“ตระกูลฮุน” มาเฟียบ้านใหญ่ระดับประเทศที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จในกัมพูชามาหลายทศวรรษ กำลังสั่นคลอน ด้วยหลายเหตุปัจจัย ทั้งการชิงอำนาจกันเองภายใน แรงกดดันจากเวียดนาม ปัญหาทุนจีนเทา อาชญากรรมออนไลน์ คะแนนนิยมเสื่อมทรุด การสร้าง “ศัตรูภายนอก” อย่างประเทศไทยกลายเป็นกลยุทธ์สุดท้ายเพื่อรักษาระบอบของตัวเองไม่ให้ล่มสลาย
ในปีนี้ ปี 2568 ความวุ่นวายทางการเมืองภายในกัมพูชาปะทุขึ้นท่ามกลางแรงกดดันสะสมมานานเกือบครึ่งศตวรรษ ไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาพรมแดนเท่านั้น แต่แรงสะเทือนยังลุกลามรุกล้ำอธิปไตยประเทศไทย โดยฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเจตนาปล่อยคลิปเสียงลับ 17 นาที ระหว่างตัวเอง กับ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำไทย ที่เป็นเหมือน “ระเบิดเวลา”หลุดรั่วออกมา ซึ่งสื่อเอเชียและตะวันตกรายงานตรงกันว่าเป็น “คลิปเสียงแบล็กเมล” ที่บ้านใหญ่กัมพูชาใช้กดดันรัฐบาลไทยให้ทำตามต้องการ และจุดชนวนนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วอำนาจในไทย และโยงใยกับความมั่นคงของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงโดยตรง
ภายใต้การปกครองของ ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) โดยเฉพาะในช่วง 23 ปีหลังมานี้ คือ ในช่วงปี 2546–2568 ระบอบการปกครองของกัมพูชาไปไกลกว่าระบบอำนาจนิยมทั่วไป กลายเป็นระบบเจ้าพ่อที่นักวิชาการเรียกกันว่า "ระบอบบองธม" (Bong Thom) หรือ “ระบบพี่ใหญ่-บ้านใหญ่”
ฉากหลังของ “ศึกชิงอำนาจภายในกัมพูชา” ที่ซับซ้อนทั้งประวัติศาสตร์ การทหาร เศรษฐกิจ และปฏิบัติการข่าวสาร มีตัวแสดงหลักอย่าง บ้านใหญ่ฮุนเซน, ฮุนมาเนต, ฝ่ายค้าน, ฝ่ายเชื้อพระวงศ์ กับแรงกดดันจากอิทธิพลเวียดนาม ไทย จีน และสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องในระดับภูมิรัฐศาสตร์ดังต่อไปนี้
ประการที่ 1 แผลเก่าจากสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเสื่อมถอยทางอำนาจของประเทศ ย้อนกลับไป หลังสงครามเวียดนามเมื่อปี 2518 กัมพูชากลายเป็นหมากตัวเล็กๆ ในศึกอินโดจีน เมื่อเวียดนามบุกยึดพนมเปญในปี 2522 และก่อตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ซึ่งมี เจียง โสวัน เป็นประธานาธิบดี และ เฮง สัมริน เป็นนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (PRK) เพื่อแทนที่รัฐบาลเขมรแดง ทำให้ดินแดนชายทะเลใต้สุดของกัมพูชาตั้งแต่ เกาะฟูก๊วก (Dao Phu Quoc) ไปจนถึงแหลมคัมโบเดียตอนใต้ ค่อย ๆ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลเวียดนาม
ปัจจุบันหลายพื้นที่กลายเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ของเวียดนามที่ห้ามชาวกัมพูชาเข้าโดยไม่มีใบอนุญาต เช่น เขตชายแดนพะเวต-ม็อกบ่าย (Bavet-Moc Bai) ซึ่งเป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่างกรุงพนมเปญ กับ เมืองโฮจิมินห์ กลายเป็นพื้นที่ที่ทุนจากเวียดนามเข้ามามีบทบาทสูง ทั้งในการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และการจ้างงาน ซึ่งแรงงานกัมพูชากลับได้ค่าจ้างต่ำ และไม่มีอำนาจการต่อรองในระบบ
