ผู้ชายคนนี้ เดินตามหาความฝันของตนเอง เมื่อพบเจอสิ่งที่ตัวเองสนใจและต้องการ ก็เริ่มลงมือทำตั้งแต่นั้น แล้วก็เดินตามในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นผ่านทางการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เพียงลำพัง ณ ดินแดนที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนกว่า 5 ปี เพื่อพิสูจน์ความเชื่อดังกล่าวนี้
เมื่อได้เวลาที่ประจวบเหมาะ เขาก็รับโอกาสครั้งสำคัญในประเทศไทย กับบท “รุ่ยเจี๋ย” จากซีรีส์ ‘สงคราม ส่งด่วน’ หรือ Mad Unicorn ที่ฉายทาง Netflix จนเป็นที่กล่าวถึงในโลกออนไลน์ถึงคาแรกเตอร์จัดจ้าน ทำให้ ดร.พลัง โลกศิลป์ ดอกเตอร์หนุ่มด้านการขับร้องโอเปร่า ได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวและทางการในดินแดนบ้านเกิดเมืองนอนไปเป็นที่เรียบร้อย
เด็กเมืองทั่วไป
ที่ “ภาษาจีน” คือการค้นพบ
ชีวิตในวัยเด็ก ของเด็กชายพลังนั้น แทบจะราบเรียบตามสไตล์เด็กเมืองทั่วไป ที่แทบจะไม่สนใจอะไรเลย นอกจากแค่เรียนหนังสือและเล่นเกม จนกระทั่งเมื่อได้มาเรียนภาษาจีนตามหลักสูตรเพิ่มเติมในโรงเรียนชั้นประถม แสงเล็กๆ ในเรื่องของภาษาดังกล่าวนี้ ก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมาทีละนิดๆ อย่างไม่รู้ตัว...
“ผมเป็นเด็กไทยเชื้อสายจีนธรรมดาๆ เรียนชั้นประถมที่เมืองไทยครับ ก็เติบโตมาเป็นเด็กในเมืองทั่วไปเลย ใช้ชีวิตแบบธรรมดา ไปเรียนที่โรงเรียน แล้วก็ซุกซน อาจจะมีหนีเรียนบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาเรียนเหมือนเดิม ก็เป็นช่วงที่ยังไม่ค้นพบตัวเองเลยครับ ไม่ชอบเรียนหนังสือ ผลการเรียนก็ไม่ได้เรียนเก่ง โดยเฉพาะวิชาเลขคณิต คือแย่มาก (หัวเราะเบาๆ) แต่คุณพ่อจะมีอาชีพเป็นนักประพันธ์เพลงดนตรีทำนองจีนพื้นเมืองเลย ซึ่ง ณ ตอนนั้น เราก็ยังไม่เข้าใจหรอกนะครับว่ามันคืออะไร เราก็ใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างที่บอก เรียน ซน ชอบเล่นเกม เช่น เล่นเกมบอย สนใจการ์ตูนโปเกม่อน ในตอนนั้นวนไป
“แต่ข้อดีข้อเดียวที่เรามีในตอนนั้น คือ เรื่องภาษาครับ คือตอนเรียนประถม เราเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งนอกจากจะเรียนภาษาอังกฤษเป็นหลัก แล้วก็จะมีให้เลือกภาษาที่ 3 เพิ่มอีก 1 ภาษา สัปดาห์ละ 1 คาบ อย่างเวลาที่เราเรียนภาษาจีนที่โรงเรียน เรารู้สึกว่าเรียนภาษาจีนได้เร็วกว่าคนอื่นนิดหน่อย ซึ่งเรามาเพิ่งรู้ในตอนหลังนะครับ ว่าเรามีเซ้นส์ละทักษาะด้านภาษา มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่เราไม่ได้ใส่ใจว่า เรามีความเก่งและไม่ได้รู้ด้วยเราเก่งตรงนี้ แค่รู้สึกว่าเรียนภาษาจีนกับเพื่อนในชั้นเรียน แล้วคะแนนดีกว่าก็เท่านั้น”
“เราเรียนที่เมืองไทย ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม จนจบ ป.6 แล้วเรียน ม.1 ได้เทอมนึง จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่จีนเลย ในปี 2002 ถามว่าทำไมต้องไปเรียนต่อที่นั่นเหรอครับ เพราะว่ารู้สึกว่า ส่วนตัวเราเริ่มมีความสนใจในภาษาจีนแล้ว การไปเรียนต่อที่นั่น น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนภาษาให้ดีและเข้าใจเพิ่มเติม แต่ตอนนั้น ก็ยังไม่ได้คิดถึงอนาคตภายภาคหน้าเลยนะครับว่าจะไปทำอะไรต่อ อารมณ์ประมาณว่า ถ้ายังอยู่ที่เมืองไทยเหมือนเดิม ก็อาจใช้ชีวิตแบบที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ปกติ ไม่มีการพัฒนา บวกกับตอนเด็กก็ไม่ได้เรียนเก่งอย่างที่บอก ตอนนั้นเราเลยรู้สึกว่า ลองไปหาอะไรที่เราถนัดดู ซึ่งในตอนแรกสุด ก็ไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่นั่นก่อน ควบคู่กับการเรียนมัธยมต้น จนจบหลักสูตร ก็คือ ม.3”
เริ่มหลงรักในศาสตร์ดนตรี
จนเลือกวิชาขับร้องโอเปร่า ในวัย 15
เมื่อต้องมาศึกษาต่อในระดับมัธยมที่กรุงปักกิ่ง พลังก็ยังคงใช้ชีวิตไปแบบเรียบง่ายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป จนกระทั่งเรียนจบมัธยมต้น และแล้ว จุดเปลี่ยนของชีวิตก็ได้เข้ามาตัวเขาอีกครั้ง เมื่อถึงคราวตัดสินใจที่จะเลือกสายวิชาในระดับมัธยมปลาย ประกอบกับในช่วงนั้นตัวเขาเองก็เริ่มสนใจดนตรีอยู่บ้างแล้ว นั่นจึงทำให้เขาเลือเรียนวิชาขับร้อง...
