ครูสาว คศ.1 โรงเรียนในกาญจนบุรี ต้องเผชิญชะตากรรมสุดพลิกผัน! หลังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง ข้อหาร่วมทุจริตเงินโรงเรียนเมื่อ 13 ปีก่อน ทั้งที่เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นเพียง "แพะรับบาป" ไม่เคยรู้เรื่องการเงิน เพียงแค่เซ็นชื่อตามคำสั่งของอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนที่โกงเงินกว่า 3 แสนบาท และชดใช้คืนไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ครูสาวผู้เป็นเสาหลักครอบครัว ไม่มีเงินจ้างทนายสู้คดี ต้องวอนขอความช่วยเหลือจากสังคม หวังทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง
วันนี้ (4 ก.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กสาวรายหนึ่ง โพสต์ข้อความตัดพ้อหลังตนเองตกเป็นเหยื่อ”ผอ.“ ทุจริตอาหารกลางวัน เจ้าตัวยอมรับไม่มีความรู้เรื่องการเงิน โดยเหยื่อสาวได้ระบุข้อความว่า
ข้าพเจ้านางสาวกนกรัตน์ อิ่มประเสริฐ ครู คศ.1 โรงเรียนบ้านบึงหัวแหวน อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี กำลังเผชิญวิกฤตครั้งสำคัญในชีวิต หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง กรณีร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนทุจริตเงินโรงเรียนเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ทั้งที่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการบริหารจัดการเงินใด ๆ และทำหน้าที่เพียงลงนามร่วมกับผู้อำนวยการตามคำสั่งเท่านั้น
เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 ขณะที่นางสาวกนกรัตน์ยังเป็นครูบรรจุใหม่ที่โรงเรียนบ้านหนองย่างช้าง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโรงเรียน แม้จะไม่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการเงินหรือระเบียบพัสดุเลยก็ตาม เธอชี้แจงว่าในทางปฏิบัติ เธอเป็นเพียงผู้ลงนามร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนในใบเบิกถอนเงินเท่านั้น เอกสารการเงินอื่น ๆ ไม่เคยได้ทำเลย และไม่เคยถือเงินหรือบัญชีของโรงเรียน ไม่เคยเป็นผู้ใช้จ่ายเงินโรงเรียนแต่อย่างใด
โดยเชื่อมาตลอดว่าหน้าที่ของเจ้าหน้าที่การเงินคือการเซ็นชื่อ ส่วนการเบิกถอนเงินจากธนาคาร การจ่ายเงินให้ช่างและร้านค้า ผู้อำนวยการเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด
จุดพลิกผันของเรื่องนี้คือการเข้าตรวจสอบภายในของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 (สพป.กจ.4) เนื่องจากผู้อำนวยการโรงเรียนถูกร้องเรียนเรื่องการทุจริตเงินค่าอาหารกลางวัน และจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบความผิดปกติจากการเบิกเงินโดยไม่มีชุดจัดซื้อจากบัญชีเงินอุดหนุน
ในระหว่างการสอบสวน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน ยอมรับว่านำเงินไปใช้ผิดประเภทจริง และยินยอมชดใช้เงินคืนโรงเรียนบ้านหนองย่างช้างเป็นจำนวนกว่า 300,000 บาท ซึ่งต่อมาถูกย้ายไปช่วยราชการและปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนวัดวังน้ำเขียว สพป.นครปฐม เขต 1 นางสาวกนกรัตน์เข้าใจมาตลอดว่าเรื่องนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วและไม่เกี่ยวข้องกับเธอ
กระทั่งวันที่ 1 พ.ย. 2555 ขณะที่เธอกำลังไปรายงานตัวเพื่อย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนบ้านบึงหัวแหวน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ได้ติดต่อให้เธอไปพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการใช้จ่ายเงินของโรงเรียน ซึ่งเธอก็ได้ให้ข้อมูลตามที่รับรู้มาว่าเป็นการใช้เช็ค และการใช้ใบเบิกถอนเงินของธนาคาร