นอกจากนี้การตั้งถิ่นฐานของชาวเวียดนามในพื้นที่รอบลุ่มน้ำโตนเลสาบ มีชุมชนชาวเวียดนามเพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ที่สำคัญรัฐบาลตระกูลฮุนยังเลือกใช้ “แผนที่ที่เวียดนามจัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2554 ในอัตราส่วน 1 : 50,000 ในการเจรจากำหนดแนวชายแดน แทนที่จะใช้แผนที่สมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ทำให้เวียดนาม “รุกล้ำเข้ามา” ฝั่งกัมพูชาหลายจุด โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดทางภาคตะวันออก ได้แก่ รัตนคีรี, มณฑลคีรี, กระแจะ และสตึงเตรง ที่เคยเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดที่ตกค้างจากยุคสงครามเวียดนามกว่า 6 ล้านลูก และที่ดินจำนวนมากถูกรัฐบาลกัมพูชา “งุบงิบ”เมื่อกลางปี 2567 เซ็นสัญญาสัมปทานให้บริษัทเวียดนามระยะเวลาเกือบ 99 ปี ทำให้เกิดกระแสต่อต้านในกลุ่มพลัดถิ่นในฝรั่งเศสและอเมริกาอย่างหนัก
นายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชาในต่างแดน เคยให้ความเห็นอย่างต่อเนื่องว่า รัฐบาลกัมพูชาภายใต้ฮุน เซน ได้วางนโยบายที่ทำให้เวียดนามมีอิทธิพลต่อกัมพูชามากเกินไป เขาชี้ว่าการรับรองแผนที่ของเวียดนามคือ “การยอมจำนนทางดินแดน” และการให้สัมปทานที่ดินคือ “การล่าอาณานิคมในรูปแบบใหม่”
โดยเขากล่าวว่า “เวียดนามไม่ต้องใช้ทหาร แต่ใช้ผู้นำของเราเป็นเครื่องมือได้ หากเราไม่รู้เท่าทัน”
ทั้งนี้ กัมพูชาร่วมโครงการสามเหลี่ยมพัฒนากับลาวและเวียดนาม (CLV-DTA) แต่เกิดการประท้วงจากชาวกัมพูชาทั้งในและนอกประเทศอย่างหนัก เพราะหวั่นชาวเวียดนามจำนวนมากจะเข้ามาได้สัมปทานที่ดิน 4 จังหวัดชายแดนที่อยู่กันมาเกือบ 100 ปี ผู้นำกัมพูชาขู่และจับกุมผู้ประท้วงเกือบ 100 คนตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
สำหรับคนกัมพูชาที่อยู่ต่างประเทศถ้ากลับประเทศจะถูกดำเนินคดี จากนั้นก็งุบงิบยกพื้นที่ 4 จังหวัดให้เวียดนามไป แล้วประกาศหลอกคนกัมพูชาว่า ถ้าใครย้ายออกจะมอบโฉนดที่ดินจังหวัดอื่นให้ ชาวเขมรที่ชายแดนถูกเวียดนามนามขับไล่ออกจากที่ดินของตนจนเกิดการปะทะกันเป็นประจำ
ฮุน เซน เขียนไว้ในโพสต์บน Facebook ในช่วงค่ำของ วันที่ 20 กันยายน 2567 ว่า “ในฐานะประธานพรรคประชาชนกัมพูชา ผมได้หารือกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และผู้นำอีกหลายคนแล้ว และเราได้ตัดสินใจแล้วว่ากัมพูชาจะยุติการเข้าร่วม CLV-DTA ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนเป็นต้นไป” แต่ยังเสริมข้อแม้ว่า แม้จะถอนตัว แต่กัมพูชาจะยังคงพัฒนาพื้นที่ชายแดนต่อไปโดยอาศัยความร่วมมือปกติกับประเทศเพื่อนบ้านและกรอบทวิภาคี ตลอดจนกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาระดับโลกอื่นๆ