“แล้วพอขึ้นมัธยมปลาย ก็คือ ม.4 ตรงนี้คือจุดเปลี่ยนครั้งแรกในชีวิต เพราะช่วงชั้นการศึกษาของที่นั่น เราต้องเลือกสาขาที่เรียนในชั้น ม.ปลาล อารมณ์ประมาณเลือกสายวิชาในเมืองไทยนี่แหละครับ ประกอบกับในตอนนั้น เราเริ่มสนใจดนตรีบ้างแล้ว แถมช่วงวัยในตอนนั้นของเด็กผู้ชายที่เริ่มเสียงแตกด้วย และเป็นช่วงวัยที่สามารถที่จะเริ่มเรียนวิชาขับร้องได้ ก็เลยเลือกเรียนวิชานี้ในที่สุดครับ คือจริงๆ ณ ตอนนั้น มันก็มีวิชาอื่นให้เลือก เช่น เปียโน หรือ เครื่องดนตรีจีนเป็นวิชาเอกบ้าง แต่ถ้าให้เริ่มในช่วงนั้น เรารู้สึกว่าน่าจะไม่ทันกับเพื่อนๆ ที่เขาเรียนมาตั้งแต่เด็ก วัย 4-5 ขวบแล้ว กับการที่จะมาเริ่มเล่นเครื่องดนตรีในช่วงนั้น เราคิดว่ายังไงก็ตามไม่ทัน และไม่น่าสอบคัดเลือกผ่าน มันเลยเหลือวิชาเดียวที่ส่วนตัวเราคิดว่าน่าจะสามารถเรียนได้ เลยตัดสินใจเลือกและสอบติดในที่สุดครับ “
“คือในตอนนั้น มีแค่ให้เลือก 2 อย่างการเรียนดนตรีในจีน มันไม่มีสาขาดนตรีสมัยนิยมนะ มีแค่ 2 วิชา คือ การขับร้องโอเปร่า วิชาดนตรีพื้นเมืองของจีน ซึ่งมันเป็นอีกแนวหนึ่งเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราในตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร แถมมันดูยิ่งไกลตัวไปไปใหญ่เลย และดนตรีโอเปร่าในจีน ในช่วงเวลานั้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งใหม่เลยแล้วคนจีนน่ะเค้าให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ เพราะมันเป็นเทคนิคที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบแล้วเป็นเทคนิคที่ถูกต้องตามเทคนิคหลักการออกเสียงของการร้องในลักษณะนี้ โดยเป็นการร้องที่ไม่ทำร้ายเสียงของตัวเอง ซึ่งต่างจากดนตรีสมัยนิยมที่จะร้องไปตามอารมณ์ของแต่ละเพลงเป็นหลัก แล้วจะพูดถึงเทคนิคทีหลัง ซึ่งบางคนที่ไม่ได้ร้องมา อาจจะมีการร้องทั้งไปถึงและอารมณ์ แต่เส้นเสียงอาจจะมีปัญหาในภายหลัง แต่การร้องแบบโอเปร่า มันจะต้องใช้ในเรื่องของเทคนิคมาก่อน แล้วในเรื่องอารมณ์ค่อยตามมา เราเลยรู้สึกว่า การร้องโอเปร่า มันมีความถูกต้องในเชิงสรีระกายภาพของมนุษย์ เราเลยเลือกสอบวิชานี้ดูก่อน”
“อย่างตอนที่สอบคัดเลือกเข้าเรียน เขาจะให้เพลงหนึ่งมาสอบ แต่ทักษะภาษาของเราในตอนนั้น ยังออกเสียง รอ เรือ ควบกล้ำไม่ชัดเลย แล้วภาษาอิตาเลียนมีการออกเสียงที่ยากกว่านั้นอีก ซึ่งมันสำคัญมากด้วยครับ ในช่วงนั้น เลยฝึกการร้องสอบในทุกอิริยาบถเลย ถึงขนาดที่เดินไปกินข้าวก็ซ้อมร้องจนสามารถทำได้ ในเพลงภาษาอิตาเลียนขั้นพื้นฐาน แล้วก็ลองไปสอบคัดเลือกดู จนสุดท้ายก็ผ่านการคัดเลือก เรียนมัธยมปลายในสาขานี้”
“ช่วงนั้นถือว่า เริ่มๆ เลย พูดจริงๆ นะ ผมเห็นประเทศจีนมีการเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนคือ ตอนจัดกีฬาโอลิมปิก ในปี 2008 ซึ่งก่อนหน้านั้น เมืองจีนมันยังไม่เป็นแบบปัจจุบันนี้เลยนะครับ อย่างช่วงที่ผมไปเรียนที่นั่น ผมพักอาศัยอยู่แถวย่านเมืองเก่า (ย่านชุมชนหูท่ง ย่านเมืองเก่ากลางกรุงปักกิ่ง) ตรงที่เป็นวังของสนมของราชวงศ์สมัยก่อนเลย เพราะทางโรงเรียนเขาจัดที่พักให้อยู่ตรงบริเวณนั้น ก็ทำให้เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่ช่วงนึงเหมือนกัน”
“แต่ด้วยความที่ช่วงนั้น เรายังไม่เข้าใจในเรื่องของประวัติศาสตร์จีนเพราะยังไม่มีพื้นฐานในเรื่องนี้มาก่อนช่วงนั้น แถมยังปรับตัวเข้ากับที่นั่นยังไม่ค่อยได้เท่าที่ควร ทั้งในเรื่องสภาพอากาศ และเรื่องภาษาที่เมื่อเทียบกับคนจีน เราก็ยังพูดไม่ได้เหมือนเจ้าของภาษาขนาดนั้น แต่ทักษะการเรียนรู้ในเรื่องของภาษาส่วนตัว เรียกว่าเรียนรู้ไว ก็เลยค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แล้วพอไปอยู่พักอาศัย กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนชาวจีนล้วน แถมโรงเรียนที่เราไปเรียนในตอนนั้น ก็ไม่มีคนไทยเลย ก็เลยทำให้การใช้ภาษาจีนของเรา มันเหมือนถูกบังคับว่าต้องทำให้ได้ให้ ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ ประมาณนั้นเลยครับ”
“น่าจะเริ่มด้วยการไปหาทั้งซีดี และวีซีดี ที่เกี่ยวกับนักร้องโอเปร่าที่ยิ่งใหญ่ของโลกคนต่างๆ มานั่งฟัง รวมถึงนักดนตรีคลาสสิกในประวัติศาสตร์ยุคต่างๆ อย่างนักร้องโอเปร่าที่ดังๆ ระดับโลก ลูซาโน่ ปาวารอตติ ก็เป็นอีกหนึ่งในแรงบันดาลใจส่วนตัวของเราในตอนนั้นด้วยเช่นกัน เพราะเขาคือที่สุดของวงการแล้วครับ คือสายการร้องโอเปร่า ไม่มีใครไม่รู้จักเขานะครับ อารมณ์ประมาณ ไมเคิล แจ็คสัน ของวงการการร้องโอเปร่าเลย เรารู้สึกว่าคือระดับโลกของจริงในศาสตร์นี้เลย และทำให้เรามีความรู้สึกอยากจะทำ แต่ก็ไม่ได้แบบมั่นใจ 100% เลยนะครับในตอนนั้น เพราะช่วงนั้นก็เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอนในชีวิต ยังเป็นอารมณ์ที่แบบว่าทำมันไปก่อน”
“ก็ยังคงเป็นเด็กซุกซนที่บางครั้งก็หนีเรียนเหมือนเดิมครับ (หัวเราะเบาๆ) โดยปกติแล้ว ช่วงนั้นควรเรียนกับอาจารย์ผู้สอนที่ชำนาญในเรื่องโอเปร่าอย่างน้อย อาทิตย์ละ 2 ครั้ง แต่ผมหนีเรียนไม่เข้าคลาสเลย ซึ่งทั้งๆ ที่มันควรจะฝึกซ้อมนะ แต่เราก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้น และอาศัยแค่พรสวรรค์ให้ผ่านในการสอบในแต่ละครั้งทุกครั้ง ตอนนั้นเราก็ถือว่าเรามั่นใจและมีความเด่นในเรื่องเทคนิคส่วนตัวเหมือนกันนะ เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกัน แต่โดยส่วนใหญ่ในตอนนั้น เราก็เอาเวลาไปเล่นเกมเป็นหลัก น่าจะเป็นช่วงใกล้เคียงกับ ไอซ์ซึ (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ที่เอาเวลาไปเล่นเกม Dota ทุกวันเหมือนกันเลยครับ (หัวเราะเบาๆ) ไม่ตั้งใจเรียนเลย ขนาดอยู่ในช่วงเบรกของการเรียนในแต่ละวัน เรายังรีบวิ่งไปเล่นเกมเลย”
