รายงานพิเศษ
21 มิถุนายน 2568 กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ลงพื้นที่ขุดเจาะเพื่อทำบ่อสังเกตการณ์ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการปนเปื้อนของสารพิษลงสู่แหล่งน้ำใต้ดิน ที่ ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา .... แต่เมื่อขุดลงไปในที่ดินของเอกชนแปลงหนึ่ง กลับไม่สามารถขุดต่อไปได้ เพราะไปติดถังสารเคมีขนาด 1,000 ลิตร ถุงบิ๊กแบ็ก และมีน้ำสีดำข้นไหลออกมา มีกลิ่นเหม็น
มนัสวี เฮงสุวรรณ นักธรณีวิทยาชำนาญการ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดเผยว่า เจตนาในการมาติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ในโครงการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบาดาล ที่ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เพราะเป็นพื้นที่ที่เคยมีประวัติการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายจุด และเมื่อได้รับการประสานงานจากประชาชนในพื้นที่ว่าสามารถขุดเจาะในบริเวณที่ดินแปลงนี้ได้เพราะเจ้าของที่ดินอนุญาตแล้ว จึงเริ่มการขุดบ่อ
“เราขุดลงไปได้ถึงความลึกที่ประมาณ 3 เมตร เท่านั้น ก็ไปชนกับถังสารเคมีขนาด 1,000 ลิตรที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน น้ำสีดำไหลออกมาในบริเวณนั้น และเมื่อขุดไปอีกจุดหนึ่งก็ไปเจอถุงบิ๊กแบ็กที่ถูกฝังไว้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยุติการขุด และแจ้งให้นายกองค์ อบต.หัวสำโรง ทราบ ... โดยทาง นายก อบต.ได้แจ้งให้อุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทราทราบด้วยทันที จากนั้นทั้งกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และทางอุตสาหกรรมจังหวัด ก็เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจ” มนัสวี เผย
ปี 2565 ไฟไหม้กากอุตสาหกรรม ใช้กฎหมาย “วัตถุอันตราย” กับเจ้าของที่ดิน
เมื่อตรวจสอบย้อนหลังกลับไป พบข้อมูลว่า ที่ดินแปลงนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่ทิ้งกากอุตสาหกรรมโดยไม่ระบุที่มา และเกิดเหตุเพลิงไหม้กากอุตสาหกรรมขึ้นเมื่อช่วงปี 2565 โดยบุคคลที่เป็นเจ้าของที่ดินชื่อ รุ่งกาญจน์ ล้อคำ เป็นบุตรสาวของผู้ประกอบการกิจการที่เกี่ยวกับการรับกำจัดหรือบำบัดของเสียรายใหญ่ บริษัท ล้อทองคำ เวสต์ จำกัด ซึ่งมีบ่อขยะที่ถูกสั่งให้หยุดประกอบกิจการไปแล้วที่ จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566
หลังเกิดเพลิงไหม้กากอุตสาหกรรมซึ่งไม่ปรากฏที่มาบนที่ดินแปลงนี้ อุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา
- เดือนกันยายน ปี 2565 และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ “รุ่งกาญจน์ ล้อคำ เจ้าของที่ดิน” ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย
- วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ได้แจ้งให้เจ้าของที่ดินดำเนินการจัดการนำกากอุตสาหกรรมทั้งหมด “ส่งไปกำจัดให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย”
เห็นได้ชัดเจนว่า ในทุกขั้นตอน มีคำว่า “วัตถุอันตราย”
ปี 2566 - 2567 คำว่า “ของเสียอันตราย” หายไป ระหว่างการขนย้าย
รายงานข่าวจาก ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ระบุว่า ในเดือนเมษายน 2567 มีเอกสารจากเจ้าพนักงานอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา ณ ขณะนั้น ส่งถึง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อรายงานว่า “ของเสียอันตรายทั้งหมดในที่ดินแปลงนี้ได้ถูกส่งไปกำจัดอย่างถูกต้องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว” จนกระทั่งกรมทรัพยากรมาขุดพบการลักลอบฝังไว้ใต้ดิน ทำให้ทีมตรวจการสุดซอย เรียกเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา มาชี้แจง
