กระทรวงวัฒนธรรมฯ กัมพูชาออกแถลงการณ์อ้างสิทธิ์ "กลุ่มปราสาทตาเมือน" อยู่ในจังหวัดอุดรมีชัยของตน พร้อมขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งชาติ และปฏิเสธคำกล่าวของ "แพทองธาร" รัฐมนตรีวัฒนธรรมไทย ด้านไทยงัดหลักฐานกรมศิลปากร ยันชัดปราสาทอยู่ในสุรินทร์ และขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไทยตั้งแต่ปี 2537 โดย "ปราชญ์ สามสี" ชี้ นี่อาจเป็น "เกมท้าทายทางวัฒนธรรม" ไม่ต่างจากเขาพระวิหารในอดีต
จากกรณี ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชา หลังจากกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ออกแถลงการณ์ อ้างว่า “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว พร้อม ปฏิเสธคำกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมไทย ที่ระบุว่า "กลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในประเทศไทย"
ล่าสุด วันนี้ (5 ก.ค.) เพจ "ปราชญ์ สามสี" ได้ออกมาโพสต์ข้อความวิเคราะห์โบราณสถานกับการเมืองระหว่างไทยและเขมรใครได้เปรียบ โดยทางเพจได้ระบุข้อ ความว่า
"ข้อพิพาทระอุ! กัมพูชาออกแถลงการณ์อ้างสิทธิ์ “ปราสาทตาเมือน” – ไทยย้ำชัดอยู่ในเขตสุรินทร์และขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากรตั้งแต่ปี 2537
วันที่ 5 กรกฎาคม 2568 – ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชายกระดับอีกครั้ง หลังจากกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ออกแถลงการณ์เมื่อเวลา 21:30 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม อ้างว่า “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว พร้อม ปฏิเสธคำกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมไทย ที่ระบุว่า "กลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในประเทศไทย"
สาระสำคัญของแถลงการณ์ฝั่งกัมพูชา
อ้างสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยาม ปี 1904 และ 1907 รวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ใช้ใน บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ระบุว่าไทยต้องยอมรับการตีเส้นเขตแดนร่วม
กล่าวหาว่าไทยใช้ “แผนที่ฝ่ายเดียวที่ไม่มีผลทางกฎหมาย” และเรียกร้องให้ไทย เคารพหลักการสากลในการกำหนดเขตแดน
ระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน ได้รับการขึ้นทะเบียนใน “บัญชีสำรวจโบราณสถานแห่งชาติกัมพูชา” แล้ว และตั้งอยู่ใน “จังหวัดอุดรมีชัย”
ฝั่งไทยยืนยันหลักฐาน “กรมศิลปากร” – ขึ้นทะเบียนแล้วในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่ปี 2537
ฝ่ายไทยโดยกระทรวงวัฒนธรรมและกรมศิลปากร ได้ไม่มีข้อมูลระบุอยู่แล้วว่าปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่ บ้านหนองคันนา หมู่ที่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 28 ง ลงวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2537
นอกจากนี้ ปราสาทแห่งนี้ยังอยู่ในความดูแลของ สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา และมีป้ายระบุเขตโบราณสถานชัดเจนตามแบบมาตรฐานกรมศิลปากร
ความจริงเชิงเทคนิค: ความต่างของ “แผนที่ไทย–แผนที่ 1:200,000” ข้อพิพาทสำคัญอยู่ที่พื้นฐานของแผนที่:
ฝ่ายไทยยึดหลัก แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมและเส้นเขตแดนตามสภาพภูมิประเทศ (Topographic Map) และใช้ระบบ WGS84 ที่แม่นยำระดับดาวเทียม
ขณะที่กัมพูชายึด แผนที่ 1:200,000 ที่วาดขึ้นโดยฝรั่งเศส ซึ่งไทยไม่เคยให้สัตยาบันในฐานะแผนที่หลักอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ MOU ปี 2543 ที่กัมพูชาอ้าง ยังอยู่ในสถานะ “ยังไม่ให้สัตยาบันโดยรัฐสภาไทย” และมีข้อพิพาทในหลายจุด เช่น กรณี “เขาพระวิหาร” ที่กลายเป็นประเด็นในอดีต
วิเคราะห์: โบราณสถานกับการเมือง – ใครได้เปรียบ?
ฝั่งกัมพูชากำลังใช้ ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อเสริมความชอบธรรมในการอ้างอธิปไตย
ฝั่งไทยแม้มีหลักฐานภาคสนามชัดเจน แต่กลับเผชิญข้อจำกัดทางการเมืองในระดับภูมิภาคและเวทีระหว่างประเทศ เช่น UNESCO
บริบทนี้จึงอาจกลายเป็นการเปิด “เกมท้าทายทางวัฒนธรรม” ไม่ต่างจากกรณีเขาพระวิหารในอดีต"