“คือถ้าถามว่าเรื่องที่ผิดหวังของตัวเองเรื่องไหนมากที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องการไม่ตั้งใจเรียนในช่วงนี้นี่แหละครับ เพราะในช่วงนั้น ก็ยังหาเป้าหมายในชีวิตยังไม่เจอเช่นกัน เราก็ยังคงเล่นเกมไปเรื่อยๆ อาศัยว่าเวลาสอบ เราก็ยังสามารถที่จะทำได้ดีและผ่านการสอบในแต่ละครั้งมาได้ทุกครั้ง เรียกได้ว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในตอนนั้นคือเอาเวลาไปเล่นเกมซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ก็คือการเรียนและสอบ แต่เซนส์ทางดนตรีของเรา ทำให้สามารถสอบผ่านในเพลงที่ถือว่าในวัยนั้นมันยากมากได้ แต่เราก็ทำได้ แล้วเราก็ใช้ชีวิตในช่วงนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
“คือเราในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ คือคิดได้แค่ว่าทำไปก่อนแล้วต้องเผชิญหน้ากับการสอบ และสอบให้ผ่านก่อนแบบนั้นเลย”
ชมรมศิลปะการแสดง
เป้าหมายที่หากันจนเจอ
จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย พลังก็ไม่รีรอที่จะศึกษาต่อทางด้านการขับร้องโอเปร่า และยังคงเรียนเล่น และสอบผ่านในแต่ละครั้งไปแบบขอไปที จนกระทั่งวันหนึ่งในช่วงชั้นปีที่ 2 ของระดับปริญญาตรี เมื่อเขาเดินผ่านห้องชมรมศิลปะการแสดงของมหาวิทยาลัย และแล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตก็มาถึง
“แล้วพอถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย อยู่ๆ ก็คิดได้ว่า มันถึงเวลาที่จะเอาจริงแล้วเนอะ ก็เลยไปสมัครสอบ 2 ที่ คือที่ China Conservatory of Music กับ Central Conservatory of Music ซึ่ง 2 มหาวิทยาลัยนี้ ถือได้ว่าเป็นระดับท็อปของเรื่องดนตรีในจีนเลย เราก็ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ในการฝึกซ้อม จนสุดท้ายก็สอบติดทั้ง 2 ที่ที่เลือก และเลือกเรียนที่แห่งที่สอง เพราะมหาวิทยาลัยหลังนี้ เรียกว่าติดระดับเอเชียในเรื่องของดนตรีมากกว่า คือเรียกได้ว่า นักศึกษาของที่นี่ ฝีมือในเรื่องดนตรีนั้นเข้าขั้นระดับสุดยอดเลยก็ว่าได้ เรารู้สึกว่าถึงขั้นระดับโลกได้เช่นเลยครับ”
“คือพอสอบเข้าได้ เราในตอนนั้นรู้สึกว่าหรือไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ ก็เลยยังไม่มีเหตุผลที่ทำให้ตั้งใจเรียนมากขึ้น (หัวเราะเบาๆ) เพราะการที่จะสอบเข้าที่นี่ได้ในแต่ละปี จะต้องแข่งขันกับคนอีกประมาณ 7000-8000 คน แล้วเอาแค่ 20-25 คน แถมเราก็เป็นต่างชาติด้วย แต่ข้อดีสำหรับเราในตอนนั้นก็คือ เราไม่ต้องไปเรียนวิชาพวกประวัติศาสตร์พื้นฐานของจีนที่ลึกขึ้นกว่าเด็กจีนเรียน เช่นวิชาภูมิศาสตร์ประเทศจีน ที่พอตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราก็ยังไม่เข้าใจกับวิชานี้อยู่ดี ซึ่งถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องสอบวิชานี้ ไม่งั้นก็คงสอบเข้ามหาลัยไม่ติด (หัวเราะเบาๆ) พอเข้าเรียนในระดับมหาลัยแล้ว ก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิม ยังไม่ตั้งใจเรียนเท่าไหร่ เล่นเกมเหมือนเดิม (หัวเราะอีกครั้ง) อาทิตย์นึงอย่างน้อยก็โดนอาจารย์ตำหนิบ้างว่าทำไมไม่ไปซ้อมให้ดี อะไรอย่างงี้ ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ (อ. หยวน เชนเย่) ก็มีดีกรีระดับโลกเลยนะครับ เข้มงวดมากแล้วเป็นอาจารย์ที่แบบดังมากระดับโลกเหมือนกัน เคยได้รางวัลระดับโลกอันดับ 1 ที่รัสเซียมาก่อน ท่านเคยเอาชนะแข่งขันกับคนรัสเซียในการแข่งขันครั้งนั้น ซึ่งถือว่าเป็นอาจารย์คนสำคัญในเรื่องเทคนิคโอเปร่าสำหรับผมเลย”
“จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของชีวิตจริงๆ คือการไปเข้าชมรมศิลปะการแสดงของทางมหาลัยครับ มันมีละครเวทีทืทางชมรมทำขึ้นมาในตอนนั้น ซึ่งจะต้องเล่นทั้งเรื่อง แล้วทักษะการแสดงของเราในตอนนั้นยังเป็นยังไม่ค่อยมีทักษะเลย ซึ่งในช่วงปี 1 ของมหาลัย มันก็มีวิชาที่เกี่ยวกับการแสดง ไล่ไปตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ประมาณว่า มีโจทย์ที่เกี่ยวกับสภาพอากาศ เช่น ต้องแสดงถึงความรู้สึกร้อน หนาว เย็น หรือ ให้เผชิญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบ้าง ให้รู้สึกว่ามีการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ บ้าง ซึ่งเป็นทักษะการสอนในเรื่องการแสดงของจีนตามหลักสูตรของเขา ซึ่งเราก็ได้เรียนลักษณะนี้แบบมีพื้นฐานมานิดหน่อย แต่วันนั้น เราเลยตัดสินใจเข้าไปในชมรม ซึ่งตอนที่ถูกชวนเข้าไป เราก็ยังถามสมาชิกชมรมด้วยว่า เราจะเล่นได้เหรอ อีกฝั่งก็บอกว่า มาสิ เล่นได้ ลองดู
“แล้วบทสนทนาของละครเวทีเรื่องนี้ ก็ต้องใช้ภาษาแบบโบราณด้วย อารมณ์ประมาณท่องกวี ซึ่งมันแตกต่างจากบทสนทนาในชีวิตประจำวันปกติ แถมเนื้อเรื่องของละครเวทีเรื่องนี้ แบ็กกราวน์ของเรื่องก็จะเป็นสองยุค สองสมัย แล้วมันมาเชื่อมโยงกัน แล้วตัวละครของเรื่อง ก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย และจะต้องมาชิงแย่งเวทีกัน เพราะเวลามันชนกัน ซึ่งในแต่ละฉากก็มาแย่งกันว่าใครจะได้เล่นช่วงเวลาของตัวเอง แล้วไปเล่น ซึ่งละครเวทีเรื่องนี้ เนื้อหาก็ดัดแปลงจาบทละครไต้หวัน ที่ถือว่าดีอีกเรื่องเลย และดังมาก”