ถึงกระนั้น แม้รัฐบาลฮุน มาเน็ต จะประกาศถอนตัวจากความตกลงพัฒนาเขตเศรษฐกิจร่วมกับเวียดนามและลาว (CLV-DTA) เมื่อกันยายนปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การทบทวนสัมปทาน การแก้ไขการถือครองที่ดิน หรือการกำหนดโครงสร้างภาษีให้ทุนต่างชาติ
โสภาล เอียร์ (Sophal Ear) ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา วิจารณ์ว่า การตัดสินใจของรัฐบาลที่ถอนตัวจากข้อตกลง CLV ดูเหมือนว่าจะมีแรงผลักดันหลักจากแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบรรเทาความรู้สึกชาตินิยมและข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านเกี่ยวกับปัญหาอธิปไตย ด้วยเหตุนี้ ในเวลาต่อมา ฮุนเซนจึงเบี่ยงเบนจุดกระแสชาตินิยมและสงครามแย่งชิงพื้นที่อธิปไตยชายแดนของราชอาณาจักรไทย
ประการที่ 2 สีหนุวิลล์ แหล่งกาสิโนผีการพนัน เมืองร้างท่ามกลางทุนจีนสีเทา และต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากไทย เมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งแต่เดิมเป็นเมืองท่าสำคัญห่างจากกรุงพนมเปญ 246 กิโลเมตร ถูกแปลงสภาพเป็นแหล่งคาสิโนกว่า 150 แห่งภายใน 10 ปี ภายใต้การลงทุนของทุนจีนสีเทา สร้างปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจท้องถิ่นกลับไม่ได้ประโยชน์ ชาวบ้านถูกขับไล่ ไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้า
วันที่ 18 มิถุนายน 2568 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าปัจจุบันกัมพูชาพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซทั้งหมด เนื่องจากยังไม่มีการขุดเจาะแหล่งน้ำมันและก๊าซสำรองใต้ทะเล โดยกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชาคาดว่าความต้องการน้ำมันและก๊าซภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.8 ล้านตันภายในปี 2573 จากระดับ 2.8 ล้านตันในปี 2563
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชารายงานว่าการนำเข้าน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน และก๊าซเชื้อเพลิงของกัมพูชาในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ของปี 2568 ลดลง 13% โดยมูลค่าการนำเข้าเชื้อเพลิงทั้ง 3 ประเภทของกัมพูชา อยู่ที่ราว 1,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,100 ล้านบาท)
ขณะที่ มีรายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่ากัมพูชานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปหรือ Refined petroleum จากประเทศไทยเป็นหลัก โดยข้อมูลในปี 2566 ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าสูงถึง 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 55,709 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมดที่ใช้ในประเทศ
