จากกรณี นางสาวอนุสรา ชวนรัมย์ หรือ “ครูมัท” ครูวัย 39 ปี โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองภายในบ้านพัก อ.ลำปลายมาศ ทิ้งจดหมายลาถึง 5 หน้ากระดาษ ซึ่งหน้าสุดท้ายบอกเล่าถึงปัญหาการทำงานที่ตึงเครียดจนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งนี้ ในฐานะอาจารย์ของวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ซึ่งเป็นสถาบันผลิตครูแห่งหนึ่ง ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของครูมัท จดหมายสุดท้ายของเธอสะท้อนความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง และเผยให้เห็นรอยร้าวสำคัญในระบบการบริหารการศึกษาของไทย ที่ไม่เพียงละเลยสุขภาพจิตของครู แต่ยังหล่อหลอมให้ “ภาระ” เหนือกว่า “ภารกิจ” และทำให้ “ชีวิต” ต้องแลกด้วย “หน้าที่”
ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่
กรณีของครูมัท ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นภาพสะท้อนของโครงสร้างระบบราชการทางการศึกษาที่ล้มเหลวในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 ประเด็นหลัก อันดับแรกคือ ภาระงานที่ไม่สอดคล้องกับบทบาทครูมืออาชีพ
ครูต้องรับผิดชอบงานเอกสาร งานประเมิน งานธุรการ และโครงการสารพัดจนแทบไม่มีเวลาให้ภารกิจหลักคือ “การสอน” การไม่มีระบบช่วยเหลือในงานนอกเหนือจากการสอน ส่งผลให้ครูจำนวนมากรู้สึกหมดพลัง หมดศรัทธา และไม่สามารถพัฒนาตนหรือดูแลนักเรียนได้อย่างเต็มที่ ประเด็นต่อมาคือ การขาดระบบดูแลสุขภาวะจิตของครูในสถานศึกษา ไม่มีการคัดกรองหรือส่งเสริมสุขภาพจิตครูอย่างเป็นระบบ แม้จะมีข่าวครูฆ่าตัวตายหลายรายในรอบปี แต่กลับไม่มีมาตรการเชิงรุกหรือการฟื้นฟูเชิงระบบ ประเด็นสุดท้ายคือ วัฒนธรรมราชการที่เน้นความอดทนมากกว่าความเข้าใจ การให้คุณค่ากับครูที่ “อดทน” ต่อภาระมหาศาล กลับกลายเป็นภาระที่กดทับตัวครู ครูมัทพูดชัดว่า “ไม่ใช่เพราะเด็ก ไม่ใช่เพราะบ้าน แต่เป็นเพราะระบบ” ระบบที่ไม่เผื่อใจ ไม่ฟังเสียง และไม่สนใจคุณภาพชีวิตของครู
ในฐานะนักวิชาการด้านการบริหารการศึกษา มีข้อเสนอในการปฏิรูประบบงานครูควรประกอบด้วยมาตรการดังต่อไปนี้ ประการแรก ควรยกเลิกหรือลดงานธุรการในโรงเรียน หน้าที่ของครูควรเน้นไปที่การจัดการเรียนรู้ ส่วนงานด้านเอกสารและโครงการต่างๆ ควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยครูในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ ประการที่สอง ควรจัดตั้งศูนย์สุขภาวะครูและมีระบบเฝ้าระวังทางจิตใจ สร้างระบบดูแลสุขภาพจิตครูในทุกเขตพื้นที่การศึกษา มีทีมจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และช่องทางปรึกษาที่ปลอดภัย พร้อมระบบติดตามปัญหาความเครียดในโรงเรียนที่น่าเชื่อถือ ประการที่สามคือ ปฏิรูประบบประเมินครูและความก้าวหน้าในอาชีพ
แทนที่จะใช้จำนวนโครงการหรือเอกสารเป็นเกณฑ์วัดความดีความชอบ ควรประเมินจากการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ ความสามารถในการส่งเสริมพัฒนาการนักเรียน และการมีส่วนร่วมในชุมชน การเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ประการสุดท้ายคือ ควรเปิดพื้นที่ให้ครูมีเสียงในเชิงนโยบาย ระบบราชการควรรับฟังเสียงของครูตัวจริง ให้มีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย การวางระบบประเมิน หรือแม้กระทั่งการกำหนดชั่วโมงสอนและงานที่เหมาะสม
ความสูญเสียในครั้งนี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียง “ปัญหาเฉพาะราย” แต่ควรตระหนักว่าเป็น “สัญญาณอันตรายของทั้งระบบ” ที่กำลังทำให้ครูจำนวนมากต้องทุกข์ทนอยู่ภายใต้โครงสร้างนี้ หากยังคงเพิกเฉย ประเทศไทยอาจต้องสูญเสียครูมืออาชีพอีกนับไม่ถ้วน และนักเรียนก็จะขาดโอกาสในการเรียนรู้จากครูที่มีความสุขและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ การพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศเรา จะต้องทบทวนระบบการศึกษาไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงในแง่ของหลักสูตรหรือเทคโนโลยี หรือป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบ แต่ต้องเน้นไปที่การป้องกันครูหลุดออกจากระบบด้วย เราต้องสร้างระบบที่เข้าใจและเห็นค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ที่เป็นหัวใจของการศึกษา อย่าปล่อยให้จดหมายของครูมัทกลายเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครได้เรียนรู้ แต่จงให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเพื่อความหมายของคำว่า “ครู” ที่แท้จริงอีกครั้ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ภิญโญ แม้นโกศล
คณบดีวิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์