“พอเราได้เป็นส่วนหนึ่งของละครเวทีเรื่องนี้แล้ว ในตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าเกิดฮึดหรือได้แรงบันดาลใจมาจากไหนนะครับ พอได้ดูต้นฉบับของละครเวทีเรื่องนี้ เราก็รู้สึกว่าอยากจะทำมัน และถือว่ามันเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ พอเข้าถึงตัวบทสนทนาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า ทำไมอยู่ๆ ก็จำบทได้ขึ้นมา ขนาดที่เป็นกลอนโบราณ เราก็ได้หมดเลย ซึ่งในระหว่างการฝึกซ้อม ก็มีอาจารย์มาช่วยเทรนให้ด้วย ฝึกซ้อมเรื่องนี้จนจบ และพอถึงช่วงแสดง ซึ่งตรงกับการแข่งขันละครเวทีกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ Central Academy of Drama ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของจีน ในเรื่องการแสดง ในวันนั้นเรียกได้ว่า เจอแต่มืออาชีพทั้งนั้นเลย พอมาถึงมหาลัยเรา อารมณ์ประมาณว่า เป็นใครมาจากไหน ไม่ได้อยู่ในสายตาเลย แต่เราก็ถือว่า ช่างมัน ก็เล่นให้เต็มที่ พอจบการแสดงในครั้งนั้น ปรากฏว่า ได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้ชมในครั้งนั้น เรียกได้ว่า พอเราขึ้นไปเล่นในแต่ละฉาก ก็จะมีทั้งเสียงปรบมือ และบทสนทนาระหว่างผู้ชมเองว่า “เฮ้ย ไอ้ตัวนี้ ขึ้นมาอีกแล้ว คราวนี้มันจะเล่นอะไรแบบไหนนะ” เรียกว่าแทบทุกคนในฮอลล์ จำคาแรกเตอร์ในเรื่องของเราที่เล่นในตอนนั้นได้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เราไม่เคยสัมผัสในลักษณะนี้มาก่อนเลย พอได้ยินเสียงปรบมือหลังการแสดงจบลง ทำให้เรารู้สึกว่าเราเจอเป้าหมายในชีวิตที่เราหามาตลอดได้แล้ว ซึ่งเราก็บอกกับตัวเองด้วยว่า จะทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุดตลอดไป ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เราเริ่มรักและสนใจในเรื่องการแสดง”
“หลังจากนั้น ก็เริ่มไปศึกษาทั้งหมดเกี่ยวกับศาสตร์ของการแสดง ไล่ไปตั้งแต่ไปชม ไปศึกษาหาความรู้เองเพิ่มเติม ที่ Central Academy of Drama จนกลายเป็นว่าพักความสนใจในเรื่องการร้องโอเปร่าไปชั่วคราว เพื่อสนใจในศาสตร์การแสดงมากขึ้น
“ขณะเดียวกัน พอเราสนใจในศาสตร์นี้ มันก็ทำให้มุมมองในการมองโลกของเราก็เปลี่ยนไปด้วย จากที่ไม่ได้สนใจดนตรีป็อป หรือดนตรีสมัยนิยม เราก็ค่อยๆ เข้าใจว่า ดนตรีลักษณะนี้มันคืออะไร ไล่ไปตั้งแต่เพลงป็อปจีน ไปจนถึงของอเมริกัน ซึ่งอย่างหลังในตอนนั้นแบบรักมากเลย จนกระทั่งไปถึงขั้นชอบแนวมิวสิคัล และก็คิดด้วยว่าอยากจะทำอะไรที่มันสร้างสรรค์ต่อยอดจากโอเปร่า เพราะแนวเพลงสมัยนิยม มันสามารถทำอะไรที่แตกต่างจากแนวคลาสสิกได้มากกว่า อย่างแนวคลาสสิกมันจะจำกัดได้แค่ยุคหนึ่ง เรื่องราวที่จะแสดงผ่านรูปแบบต่างๆ จะจำกัดเพียงแค่นั้นเท่านั้น ทำออกมากี่เวอร์ชั่น ก็เล่นเหมือนเดิมทุกเวอร์ชั่น เลยอยากที่จะเล่นและแสดงมิวสิคัลมาก เพราะเรารู้สึกว่ามิวสิคัล มันรวมทั้งศาสตร์การร้อง การเต้น และการแสดงในคราวเดียวกัน ซึ่งมันก็ตรงกับสิ่งที่ตัวเองชอบหมดเลย ก็เลยอยากเรียนทางด้านนี้ แต่เมืองจีนในช่วงนั้น ศาสตร์ของมิวสิคัลของที่นั่น ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มาก เรียกว่า แทบไม่ค่อยมีคนทำการแสดงนี้เลย เลยทำให้ยังไม่มีโอกาสที่จะลองทำมัน แต่ในช่วงมหาวิทยาลัย เราก็ได้มีโอกาสเล่นละครมิวสิคัลของมหาวิทยาลัยในช่วง ปี 3 และ ปี 4 สองปี ปีละเรื่อง มีอยู่ปีนึง จำได้ว่าเล่นเป็นโจ๊กเกอร์ด้วยมั้ง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีของตัวเองครับ”
“ผมก็ได้รับโอกาสให้ไปเล่นมิวสิคัลเรื่องหนึ่ง ซึ่งทำการแสดงที่สนามรังนก (สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง) ซึ่งในตอนนั้นก็เป็นโชว์ที่ยังไม่เคยเล่นด้วย เรื่องนั้น เราเล่นร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ ราวประมาณ 500 คน แถมตัวเราที่แสดงในวันนั้น ยังต้องห้อยสายสลิงด้วยความสูงประมาณ 40 เมตร จากพื้นดินได้ เรื่องนั้น เราได้เล่นเป็นปีศาจ เรียกว่าแหกปากเข้าถึงตัวละครได้เต็มที่เลย (หัวเราะ) งานนั้นคือการแสดงโชว์มิวสิคัลเต็มรูปแบบครับ มีการแสดงโชว์ทั้งภาพ แสง สี เสียงแบบจัดเต็มเลย เนื้อเรื่องก็คือ พระเอกกับนางเอก ต่อสู้กับปีศาจตัวนึง ที่คอยดูดสีสันของในโลกต่างๆ ให้เป็นพลังของตัวเอง ซึ่งการแสดงในครั้งนั้น ถือว่าเป็นโปรดักชันที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเล่นมา เพราะปกติ มิวสิคัลจะเล่นตามโรงละครต่างๆ แต่นี่คือเล่นที่สนามกีฬาแห่งชาติของจีนเลย แถมผู้ชมก็ถึงขั้นหลักหมื่นคนด้วย การร่วมแสดงในครั้งนั้น ก็ทำให้ผมยิ่งชอบในศาสตร์นี้มากขึ้นกว่าเดิม มันทำให้เราเหมือนรู้สึกว่า เราสามารถที่จะทำได้ทุกอย่าง ผ่านการแสดงในศาสตร์นี้ แต่การร่วมการแสดงครั้งนี้ ก็แลกกับการไม่ได้เข้าร่วมไปรับใบปริญญาตรีของทางมหาวิทยาลัยด้วย เพราะเราติดการซ้อมการแสดงครั้งนี้”
“คือจริงๆ การแสดงครั้งนั้น ก็ถือว่าเป็นงานแรกๆ ที่เป็นมิวสิคัลจริงๆ ซึ่งในระหว่างทางตรงนั้น ก็มีไปเล่นอย่างอื่น แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นละครเวทีที่มีเนื้อหาสมัยนิยมมากกว่า อาจจะไปร่วมแสดงในเชิง เล็กๆ น้อยๆ ตามมหาวิทยาลัยดนตรีต่างๆ แล้วในการร้องเพลงสมัยนิยม เรียกว่ามานับหนึ่งใหม่ด้วย ไม่มีว่าต้องให้อาจารย์มาช่วยฝึกซ้อมอะไร”
“จำได้ว่า ช่วงทำธีสิสของตัวเองก่อนจบ เราเอาแนวมิวสิคัลมาใส่ในงานธีสิสจบของตัวเอง เพราะเรียกว่าช่วงนั้นแทบจะคลั่งไคล้ในศาสตร์นี้ จนอาจารย์ที่ปรึกษาตัวจบเรายังยอม ท่านก็ให้เราไปลองในสิ่งที่ไม่เคยลองเช่นกัน งานชิ้นนี้ใช้เวลาซ้อมประมาณ 1 เดือน ก่อนขึ้นโชว์ทำการแสดงจบ โชว์นั้น เราต้องมีการร้องโชว์ 8 เพลงติดต่อต่อกันห้ามหยุด และต้องร้องประมาณ 3-4 ภาษา ห้ามซ้ำกัน และก็ต้องมีเพลงจีนโบราณ รวมไปถึงเพลงจีนสมัยนิยมด้วยในการโชว์นี้ด้วย ขนาดทำตัวจบ เราก็ไม่ขยันเหมือนเดิม แต่ก็ผ่านมันมาได้ และเรียนจบปริญญาตรีในที่สุด”
เดินตามความฝัน
ด้วยการออกรายการทีวี
เมื่อเรียนจบปริญญาตรีทางด้านขับร้อง พลังในช่วงนั้นรู้สึกว่ารักในการแสดงอย่างเต็มที่ จึงขอพักในเรื่องเรียนต่อไว้ก่อน จากความตั้งใจของที่บ้าน แล้วตัวเขาก็เดินหน้าเข้าสู่ด้านการแสดงอย่างเต็มตัว ด้วยการไปสมัครออกรายการทีวีต่างๆ ของเมืองจีน และด้วยความคิดไอเดียบางอย่างที่ผ่านเข้ามา แล้วจุดเริ่มต้นของเขากับวงการทีวีจีน ก็ได้เริ่มต้นขึ้น...