ส่วนประเทศที่กัมพูชาซื้อน้ำมันสำเร็จรูปรองลงมาคือเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกหลักให้กัมพูชามาก่อน ในปี 2566 เวียดนามเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่อันดับที่ 2 ของกัมพูชา โดยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 672 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 20,550 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในปีเดียวกันนั้นเอง กัมพูชานำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 530 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 17,370 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้เอง การต้องพึ่งพาอาศัยประเทศไทยอย่างมาก ทำให้ ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเกิดความระแวงทางภูมิรัฐศาสตร์ เพราะพื้นที่รอบเกาะกง และ พระตะบอง มีชาวไทยอาศัยอยู่หนาแน่น ตั้งแต่ยุคที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามมานับร้อยปี (ก่อนสนธิสัญญา 1907) ทำให้รัฐบาลเขมรใช้วิธี “ปลุกปั่นกระแสหวาดระแวงไทย” เพื่อกลบกระแสต่อต้านภายในการเมืองกัมพูชา ที่ชาวกัมพูชาท้องถิ่นไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยและเกิดความไม่พอใจระบบเศรษฐกิจที่ตระกูลฮุนเซนผูกขาดกินรวบ ตั้งแต่ นมผง ผ้าอ้อม เสื้อผ้า จนถึง โรงเรียน เอกชน มหาวิทยาลัย สื่อ ทีวี และแม้แต่ ถุงยางอนามัย ล้วนอยู่ในมือ “ธุรกิจครอบครัวฮุน เซน”ตั้งแต่เกิดจนตาย ทำให้คนเขมรเบื่อหน่ายไม่พอใจรัฐบาลของตน ฮุนเซนจึงเบี่ยงเบนมาจุดกระแสขัดแย้งกับไทย
ประการที่ 3 เผด็จการตระกูลฮุนตระกูลเดียว ได้สะสมความมั่งคั่ง ท่ามกลางรัฐที่ล้มเหลว ฮุนเซนครองอำนาจแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จตระกูลเดียวมาตั้งแต่ปี 2522 ถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาเกือบ 47 ปี ผ่านตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคประชาชนกัมพูชา ประธานวุฒิสภา(เหลืออีกอย่างเดียวคือไม่ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์) ไม่มีการเลือกตั้งที่โปร่งใส พรรคฝ่ายค้านถูกยุบ นักเคลื่อนไหวถูกจับหรืออุ้มฆ่าแบบหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา มีแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกนี้ไร้ผลงานพัฒนาประเทศ คนจนเต็มเมือง
หลังการเลือกตั้งปี 2546 ที่ ฮุน เซน ชนะอย่างเด็ดขาด พรรค CPP ได้จัดตั้งองคาพยพทางเศรษฐกิจ-การเมือง ให้บุตรหลานและเครือญาติพี่น้อง ยึดครองตำแหน่งสำคัญทั้งในรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และธุรกิจขนาดใหญ่ ในหมวดการเกษตร เหมืองแร่ พลังงาน สื่อ และอสังหาริมทรัพย์ ถูกควบคุมโดยครอบครัวฮุน หรือกลุ่มทุนที่เป็นนอมินี ผ่านสะใภ้–เขย–ญาติห่าง และการถือสัมปทานภายใต้พรรค CPP
นี่คือความน่ากลัวที่สุดของระบอบเผด็จการแบบ “บองทม” ของผู้นำกัมพูชา ที่กินรวบอำนาจทางเศรษฐกิจและกดขี่ประชาชนคนกัมพูชา เศรษฐกิจกัมพูชาตกต่ำอย่างมาก รายได้ทางเศรษฐกิจ GDP กัมพูชาไม่ถึง 5% ของไทย น้อยกว่าถึง 15 เท่า
คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ของกัมพูชาในปี 2567 อยู่ที่ ประมาณ 47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 1.54 ล้านล้านบาท) เทียบกับ GDP ของไทยที่สูงกว่า 515,000 ล้านดอลลาร์(ราว 17 ล้านล้านบาท)
