ดร.ปิติ ศรีแสงนาม จากจุฬาฯ แนะ 10 ข้อคนไทยเตรียมรับมือกรณี "กัมพูชาฟ้องศาลโลก" ชี้ปัญหาชายแดนเกิดจาก "ผลประโยชน์ทับซ้อนการเมือง" ไม่ใช่ความเกลียดชังประชาชน เน้นย้ำให้มีสติ ศึกษาข้อมูล และใช้ Soft Power สร้างสัมพันธ์ที่ดี
จากกรณีที่กัมพูชาได้ส่งหนังสือฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้คนไทยเตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยระบุถึง 10 ประเด็นสำคัญที่ไทยควรพิจารณาและดำเนินการ
รศ.ดร.ปิติเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจสภาพความเป็นจริงว่า ชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีความยาว 798 กิโลเมตร มีความขัดแย้งกันเพียง 4 จุด จึงไม่ควรให้ประเด็นเหล่านี้บานปลายกลายเป็นความเกลียดชังระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชา พร้อมชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของคนในพื้นที่ แต่เป็นเรื่องของ "ผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มอำนาจการเมืองในกรุงเทพฯ และพนมเปญ"
โดยเน้นย้ำให้คนไทยเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างมีสติ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความเกื้อกูลกันมาตลอดประวัติศาสตร์ ประเด็นสำคัญ 10 ข้อที่ รศ.ดร.ปิติเสนอแนะ มีดังนี้:
1. ทำจิตใจให้เข้มแข็ง เข้าใจสภาพความเป็นจริง: คนไทยควรมีสติและเข้าใจว่าปัญหาชายแดน 4 จุด ไม่ควรนำไปสู่ความเกลียดชังระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชา เนื่องจากปัญหาเกิดจากผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มอำนาจการเมือง
2. ศึกษาข้อมูลให้มาก: คนไทยต้องศึกษาเอกสารสำคัญด้วยตนเอง เช่น MOU 2543, MOU 2544, คำตัดสินกรณีเขาพระวิหาร (ทั้ง 2 รอบ) และแผนที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ใครมาชี้นำ
3. สร้างชายแดนให้เป็นจุดเชื่อมโยงแห่งโอกาส: เป้าหมายสำคัญคือการสร้างชายแดนให้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสทางการค้า การลงทุน การเข้าถึงทรัพยากรและตลาด รวมถึงการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน และควรใช้เทคนิคสมัยใหม่ในการจัดทำแผนที่ร่วมกัน โดยยึดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก
4. ตั้งศูนย์เฉพาะกิจของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.): จัดตั้ง War Room โดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามสถานการณ์ วางยุทธศาสตร์ และสื่อสารเชิงกลยุทธ์จากจุดเดียว ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และเขมร เพื่อป้องกันความสับสน
5. ยืนยันไม่ยอมรับอำนาจ ICJ: ไทยต้องแสดงหลักฐานที่เป็นเอกสารอย่างชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในทุกวาระ
6. แสดงกลไกการจัดการชายแดนที่มีอยู่แล้ว: ไทยควรแสดงหลักฐานว่ามีกลไกในการจัดการชายแดนและระงับข้อพิพาทอยู่แล้วภายใต้ MOU 2543 และชี้ว่าการที่กัมพูชานำเรื่องขึ้นสู่ ICJ เป็นการละเมิดข้อ 8 ของ MOU 2543 ซึ่งระบุให้ระงับข้อพิพาทด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา
7. แสดงหลักฐานการละเมิด MOU 2543 ข้อ 5: ไทยต้องแสดงหลักฐานทั้งคำให้การ ภาพถ่าย และบันทึกต่างๆ ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และเขมร ถึงการละเมิด MOU 2543 ข้อ 5 (ข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมพื้นที่ชายแดน) ซึ่งกัมพูชาเคยละเมิดมาแล้วกว่า 400 ครั้งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา
8. ใช้ Soft Power: ให้ทุนการศึกษานักเรียนกัมพูชา สนับสนุนงานวิจัยร่วม ให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ ส่งกองทัพเก็บกู้วัตถุระเบิด ทำให้การจ้างแรงงานกัมพูชาสะดวกและถูกกฎหมาย รวมถึงส่งเสริมการลงทุนของเอกชนไทยในกัมพูชา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
9. ตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตสำหรับกิจการผิดกฎหมาย: ตัดกระแสไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตสำหรับกิจการการพนันและ Scam Center ที่ใช้ทรัพยากรจากไทยจำนวนมาก และห้ามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการพนันข้ามพรมแดน พร้อมทั้งให้กองทัพและ ตชด.ลาดตระเวนพื้นที่ช่องทางธรรมชาติถี่ขึ้น
10. กระทรวงการต่างประเทศเรียกทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยชี้แจง: เพื่อรับทราบแนวทางและนโยบายของฝ่ายไทย และกำหนดมาตรการจากเบาไปหาหนักหากเกิดปัญหาขึ้นอีก
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ย้ำว่า การรับมือกับสถานการณ์นี้ต้องอาศัยความเข้าใจรอบด้าน การเตรียมข้อมูลที่แม่นยำ และการดำเนินงานอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านในระยะยาว