“หลังเรียนจบปริญญาตรี ตอนนั้นที่บ้านเขาอยากให้เรียนปริญญาโทต่อ แต่เราในช่วงนั้นรู้สึกว่า อยากจะเดินตามความชอบมิวสิคัลของตัวเอง ก็เลยยังไม่รีบเรียนต่อในทันที และไปทำการสมัครเข้าร่วมรายการทีวีต่างๆ ของเมืองจีน เนื่องด้วยในตอนนั้น เราไม่มีคอนเน็คชั่นในด้านการแสดงมิวสิคัลใดๆ เลย เลยไปสมัครเข้าร่วมรายการต่างๆ ผ่านทางช่องทางออนไลน์ในช่วงนั้นก่อน แล้วก็ไปทำการออดิชั่นให้กับแต่ละรายการดู”
“รายการแรกที่เราไปทำการออดิชั่น ก็คือรายการ “เฟย เฉิง อู้หล่าว” ซึ่งเป็นรายการหาคู่ ซึ่งทุกคนสามารถที่จะไปสมัครร่วมรายการได้ มันไม่ใช่แบบ The Voice หรือ ก็มาดิคร้าบ ซึ่งรายการที่เราไปร่วมในตอนนั้น ถ้าคนสมัครมีความน่าสนใจ ทางรายการก็จะติดต่อกลับ แล้วรายการนี้ถือว่าเป็นรายการที่ดังที่สุดของวงการทีวีจนเลยนะครับ อารมณ์ประมาณ Take Me Out Thailand อย่างงั้นเลย ถึงขนาดที่คนอย่างเราในตอนนั้น ยังมาดูรายการนี้เลย เพราะว่ามันสนุกดี เราก็ทำการสมัคร จนเขาเรียกให้มาออดิชั่น”
“แต่ว่าตอนที่ออดิชั่น เราก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เลยคิดว่าต้องหาสิ่งที่แปลกและแตกต่างจากคนอื่น เลยทำการแสดงด้วยการพูดภาษาจีนสำเนียงไทย อารมณ์ประมาณว่าพูดจีนไม่ค่อยได้ เราก็ทำการออดิชั่นให้เขาดูอย่างนั้น จนเขาเชื่อ แล้วพอออดิชั่นเสร็จ เราก็เฉลยให้ฟังว่า เราก็พูดภาษาจีนได้ปกติเหมือนเดิม จนทำให้เขาหัวเราะกับเราเป็นเวลากว่า 10 นาทีเลย ในที่สุดเขาก็บอกกับเราว่า ‘พรุ่งนี้ มาอัดรายการเลย’ ตอนแรกก็งงอยุ่ว่า ได้แล้วเหรอ แต่ก็คิดอีกทีว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสของเราที่จะทำให้คนจีนได้รู้จักเราผ่านทางรายการทีวีด้วยเช่นกัน”
“พอวันถัดมาที่เป็นวันอัดรายการ ด้วยความที่ช่วงนั้นเราชอบร้องเพลงป็อปมาก บวกกับทางรายการก็คุยเรื่องสคริปต์ที่จะโชว์ให้กรรมการเห็น แล้วสามารถร้องเพลงได้ แล้ววันนั้นเราก็ร้องเพลงจีนที่มีเนื้อหาพูดถึงครอบครัว แล้วทำให้คนฟังร้องไห้ตามที่ฟังได้ พอเทปนี้ได้ออกอากาศไป มันก็ถูกพูดถึงอยู่เหมือนกัน แต่พูดถึงในเชิงว่าเป็นการแสดงตลกไป เพราะในระหว่างโชว์นั้น เราก็พูดจีนสำเนียงไทยให้กรรมการดู แล้วพอกลับมาพูดจีนได้ปกติ มันกลายเป็นว่ามีความตลกเข้ามาแทน ถึงขนาดที่พิธีกรของรายการขำไม่หยุดเลย เรียกว่า เราทำอะไรในเทปนั้น มันก็ดูตลกกับเขาหมด ทั้งๆ ที่ ส่วนตัวในตอนนั้น เราไม่ได้ตั้งใจทำให้มันตลกนะ แต่กลายเป็นว่ามันสร้างความตลกให้คนดู จนเราเกิดความงงเอง เลยทำให้เกิดความตลกออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัวแทน ทั้งๆ ที่ ความตั้งใจของเราในโชว์นั้น เราอยากให้ทุกคนเกิดความซาบซึ้งนะ แต่คนดูกลับคิดว่า เราโชว์แนว Parody กับเพลงนั้นแทน จนหลังจากที่เราไปออกรายการนั้น กลายเป็นเป็นว่า มีรายการตลกของจีน ชื่อว่า “เซี่ยงอ้าวเจียงหู” ติดต่อให้เราไปออกรายการนี้เป็นคิวต่อมา แล้วรายการถัดมานี้ ก็จะเป้นแนวรวมทีมเพื่อทำการโชว์ตลก แล้วส่วนตัวในตอนนั้นก็จะเป็นแบบว่า รายการตลกเหรอ โอเค รับไปก่อน ซึ่งตอนนั้น ทีวีจีนก็ยังไม่มีรายการแนวตลกด้วยนะ เรียกว่าเป็นรายการแรกๆ ในช่วงนั้น”
“จนถึงวันอัดรายการ ทีมงานก็มาบรีฟเราในเรื่องต่างๆ ทางเขาก็ได้คิดมุกให้เราเหมือนกันนะว่า จะให้เล่นอะไรดี เขาบอกว่า เขาดูเทปของรายการแรกที่เราไปออก แล้วฟังที่เราพูดออกไปแล้วมันตลกดี ให้คงสำเนียงนี้ไว้มั้ย เราก็โอเค แล้วเนื้อเรื่อง เขาก็ถามว่า เราทำอะไรได้บ้าง เราก็บอกกลับไปว่า สามารถร้องเพลงแนวโอเปร่าและแนวแจ๊สได้ ก็เลยได้คอนเซปต์เนื้อเรื่องว่า การร้องเพลงแจ๊ส มันทำให้เกิดความรู้สึกง่วงขึ้นมา เราก็ร้องเพลงแจ๊สในช่วงแรกไป เราร้องๆ ไป จนง่วงแล้วหลับในโชว์แรก จนโชว์ต่อมา เราก็มาร้องแบบโอเปร่า แล้วก็แต่งเติมตัวเองให้คล้าย ปาวารอตตี้ ทีมงานก็หาหนวดปลอมมาให้ใส่เพิ่มเข้าไป เราก็ร้องเพลงเดียวกัน แต่เป็นสไตล์โอเปร่า แล้วเราก็ใช้เทคนิคหมุนไมโครโฟนหมุนรอบตัวเอง ซึ่งในซีรีส์ ก็ใช้วิธีนี้ในการเข้าฉากเหมือนกัน ซึ่งเวลาเราเอาไมค์ออก คนดูก้รู้ว่าเราร้องจริงอยู่ แต่พอไมค์หมุนกลับมาที่ปาก มันก็ทำให้เสียงที่เราร้องออกมาในตอนนั้นดังยิ่งกว่าเดิม เราเลยคิดว่า วิธีนี้มันเวิร์ก”
“จากนั้น เราก็นำเพลงพื้นเมืองจีนมาร้อง ซึ่งในตอนนั้นเรายังไม่เก็ท แต่คิดว่าถ้าแสดงออกไปแล้วมันน่าจะตลก เราเลยนำมาแสดงเป็นการแสดงตลกไป ซึ่งเพลงลักษณะนี้ จะเริ่มแสดงตั้งแต่เสียงดนตรีดังขึ้น เสียงกลอง เสียงฉิ่งนำมาก่อน จากนั้นก็เริ่มแสดงด้วยการออกท่าทางต่างๆ แสดงความรู้สึกอารมณ์ในแต่ละช่วงออกมา เราก็นำมาประยุกต์แล้วมาแสดง แล้วร้องเพลงออกไปด้วยภาษาจีนสำเนียงที่คนภาคเหนือของจีนเขาพูดกัน เพราะเพื่อนร่วมชั้นเรียนดนตรีของเรา เป็นคนทางเหนือเยอะมาก แล้วเป็นสำเนียงที่ฟังแล้วอาจจะดูขบขันน่าเอ็นดูบ้าง แล้วพอเรามาประยุกต์และผสมผสานที่ที่ว่ามารวมกันเข้าไป ปรากฏว่าโชว์นั้น ก็เวิร์กอีก และเราก็ปิดท้ายด้วยการขายของตัวเองว่า 'ถ้าสนใจอยากเรียนร้องเพลงกับผม ก็ติดต่อมาได้นะครับ' (หัวเราะ) แล้วกรรมการในรายการนี้ ก็มีทั้งพิธีกร ผู้กำกับ เขาก็ไม่เชื่อเรานะว่าเป็นคนไทย ก็ถามเราในรายการว่า 'พูดจีนเก่งมากเลย ไม่ได้หลอกพวกเราใช่มั้ย' ผมก็ตอบกลับแบบเบลอๆ ประมาณว่า อะไรนะ ไม่รู้เรื่องแบบฮาๆ ไป จนทางรายการเขาโทรหา อู๋ จวินหรู ซึ่งเป็นภรรยาของ ปีเตอร์ ชาน ผู้กำกับชาวฮ่องกงเชื้อสายไทย เขาก็ส่งสายให้ปีเตอร์มาสนทนาภาษาไทยกับเรา จนเขายืนยันในรายการว่า เราเป็นคนไทยจริงๆ ก็คุยว่า เรามาเรียนหนังสือที่นี่ จนทุกคนในรายการตกใจว่า เราพูดจีนได้เหมือนเจ้าของภาษาเลย แล้วเราต้องสอนร้องเพลงให้กับคนจีนมาร้องเพลงจีนอีก แล้วพอเทปรายการนี้ออกไปอีก ก็เลยทำให้เรามีชื่อเสียงในเมืองจีนเพิ่มเติมขึ้นไปอีก ซึ่งเทปนั้นก็เป็นเทปแรกของเรายการนี้ด้วย หลังจากนั้น ก็ได้ไปออกรายการอื่นๆ ตามมาเป็น 10-20 รายการเลยครับ”