นอกจากนี้กัมพูชายังต้องพึ่งพาไทยทุกอย่าง ไม่มีการสร้างรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง มีแต่แผนการในอนาคตซึ่งตั้งไว้ปี 2571-2576 เพราะปัจจุบันแค่จะปรับปรุงเส้นทางรถไฟ 2 สายที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ยังค้างคาอยู่ คือพนมเปญ-สีหนุวิลล์ และพนมเปญ-ปอยเปต ให้เป็นทางรถไฟที่เร็วกว่าเดิม ส่วนโครงการที่ 2 และ 3 เป็นการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อกรุงพนมเปญกับสนามบินนานาชาติเตโช และเส้นทางเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติเสียมราฐกับเมืองเสียมราฐ ขณะที่ถนนหนทางค่อนข้างแย่มาก จนทำให้ชาวเขมรต้องลงขันซ่อมสร้างถนนกันเอง
นอกจากนี้ โครงการคลองฟูนันเตโชที่จะเชื่อมแม่น้ำโขงออกสู่อ่าวไทยเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาท่าเรือเวียดนาม ที่เป็นความหวังของประเทศถูกระงับในปี 2566 เนื่องจากขาดทุนและเป็นหนี้สินกับจีน คนตกงานจำนวนมาก ทำให้แรงงานกัมพูชากว่า 2 ล้านคนต้องหนีความยากจน ข้ามแดนมาทำงานในไทย จนสามารถส่งเงินกลับบ้านปีละกว่า 13,000 ล้านบาท กลายเป็นเสาหลักของรายได้ประเทศแทนรัฐบาลกัมพูชาที่ละเลยหน้าที่ดูแลประชาชนกัมพูชา ตอกย้ำความไร้ประสิทธิภาพและไร้ฝีมือของผู้นำกัมพูชา
ฮุนเซน ได้ปั่นกระแสขัดแย้งกับไทย เรียกร้องแรงงานเขมรกลับบ้าน หลอกว่ามีงานรองรับกว่า 200,000 แสนคน ขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 204 บาทและจะมอบโฉนดที่ดินให้คนที่กลับไป แต่เมื่อมีคนเชื่อกลับไปจริงๆ กลับไม่มีงานทำ ได้ค่าแรงวันละ 100 บาทก็หรูแล้ว แต่ฉวยโอกาสเกณฑ์แรงงานวัยรุ่นและชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร ฝึกแค่ 4 วันแล้วส่งไปแนวหน้าทันที หลังหักค่าอาหารและ ที่พักแล้วจ่ายเงินเดือนเหลือเป็นเงินไทยแค่ 230 บาท
ประการที่ 4 ความเป็นไปได้ของการแย่งชิงอำนาจภายในของเขมร ภายหลังจากฮุนเซนวางมือทางนิตินัยในปี 2566 เขาครองอำนาจยาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ และแต่งตั้งลูกชาย พล.อ.ฮุนมาเนต วัย 45 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาตั้งแต่สิงหาคม 2023 นั้น
เบื้องหลังกลับมีรอยร้าวทางอำนาจ เพราะฮุน มาเนตเป็นเพียง “หุ่นเชิด” ที่สั่งการไม่ได้จริง และฮุนเซนตั้งกองกำลังลับ BHQ(Bodyguards of Headquarters) สร้างเครือข่ายพิทักษ์อำนาจของตระกูลฮุนเซน ด้วยความระแวงกลุ่มอดีตทหารเขมรแดงจะแข็งข้อหันมาสวามิภักดิ์ไทย เหมือนเมื่อ 46 ปีก่อน ทำให้ส่งหน่วยทหาร BHQ มาประจำการเสริมที่ช่องบกและพระวิหาร ควบคุมฝ่ายทหารเขมรแดง เพื่อควบคุมชายแดนตะวันตก
ว่ากันว่า “ฮุน มานิต” ลูกชายอีกคนของฮุนเซน ที่เคยอยู่เบื้องหลังการควบคุมกองทุนพิเศษและหน่วยข่าวกรองสายลับ เริ่มเคลื่อนไหวเปิดแนวต่อต้านฮุน มาเนต และพยายามยึดอำนาจอย่างเงียบๆ โดยมีเชื้อพระวงศ์กลุ่มหนึ่งสนับสนุน ปัจจุบัน “ฮุน มานิต” ลูกชายที่ฮุน เซน ส่งให้ไปเรียนจบงานการข่าวระดับปริญญาโทจากสหรัฐฯ และกลับมานั่งเป็นผู้อำนวยการคุมสำนักข่าวกรองของกระทรวงกลาโหม และเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชาที่เกาะติดสถานการณ์ชายแดนทั้ง 24 ชั่วโมง