มีข้อมูลสำคัญที่ค้นพบได้ว่า การประสานนำบริษัทรับกำจัดของเสียให้มาขนย้ายไปกำจัด เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 โดย บริษัท เบตเตอร์ เวสท์ แคร์ จำกัด นำน้ำเสียไป 14.96 ตัน และ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด นำดินปนเปื้อนไปกำจัดอีก 80.915 ตัน รวมเป็นปริมาณของเสียที่ถูกนำไปกำจัดจากทั้ง 2 บริษัท เพียง 95.88 ตัน โดยตีราคาค่ากำจัดเป็นราคาของการกำจัด “ของเสียอันตราย” ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง และผู้ว่าจ้างไม่ให้บริษัทนี้ดำเนินการขนย้ายต่อ จึงยุติการขนหลังจากขนออกไปรวมกันเพียง 6 คันรถเท่านั้น
แต่สรุปเบื้องต้นได้ว่า มีการขนย้ายของเสียออกไปกำจัดแล้วจริง 95.88 ตัน จากการประเมินว่ามีของเสียอันตรายอยู่ในพื้นที่นี้ในหลักหมื่นตัน
ข้อมูลการขนย้ายดินและน้ำเสียโดยบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน และเบตเตอร์ เวิลด์ แคร์ มีตัวเลขที่ใกล้เคียงกับคำชี้แจงของอดีตอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา ในช่วงเมษายน ปี 2567 คือ ดิน 81 ตัน และน้ำเสีย 17 ตัน ... แต่ในการชี้แจงครั้งนี้ ยังพบว่า มีการแจ้งขนย้ายเข้ามาในระบบฐานข้อมูลจากอีก 2 บริษัท
บริษัทที่ 3 คือ บริษัท ซัคเซส (2019) จำกัด ระบุข้อมูลในการชี้แจงว่า รับของเสีย “ไม่อันตราย” ไปฝังกลบ 2,703 ตัน
บริษัทที่ 4 คือ บริษัท กรีน เอ็นไวรอนเม้นท์ เทคโนโลยี จำกัด ระบุเช่นกันว่า รับของเสีย “ไม่อันตราย” ไปกำจัด 807 ตัน
รวมทั้ง 4 บริษัท จากการชี้แจงของอดีตอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา ที่ส่งเอกสารมาถึงปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมว่าดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว เป็นปริมาณของเสีย 3,608 ตัน จากการประเมินของกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าอาจมีของเสียอยู่ในที่ดินแปลงนี้ประมาณ 3 หมื่นตัน
ที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ การส่งของเสียในที่ดินที่เกิดเพลิงไหม้กากอุตสาหกรรมแปลงเดียวกัน ไปกำจัดกับ 4 บริษัท แต่ระบุสถานะของเสียต่างกัน ??
กลุ่มบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ ใช้คำว่า น้ำเสีย และดินปนเปื้อน นับเป็น “ของเสียอันตราย” มีราคาค่ากำจัดอยู่ที่ตันละ 3,000-3,500 บาท ... และได้รับการว่างจ้างให้นำไปกัดเพียง 95.88 ตัน
ส่วนอีก 2 บริษัท รับของเสียจากที่ดินแปลงเดียวกันไปจัดการ แต่ใช้คำว่า “ของเสียไม่อันตราย” ซึ่งมีราคาค่ากำจัดอยู่ที่ตันละ 500-800 บาท ได้รับการว่าจ้างให้นำไปจัดการรวมกันถึง 3,510 ตัน
คำถามใหญ่ คือ ทำไม ... ของเสียในที่ดินแปลงนี้ จึงได้รับอนุญาตจากอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา (เมษายน 2567) ด้วยการ เปลี่ยนสถานะจาก “อันตราย” ไปเป็น “ไม่อันตราย”
เมื่อไปตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า บริษัท ซัคเซส (2019) จำกัด ที่รับของเสียไป 2,703 ตัน พบว่า เป็นโรงงานลำดับที่ 105 อยู่ที่ ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม ประกอบกิจการ “ฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว” โดยต้องเป็น “ของเสียไม่อันตราย” เท่านั้น ดังนั้นหากจะส่งของเสียไปฝังกลบที่บริษัทนี้ ก็จะต้องมีเอกสารยืนยันว่า เป็นของเสียไม่อันตรายเท่านั้น
คำถามถึง อดีต อุตฯ จ.ฉะเชิงเทรา ทำไมของเสีย 97% กลายเป็น “ไม่อันตราย”
เมื่อดูจากรายงานการชี้แจงของอดีตอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา ระบุข้อมูลการตรวจวัดเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2565 ไว้ว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบ 6 จุด เป็น “ของเสียอันตราย” ซึ่งใช้วิธีพล็อตจุดอยู่ในบริเวณเดียวกันกับจุดที่ถูกระบุว่า “ไม่ใช่ของเสียอันตราย” อย่างเหลือเชื่อ
ส่วนเอกสารของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2565 ที่ส่งไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับสถานีตำรวจภูธรแปลงยาว ระบุรายละเอียดชนิดของเสียไว้ด้วย เช่น ดินปนเปื้อน กองกากอุตสาหกรรม กองสายไฟบดย่อน เศษยาง เศษตะกอน และดินปนเปื้อน อยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และมีของเหลวสีดำ กลิ่นคล้ายน้ำมัน ท่วมขังเป็นจำนวนมาก บนเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา โดยมีของเสียประมาณ 3 หมื่นตัน หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในสถานที่ที่มีของเสียอันตรายรวมอยู่ด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะประเมินสถานะของพื้นที่เพลิงไหม้ทั้งหมดให้เป็นพื้นที่ปนเปื้อนของเสียอันตราย เนื่องจากไม่สามารถแยกแยะออกจากกันได้อีก