“แต่การแสดงตลก เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมากนะ คือตอนที่เราแสดงออกไปนั้น บางครั้งก็มีความกังวลเหมือนกันนะครับว่ามันจะชัวร์รึเปล่า แถมก็มีความแตกต่างจากการเล่นละครเวทีและมิวสิคัลด้วยที่ในลักษณะนี้เราค่อนข้างมั่นใจ แต่การแสดงตลก ผลลัพธ์ที่ออกไปอาจจะดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าเทคนิคในการแสดงตลกมันอยู่ตรงไหน เพราะอะไรถึงผู้ชมถึงขำออกมา จนพอเรามีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เราต้องทำการแสดงตลกบ่อยครั้ง เราก็หาเทคนิคนี้จนเจอ รู้แล้วว่าจังหวะในการแสดงอยู่ตรงไหน วิธีการพูดเป็นอย่างไร หรือจังหวะการเล่นเป็นยังไง ถึงแสดงแล้วดึงความเป็นตลกออกมา
“หลังจากนั้น ก็เป็นเวลากว่า 5 ปีที่ออกรายการต่างๆ ทั่วประเทศจีน เรียกว่าไปทั่วประเทศจริงๆ เพราะช่องทีวีที่นั่น ก็มีการแบ่งแยกย่อยเป็นช่องของมณฑลต่างๆ ลงไปถึงช่องของจังหวัดต่างๆ ซึ่งมันเยอะมาก อาจจะเป็นร้อยช่องได้ อย่างรายการที่เราเคยไปออก ก็เป็นช่อง Shianghai Television ซึ่งก็เป็นช่องที่ใหญ่มากอยู่แล้ว ซึ่งในช่วงเวลานั้น จะมีเพียงไม่กี่ช่องที่ทุกคนต้องดู รวมถึง Hunan Television, Zhejiang Television ก็เหมือนกับช่อง 3 5 7 9 ของบ้านเรา พอเราได้ไปออกช่องเซี่ยงไฮ้ รายการที่ว่ามันก็เลยบูม ซึ่งเราก็ได้ชื่อเสียงจากที่เซี่ยงไฮ้เพิ่มชึ้นไปอีก จากนั้นก็เดินสายไปออกช่องต่างๆ ทั่วประเทศ และได้ไปออกรายการของช่อง CCTV ซึ่งเป็นช่องใหญ่สุดของประเทศ”
“คือพอเราชอบในสิ่งนี้ใช่ไหมครับ เราก็ทำไปแบบไม่ต้องคิดมากเลย ก็เดินทางไปร่วมรายการทุกที่ ทุกช่อง ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยกับตรงนี้เลย เรียกว่า พอได้ออกไปออกช่องรายการในแต่ละครั้ง กลับกลายเป็นว่ายิ่งมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอีกช่วงนึงในชีวิตเลยครับ (ยิ้ม) เพราะได้ทำทั้งสิ่งที่เราถนัดและสนใจ และได้โชว์ทักษะที่เรามีผ่านทางการออกรายการต่างๆ ไปร้องเพลงป็อปบ้าง หรือทำการแสดงตลกบ้าง หรือแสดงเป็นคนต่างชาติที่พูดถึงวัฒนธรรมจีนบ้าง รวมถึงได้รับโอกาสให้เล่นละครเวทีอย่างเป็นทางการด้วย ซึ่งแน่นอนว่าต้องแตกต่างจากช่วงเล่นละครเวทีของมหาวิทยาลัย ที่บทพูดเยอะมาก แถมต้องพูดเร็วด้วย ซึ่งการเล่นละครเรื่องนี้ ก็เป็นการเพิ่ททักษะการแสดงส่วนตัวไปอีกขั้นด้วย ซึ่งการแสดงละครเวทีนี้ เราต้องเล่นไปถึง 20 รอบ ซึ่งต่างจากช่วงมหาลัยมาก ที่เล่นแค่ 2 รอบเอง แถมเรื่องนี้เราต้องรับบทเป็นกามเทพ เนื้อหาน่าจะใกล้เคียงกับหนังเรื่อง Ghost ที่ตัวพระนางสามารถสื่อถึงกันได้ ถึงว่าพระเอกจะเสียไปแล้ว แต่กามเทพก็จะคอยเอาวิญญาณคอยพระเอกกลับไปบนสวรรค์ทุกเมื่อ ซึ่งการแสดงครั้งนั้นก็ช่วยเพิ่มทักษะในการสร้างสรรค์ผลงานของเราส่วนตัวด้วย เพราะว่าผู้กำกับก็เขียนบทให้กับตัวละครที่เราแสดงเอง ด้วย ซึ่งผู้กำกับคนนี้คือคนที่ทำโชว์ที่แสดงในวันตรุษจีนของทุกปีให้แสดงโชว์ในวันนั้นด้วยครับ”
“จากประสบการณ์ที่ไปออกรายการที่เมืองจีนกว่า 5 ปี คิดว่าสิ่งที่เราได้กลับมา น่าจะเป็นการทำงานแบบมืออาชีพจริงๆ รวมถึงความรวดเร็ว และ การด้นสดครับ ซึ่งทักษะเหล่านี้ ก็มาแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน รวมไปถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระหว่างแสดงด้วย อีกอย่างที่สำคัญก็คือ เราต้องมีการเสริมในเรื่องเทคนิคขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะการแสดงครั้งเดียว เราว่ามันอยู่ไม่ได้หรอกครับ จะต้องมีการแสดงฝีมือไปเรื่อยๆ เพราะมันมีทักษะอีกหลายรูปแบบที่เราจะต้องใช้มันไปในการกระทำสิ่งนั้นด้วยครับ เพราะจะส่งผลให้โอกาสในการมทำงานตรงนี้ จะเข้ามาเรื่อยๆ ครับ (ยิ้ม)”
กลับเข้าสู่ห้องเรียน
และบ้านเกิดเมืองนอน
จากการเดินทางออกรายการทีวีทั่วประเทศจีน เพื่อทำตามความฝันและความเชื่อของตนเองผ่านการเป็นนักแสดง กว่า 5 ปี ในที่สุด พลังก็ตัดสินใจหยุดหน้าที่ที่ว่านี้ลงชั่วคราว เพื่อกลับไปเรียนศึกษาต่อในระดับปริญญาโททางด้านการขับร้องโอเปร่า เพราะกลับมาสนใจและเข้าใจถึงดนตรีคลาสสิคแล้ว ถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะเข้ามาในระหว่างทางตรงนี้ ทักษะที่มีของเขาทั้งสองด้านก็ยังไม่หยุดตามไปด้วย
“พอหลังจากที่ประสบการณ์ในการไปออกรายการทีวีที่จีน กว่า 5 ปี จนถึงปี 2017 เราก็ตัดสินใจที่จะเรียนปริญญาโททางด้านการร้องโอเปร่าต่อ เพราะตอนนั้นเริ่มเข้าใจถึงดนตรีคลาสสิกแล้ว เริ่มเข้าใจถึงบริบทและความสง่างามของดนตรีลักษณะนี้ และเริ่มอยากจะกลับเรียนรู้กับสิ่งนี้อีกครั้ง เลยตัดสินใจกลับไปตั้งใจเรียนต่อ และหยุดการรับงานแสดงไปเลยกว่า 2 ปี จนเข้าสู่ปีที่ 3 ก็กลับมาเมืองไทยใน 2020 ซึ่งตรงกับปีที้เกิดโควิดพอดี ถึงขนาดที่เราทำตัวจบที่นี่ เพราะยังกลับไปเมืองจีนไม่ได้ และก็เรียนต่อปริญญาเอก ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และก็เรียนประมาณ 3 ปี ก็จบ ดร. ในที่สุดครับ แต่ในระหว่างนี้ ก็มีได้ไปเล่นละครโอเปร่าอยู่เหมือนกัน”