ขณะที่ ฮุน มานี ลูกชายคนเล็กของฮุนเซนเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกิจการพลเรือน และรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทำหน้าที่ปลุกกระแสชาตินิยม จัดตั้งสหภาพสหพันธ์เยาวชนแห่งกัมพูชา เพื่อดึงคนหนุ่มสาวเขมรออกจากฝ่ายค้าน และยังเป็นผู้นำในกิจกรรมชุมนุม Solidarity March เพื่อปลุกระดมแสดงจุดยืนสนับสนุนกองทัพสู้กับไทย
ประการที่ 5 สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำกัมพูชาแหล่งฟอกเงินระดับโลก ในเดือนพฤษภาคม 2568 รัฐบาลสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ กลุ่มฮุ่ยวัน (Huione Group) และบริษัทในเครือของตระกูลฮุนเซ็น ระบุชัดว่า “กัมพูชาเป็นพันธมิตรของทุนจีนสีเทาและเป็นแหล่งฟอกเงินระดับโลก”
นอกจากนี้สหรัฐยังประกาศแบนกัมพูชา เป็น 1 ใน 36 ประเทศ ห้ามเข้าสหรัฐฯ อ้างเพื่อปกป้องภัยคุกคาม และยึดทรัพย์เครือข่ายบ้านใหญ่กัมพูชาที่ทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงอันดับ 1 ของโลก หลังมีรายงานว่ากลุ่มธุรกิจของบ้านใหญ่เชื่อมโยงกับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงระดับโลก ที่มีฐานปฏิบัติการในสีหนุวิลล์และพนมเปญ โดย FinCEN (กระทรวงการคลังสหรัฐฯ) รายงานว่า Huione Group ได้ฟอกเงินไม่น้อยกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างสิงหาคม 2564 ถึง มกราคม 2568
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากข่าวฉาวระดับนานาชาติ รัฐบาลฮุนมาเนต จึงหันมาจุดกระแสชาตินิยม ต่อต้านไทย และใช้คลิปเสียงลับแบล็กเมล แพทองธาร นายกรัฐมนตรีไทยที่ครอบครัวมีสายสัมพันธ์กับผู้นำเขมร เป็นเครื่องมือในการต่อรองขั้วอำนาจไทย ด้วยการสร้างความขัดแย้งกับไทย หักเหลี่ยม “ทักษิณ” อย่างโหด สร้างกระแสชาตินิยมหวังกลบข่าวร้ายภายในประเทศที่กดดันอำนาจตระกูลฮุน
เมื่อฮุนเซนในวัย 72 ปี กำลังพยายามถ่ายโอนอำนาจจากมือตัวเองไปสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน ไทยต้องระวัง เนื่องจากกัมพูชาในปี 2568 กำลังเผชิญกับศึกชิงอำนาจหลายแนวรบ ทั้งจากภายในระบอบบองธอม บ้านใหญ่ฮุนเซน, ฮุนมาเนต กับ เชื้อพระวงศ์ และแรงกดดันจากภายนอกประเทศเช่น เวียดนาม–ไทย–จีน–สหรัฐฯ พร้อมกับเศรษฐกิจภายในกัมพูชาที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ความไม่พอใจของประชาชนที่ทุกข์ยากปะทุขึ้นทั่วไป
เมื่ออำนาจฮุนเซนเริ่มไม่มั่นคง การสร้าง “ศัตรูภายนอก” อย่างประเทศไทยก็กลายเป็นกลยุทธ์สุดท้ายเพื่อรักษาระบอบเผด็จการเอาไว้ไม่ให้แตกหัก
แต่คำถามที่ยังค้างคาอยู่คือ หากระบอบเจ้าพ่อ ฮุนเซนล้มลง ใครจะขึ้นมาแทน และกัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าอย่างแท้จริงหรือไม่ ?
ข้อมูลจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568