ต่อมา ป.ป.ช. ได้เข้ามาสอบสวนเธออีกครั้งที่โรงเรียนบ้านหนองย่างช้าง พร้อมนำสำเนาใบเบิกเงินมาแสดง และสอบถามว่าใช่ลายเซ็นของเธอหรือไม่ ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นลายเซ็นของเธอ และได้ชี้แจงถึงบทบาทของเธอในการทำหน้าที่การเงินในขณะนั้นว่าเพียงแค่ลงนามร่วมกับผู้อำนวยการเท่านั้น ส่วนการเบิกจ่ายเป็นผู้อำนวยการดำเนินการเพียงคนเดียวทั้งหมด
แต่แล้ว ต้นเดือนมีนาคม 2566 นางสาวกนกรัตน์ก็ได้รับจดหมายจาก ป.ป.ช. ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 13 มีนาคม 2566 ว่าเธอร่วมกับนายชนะพงษ์ สาระ กระทำผิดกฎหมายในคดีเงินกว่า 300,000 บาท ซึ่งเป็นยอดเงินที่อดีตผู้อำนวยการรับสารภาพและชดใช้คืนไปแล้ว โดยเธอตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันโกงเงินโรงเรียน ป.ป.ช. ได้ให้เธอทำหนังสือชี้แจงและหาหลักฐานมาประกอบ ซึ่งเธอได้ชี้แจงตามความเป็นจริงว่าไม่เคยทำเอกสารใด ๆ นอกจากลงนามร่วมกับผู้อำนวยการเท่านั้น
แม้จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมในปี 2566 ที่ สพป.กจ.4 โดยเธอยังคงเข้าใจว่าตนเองไม่มีความผิดและน่าจะเป็นเพียงพยานในคดีของอดีตผู้อำนวยการ แต่แล้ว เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เธอกลับได้รับหนังสือจากเขตแจ้งว่า เธอถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่าร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโกงเงินโรงเรียนตั้งแต่สมัยเป็นเจ้าหน้าที่การเงินเมื่อ 13 ปีที่แล้ว โดยมีความผิดวินัยร้ายแรง มีโทษปลดออก หรือไล่ออก ภายใน 30 วันก่อนสิ้นเดือนนี้
นางสาวกนกรัตน์ยอมรับเพียงความผิดเดียวคือการลงนามจริง แต่ยืนยันว่าทำไปด้วยความไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ และทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา โดยเข้าใจว่าในตอนนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ทราบข้อกฎหมาย เธอรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นอย่างมาก เพราะเธอไม่เคยถือเงินหรือใช้จ่ายเงินของโรงเรียนแม้แต่น้อยนิด และตกเป็นเหยื่อของการกระทำของผู้บริหารโรงเรียน
ปัจจุบัน นางสาวกนกรัตน์ไม่มีเงินจ้างทนายมาสู้คดี เนื่องจากเธอเป็นเสาหลักของครอบครัว ทำงานเป็นครูเพียงอาชีพเดียวเพื่อส่งเสียลูกสองคน สามีไม่มีอาชีพ ต้องดูแลพ่อแม่ เธอจึงวอนขอความช่วยเหลือและทวงคืนความยุติธรรมจากผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ, พี่กันต์ จอมพลัง, พี่หนุ่ม กรรชัย รายการโหนกระแส, พี่บุ๋ม ปนัดดา, พี่ทนายไพศาล หรือใครก็ได้ที่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอได้
อนาคตของครูคนหนึ่งกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย จากการถูกกล่าวหาในสิ่งที่เธอไม่รู้ไม่เห็นและไม่ได้กระทำ เพียงเพราะการลงนามตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในตำแหน่งที่เธอไม่ถนัดและไม่มีประสบการณ์ เรื่องราวของนางสาวกนกรัตน์เป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนถึงความเปราะบางของบุคลากรทางการศึกษาที่อาจตกเป็นเหยื่อของการทุจริตของผู้มีอำนาจ และตั้งคำถามว่า "ต้องมีครูไทยตายเพราะการเป็นเจ้าหน้าที่การเงินอีกกี่คน"