“ขณะเดียวกัน ในช่วงที่เรียนปริญญาโท เราก็เคยแสดงโชว์ในรูปแบบ มิวสิคัล-คอมเมดี กับเพื่อนอีกคน รวมเป็น 2 คน คนนึงเล่นเปียโน อีกคนก็คือเราที่ร้องโอเปร่า ในความยาว 2 ชั่วโมง การแสดงในครั้งนั้นก็เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มในโชว์นั้นเลย ใช้วิธีการร้องในรูปแบบต่างๆ เราก็เล่นในลักษณะนี้ประมาณ 2-3 ปี เหมือนกัน ก็ทำให้ทักษะการแสดงตลกของเรา ก็พัฒนาไปอีกขั้นนึงเลย ทำให้รู้ว่า การแสดงในลักษณะต่างๆ นั้น จะสามารถให้คนดูชอบยังไง และทำให้เรามั่นใจในการแสดงของเราด้วยครับ”
“หลังจากที่กลับมาเมืองไทย เราก็ไปเล่นให้กับอาจารย์ที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดลบ้าง แล้วของ อ.กิตตินันท์ ชินสำราญ (กิต The Voice Thailand) บ้าง มารู้จักกันตอนกลับมาสู้วงการโอเปร่าของไทย ซึ่งหลายๆ คน เรารู้สึกเก่งมาก เพราะก็จบมาจากที่ต่างๆ เช่นที่เวียนนา ประเทศออสเตรียบ้าง ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่า บ้านเราก็เก่งในเรื่องโอเปร่าเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่า เราไม่มีโอกาสได้เข้าถึงวงการโอเปร่าของจีนเลย แต่พอกลับมาเมืองไทย แล้วได้มีโอกาสเข้าไปเป็นอีกหนึ่งส่วนร่วมของวงการ ก็ทำให้ได้ทราบว่าโปรดักชั่นในลักษณะนี้ เราก็สามารถที่จะไปร่วมได้ ซึ่งก็ได้เป็นตัวหลักในที่สุดด้วย หลังจากนั้นก็ได้เล่นโอเปร่าที่เมื่องไทย อย่างน้อยปีละ 1 เรื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่เรากำลังเรียนปริญญาเอกที่นี่พอดีครับ”
ซีรีส์เรื่องแรกในชีวิต
บทแจ้งเกิดในไทย
จนเมื่อทางวรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการสร้างซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน ได้เห็นคลิปการไปออกรายการหาคู่รายการหนึ่งที่พลังเคยออกในประเทศไทย นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลงานครั้งสำคัญของพลังกับแวดวงบันเทิงไทย ที่เขายังไม่เคยทำอย่างจริงจังมาก่อน ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของเจ้าตัวกับบทบาทการเป็นนักแสดงต่อเมืองไทยเลยก็ว่าได้
“หางทีมงานก็ติดต่อมาครับ ว่าให้ลองมาแคสต์ซีรีส์เรื่องนี้หน่อย ซึ่งในตอนนั้น เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะออกมาดีหรือเปล่า แต่ก็พยายามพรีเซนต์ให้ทีมงานดูว่า เราก็มีประสบการณ์แสดงที่จีนมาพอสมควร และเราก็สามารถทำให้เขาเห็นว่า เราก็เป็นมืออาชีพได้ ก็พยายามเข้าไปทำให้ดีที่สุด พอแคสต์ได้ ตอนระหว่างถ่ายทำ เราก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่ แล้วพยายามไม่ไปรบกวนคนอื่นด้วย แล้วคาแรกเตอร์ในเรื่อง เราก็ใช้เวลาในการค้นหาและปรับให้เข้าที่ จนออกมาอย่างที่เห็นกัน อาจจะเป็นภาวะอารมณ์ของตัวละครในช่วงหนึ่ง ซึ่งเราคิดในแต่ละคนก็มีภาวะอารมณ์นี้อยู่แล้ว แล้วพอเรานำมาใช้ ก็ปล่อยในการแสดงเรื่องนี้ แม้ว่าในการถ่ายในบางซีน อาจจะเกิดอาการเหนื่อยไปบ้าง แต่ก็ต้องผ่านในแต่ละเทคให้ได้ก่อน และด้วยความที่ “รุ่ยเจี๋ย” แตกต่างกับตัวผมในชีวิตจริงมาก พอจบในแต่ละเทคปุ๊บ เราก็แทบจะหมดแรงเลยก็มี แต่ในการทำงานในแต่ละครั้ง ส่วนตัวเราก็ยังแฮปปี้เหมือนเดิม”
“พอกลับมาทำงานที่ไทย เราก็เห็นความแตกต่างครับ อย่างเวลาที่คนจีนดูผลงานบันเทิงไทย ก็มีความรู้สึกว่าคาดไม่ถึง อารมณ์ประมาณว่า เรื่องนี้คิดได้ยังไงนะ เราว่ามันเป็น sense of humor อะไรบางอย่างด้วย อาจจะด้วยเพราะว่า การทำงานในเมืองจีนมันค่อนข้างเครียดและซีเรียส ไม่มีมุมผ่อนคลายเลย บวกกับการสร้างผลงานบันเทิงของจีน เขามีกฎเกณฑ์บางอย่างอยู่ ส่วนตัวเราว่างานบันเทิงไทย จะเกิดความสร้างสรรค์ในเรื่องผลงานที่แตกแขนงขยายออกไปได้เรื่อยๆ จุดตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะทำงานในเมืองไทยต่อ เพราะส่วนตัวเราอยากจะพบเจอผลงานในลักษณะนี้ในเมืองไทยอีก“
“ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายในเบื้องต้นนะครับ แต่ก็แค่ในระดับหนึ่ง ส่วนตัวถือว่าเป็นก้าวแรกมากกว่า เพราะเราคิดว่าหลังจากที่ผลงานนี้ได้เผยแพร่ออกไป ก็คิดว่าอยากจะแสดงคาแรกเตอร์อื่นๆ ให้ได้เห็นกันอีก เราเชื่ออย่างนั้นนะ แต่ถามว่าคาแรกเตอร์ “รุ่ยเจี๋ย” จะติดภาพตัวตนเราไปมั้ย ส่วนตัวคิดว่าไม่นะครับ เพราะผู้ชมก็แยกแยะและเข้าใจได้ และมันเป็นผลงานการแสดงชิ้นหนึ่ง แต่พอเวลาที่ทุกคนแววถึงคาแรกเตอร์นี้ให้ได้เห็น ผมก็เข้าใจปกติเลยครับ สมมุติว่ามีผลงานถัดไป เดี๋ยวพวกเขาก็จะกลับมาแซวใหม่อีก เราเชื่ออย่างงั้นนะ”
“การเป็นเจ้านายแบบรุ่ยเจี๋ย ผมมองว่าเป็นการทำงานกับลูกน้องในรูปแบบที่แตกต่าง หากมองจากมุมมองของตัวละคร เขาอาจจะปักธงที่ความสำเร็จไว้และคิดว่า อาจจะประนีประนอมไม่ได้ ถ้าถามถึงตัวผม ผมเชื่อมาตลอดว่า การดูแล หรือความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัวอาจจะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันออกไป ในเวลาที่เจอคนในแต่ละแบบครับ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว”