เห็นได้ชัดว่า การประเมินของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กับ อดีตอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา (ขึ้นตรงกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม) ต่างกันอย่างชัดเจน
นั่นทำให้เมื่ออุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา ที่ดำรงตำแหน่งอยู่เมื่อเดือนเมษายน 2567 ส่งเอกสารรายงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมว่า ได้ดำเนินการจัดการนำของเสียในที่ดินแปลงนี้ไปกำจัดเรียบร้อยหมดแล้ว ... หมายความว่า ในที่ดินที่เคยเป็นจุดทิ้งกากอุตสาหกรรมที่เกิดเพลิงไหม้ทั้งแปลงนี้ ถูกรายงานด้วยข้อมูลดังนี้
... มีของเสียรวมประมาณ 3,600 ตัน
... มี 3,500 ตัน เป็นของเสีย “ไม่อันตราย”
... มีเพียงไม่ถึง 100 ตัน ที่ถูกนำไปกำจัดในสถานะของเสีย “อันตราย”
มีข้อสังเกตที่น่าสนใจตามมาอีกว่า ในเมื่อ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ประเมินว่า กากในที่ดินแปลงนี้ “อันตราย” แล้ว ... ทำไมการจัดการโดยอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา จึงสามารถอนุญาตให้ส่งของเสียเกือบทั้งหมดไปที่ “หลุมฝังกลบของเสียไม่อันตราย” ได้
ผู้เชี่ยวชาญในวงการกำจัดกากอุตสาหกรรม ให้ข้อมูลว่า โดยปกติแล้ว ข้อมูลการเคลื่อนย้ายของเสียไปกำจัดจะเข้าสู่ระบบของกรมโรงงานอุตสาหกรรมก็ต่อเมื่อ ของเสียถูกส่งจากโรงงานต้นทางที่เป็นผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator- WG) ไปสู่รถขนส่ง (Waste Transporter) เพื่อไปดำเนินการที่โรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัด (Waste Processer-WP) ... แต่ในกรณีนี้ ของเสียทั้งหมด ไม่ได้อยู่ที่โรงงาน WG แต่อยู่ในที่ดินของเอกชนที่ไม่มีสถานะเป็นโรงงาน จึงเป็นไปได้ว่า กระบวนการทั้งหมดเป็นเพียงการทำสัญญาว่าจ้างขนย้ายไปกำจัด ไม่ผ่านการคีย์ข้อมูลเข้าระบบของกรมโรงงานอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น เพราะไม่มี โรงงานที่เป็น WG มาคีย์ข้อมูล ... ดังนั้น จึงผ่านสายตาเฉพาะ อุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา เท่านั้น
“สามารถพูดอย่างมั่นใจได้เลยว่า ในเมื่อกรมโรงงานฯประเมินกากในที่ดินแปลงนี้เป็นของเสีย “อันตราย” ... ถ้ามีข้อมูลถูกคีย์เข้ามาในระบบว่า “ไม่อันตราย” คงไม่สามารถผ่านการอนุญาตของกรมโรงงานฯได้ ... จึงเชื่อว่า กรมโรงงานฯ น่าจะไม่เห็นข้อมูลการขนย้ายนี้” ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความเห็น
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ... “อดีตอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง อุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา” น่าจะต้องมีคำตอบโดยเร็วให้กับของคำถามที่ผุดขึ้นมามากมายในเวลานี้ คือ
- ใช้เทคโนโลยีอะไร ในการแยกของเสียอันตราย และ ไม่อันตราย ในพื้นที่ปนเปื้อนกากอุตสาหกรรมที่เกิดเพลิงไหม้ ??
- เกิดเพลิงไม้ในพื้นที่ปนเปื้อนวัตถุอันตรายควรตีความว่า ของเสียทั้งหมดเป็นของเสียอันตราย หรือไม่ ??
- ทำไมของเสียมากกว่า 97% จึงถูกตีความว่า “ไม่อันตราย” มีข้อมูลมาสนับสนุน หรือเป็นการใช้ดุลพินิจของตัวเองในการตีความ ??
- ข้อมูลการขนย้าย โดยตีความว่า ของเสียกว่า 3,500 ตัน “ไม่อันตราย” ถูกส่งเข้าระบบของกรมโรงงานฯหรือไม่ ??
- ของเสียที่ถูกตีความว่า “ไม่อันตราย” รวมกว่า 3,500 ตัน ถูกส่งไปฝังกลบในบ่อขยะไม่อันตราย .... แน่ใจหรือไม่ว่า ไม่มีพื้นที่ปนเปื้อนเพิ่ม ??
คำถามสุดท้าย ... ถัง 1,000 ลิตร ของเหลวสีดำข้นส่งกลิ่นเหม็น ถุงบิ๊กแบ็ก ที่กรมทรัพยากน้ำบาดาลเจาะลงไปเจอ ... มาอยู่ใต้ที่ดินแปลงนี้ได้อย่างไร ??
ในเมื่อท่านรายงานว่า “ปิดจ็อบ” ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2567