันจะขนาดไหน
ยิ่งเมื่อมองไปถึง “ฮุนเซน” หัวหน้าใหญ่ จะเห็นว่าคนกัมพูชาลำบากลำเค็ญแค่ไหน ต้องหนีมาบ้านเรามาเป็นขอทาน แต่ผู้บริหารประเทศ สมาชิกวุฒิสภาเขมร กลับครอบครองทรัพย์สินรวยล้นฟ้า คิดเป็นเงินหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท เพราะเงินส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งนั้นมีที่มาจากการประกอบอาชญากรรมข้ามชาติ
วันที่ตำรวจไซเบอร์ลงพื้นที่ปฏิบัติการค้น 19 จุด ผู้คนในโซเซียลมีเดียถามกันมากว่า ทำไมตำรวจเพิ่งตื่น เพิ่งจะรู้สึกตัว คนไทยโดนหลอกเสียหายกันไปเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน เพราะจีนเทา เขมรเทาพวกนี้
“ผมสนธิจะตอบแทนตำรวจไซเบอร์ครับ ที่มีวันนี้ได้ ออกหมายจับ “ก๊กอาน” ได้ เพราะ “อังเคิลฮุนเซน” ปล่อยคลิปเสียงมา “ฆ่าหลานอุ๊งอิ๊ง” ไงครับ ทำให้พ่ออุ๊งอิ๊งโกรธควันออกหู ตัดความสัมพันธ์ของเพื่อนรักระหว่าง “ทักษิณ-ฮุนเซน” จนวันก่อนบนเวทีงานสัมมนาของเครือเนชั่นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยลั่นวาจาว่า “ทำลูกผมขนาดนี้ ยอมรับว่าผมถึงกับช็อกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ? ... ผมสนิทกับสมเด็จฮุนเซน มากเลย สนิทจริงๆ ผมก็คิดไม่ถึงว่าคนสนิทกันขนาดนี้เป็นแบบนี้ แต่แน่นอนว่าถึงเวลาปัญหาประเทศมา ผมถือปัญหาประเทศเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือไม่ ผมว่าสงสัยต่างคนต่างลืมชื่อกันไปแล้ว”
ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง และแตกหักระหว่าง “ตระกูลชิน กับ ตระกูลฮุนเซน” นี้ ตำรวจไซเบอร์จึงทำงานได้อย่างสะดวก เพราะไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้นแล้ว
“ถ้า “ทักษิณ-ฮุน เซน” ยังรักกันอยู่ คบค้าสมาคมกันเหมือนก่อน วันนี้จะออกหมาย “ก๊กอาน” ได้มั้ย? เพราะที่ผ่านมา สตช. และตำรวจไซเบอร์ทำงานตลอด รวบรวมหลักฐานไว้หมด แต่ไม่มีปัญญาทำ เพราะอำนาจทักษิณมันกดข้าราชการเอาไว้ พอวันนี้สัญญาณเพื่อนแตกคอกันแล้ว ตำรวจก็เลยลุยเต็มสูบได้ ... เรื่องมันมีแค่นี้เอง” นายสนธิกล่าว