“เราว่าให้ลองในสิ่งที่เราอยากจะทำดูก่อนครับ ซึ่งถ้าทำสิ่งนั้นไปแล้วมีผลที่ดีตามมา คุณก็จะพิสูจน์ตัวเองได้เอง ซึ่งถ้ามัวแต่คิดหรือไม่ได้ทำ ก็อาจจะทำให้เสียใจในภายหลังจากการที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้น ซึ่งถ้ายังไม่โอเค อย่างน้อยก็รู้แล้วว่า มันอาจจะไม่เหมาะกับสิ่งนี้ เราว่ามันต้องลองดูก่อน เหมือนที่เราเคยลองทำมาก่อน ซึงถ้าได้ลองทำแล้วมันเวิร์ก ทางบ้านเขาก็จะยอมรับคุณเอง”
ดอกเตอร์คนใหม่
ด้านการขับร้อง
อีกด้านหนึ่งในชีวิต ณ ตอนนี้ เขาได้กลายสถานะเป็น ดร.พลัง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาการแห่งการร้องโอเปร่า ซึ่งส่วนตัวเขาเองนั้น ก็พร้อมที่จะมาเป็นอักฟันเฟืองหนึ่งในการขับเคลื่อนด้านวิชาการแนวทางการร้องโอเปร่าของเมืองไทย รวมไปถึงการขับร้องแนวนี้ที่เป็นทักษะส่วนตัวที่เป็นตัวตนของเขา และก็ยังไม่ปิดโอกาสในการแสดงผลงานลำดับถัดไป เพราะส่วนตัวเขาเชื่อว่า น่าจะมีบทบาทใหม่ที่เขาอยากจะพิสูจน์ถึงศักยภาพทางการแสดงของเขาเพิ่มเติมมากกว่านี้
“เราว่าการร้องโอเปร่าในเมืองไทย ก็อยู่ในระดับนานาชาติสากล อาจารย์ที่สอนในวิชาลักษณะนี้หลายคนที่เรารู้จัก ก็จบจากที่ต่างๆ เช่น เวียนนา อเมริกา ซึ่งมีพื้นฐานในส่วนนี้ที่แน่นอยู่แล้ว อีกทั้งยังทั้งร้องและแสดงเก่งด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และสิ่งที่พวกเขาจะนำมาสืบทอดต่อไป ส่วนตัวเราคิดว่าวงการโอเปร่าจะค่อยๆ พัฒนาไปอย่างที่บอก และสามารถไปสู่ระดับโลกได้ครับ เพราะเราเห็นบุคลากรเก่งในบ้านเราเยอะแต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย รวมถึงต้องการอีกหลายๆ ฝ่ายด้วยกัน ในการสนับสนุนตรงนี้ อย่างวงการโอเปร่าจีน ก็ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน กว่าที่คนที่นั่นจะเข้าใจและยอมรับได้ ส่วนตัวเราคิดว่ามันจำเป็นนะ เพราะถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของโลกที่ยิ่งใหญ่อีกแขนงนึงเลย ซึ่งควรจะต้องมีการสืบทอดต่อไปครับ”
“สำหรับความยากของการเป็นนักร้องโอเปร่าน่ะเหรอครับ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องประวัติศาสตร์ของการร้องในลักษณะนี้ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่า แต่ละบทเพลงที่เขาประพันธ์มา ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น ซึ่งน้อยมากนะครับ ที่เราสนใจถึงขั้นต้องมาศึกษาเบื้องหลังของแต่ละเพลงขนาดนั้น แต่ถ้ายังเข้าไม่ถึง เราก็คิดว่าไม่เป็นไรอยู่ ของอย่างงี้มันสามารถเรียนรู้กันได้ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า หากรู้ว่าชอบ ลองทำดูก่อนครับ (ยิ้ม)”
“สำหรับเป้าหมายส่วนตัวในอนาคตข้างหน้าทั้งในเรื่องการแสดง, การร้องโอเปร่า และ ในเรื่องวิชาการ น่ะเหรอครับ เรื่องแรก เรื่องการแสดง ผมก็อยากจะลองไปเรื่อยๆ ครับ คือถ้ามีเรื่องใหม่เข้ามาผมก็อยากจะทำคาแรคเตอร์อะไรใหม่ที่สามารถทำให้น่าจดจำหรือว่าที่ผมตัวเองชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพยนตร์ หรือ เวทีแสดงผ่านทางรูปแบบต่างๆ อย่างภาพยนตร์ก็คือสิ่งที่ส่วนตัวใฝ่ฝันที่อยากจะทำ เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย
“ส่วนด้านการร้องโอเปร่า เราอาจจะเน้นในด้านการสร้างสรรค์มากกว่า อาจจะใช้ป๊อปมิวสิค มาพัฒนาเป็นตัวหลัก ส่วนตัวจะไม่ค่อยเน้นการร้องแบบที่คุ้นเคย เราอยากจะทำอะไรที่สร้างสรรค์หรือว่า มีการผสมผสานก็ได้ อาจจะมีอะไรออกมาใหม่ๆ แล้วทุกคนรู้สึกว่ามันน่าสนใจ และทำให้คนมาสนใจการร้องโอเปร่าได้ครับ”
“และด้านวิชาการโอเปร่าในเมืองไทยเหรอครับ อย่างส่วนตัวเองก็ไม่ได้ศึกษาแค่ในระบบเดียวนะครับ อย่างตอนที่เรียนมา ก็ไม่ได้ศึกษาแค่จากเมืองจีนเท่านั้น เราก็ศึกษาในรูปแบบอเมริกันด้วย แล้วพอกลับมาเมืองไทย เราก็เรียนผ่านการ workshop ที่คนไทยจัดให้ ซึ่งทุกระบบที่ว่ามาทั้งหมด มันก็มีข้อดีของมันนทั้งหมดเลยนะครับ เราคิดว่าต้องมีการสรุปด้วยตัวเอง แล้วนำมาผสมสานบูรณาการอีกที ให้เป็นระบบใหม่โดยเอาข้อดีที่ 3 ระบบ มาทำใหม่ แล้วทำให้มันเรียบง่ายขึ้น โดยที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งสิ่งนี้แหละครับที่เราอยากจะทำ อยากจะทำให้พัฒนาทักษะให้ง่ายขึ้น รวมไปถึงจะช่วยทักษะในเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย ก็คือจากที่เราศึกษาดนตรีในแนวคลาสสิก และสมัยนิยมมา ซึ่งถ้าเวลาผ่านไป มันจะก่อให้เกิดสไตล์ดนตรีในรูปแบบใหม่ก็ได้ จากความรู้ที่เรามีอยู่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าจะต้องมีการสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ ครับ แบบที่ไม่ติดกรอบจนเกินไป ไม่ใช่สอนแต่แบบเดิม อย่างเวลาที่ส่วนตัวสอนนักศึกษาเอง ก็จะไม่ได้สอนแค่ในเรื่องการขับร้องอย่างเดียวนะครับ เราสอนในเรื่องของการแสดงอารมณ์ด้วย เพราะคาแรกเตอร์ของแต่ละคน จะไม่ใช่แค่ขับร้องออกมาอย่างเดียว แต่มันจะรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ เช่น เซนส์ของภาษา ซึ่งการสอนของเรา มันจะทำให้เด็กได้ความรู้ที่กว้างขึ้นไปเพิ่มเติมว่าเดิมครับ (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