xs
xsm
sm
md
lg

หลักฐานชัด “มท.หนู” ขอเอง ยึดถนนหลวงเป็นรันเวย์ เอื้อธุรกิจ “สกายไดวิ่ง” โยงสนามกอล์ฟของตระกูล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หลักฐานชัดเจน “อนุทิน มท.1” ยื่นขอใช้ถนนสาธารณะของชุมชนลำตะคองเป็นรันเวย์สนามบินเอกชน เอื้อธุรกิจโดดร่มสกายไดวิ่ง ทำเงินวันหนึ่งนับล้าน แต่ยังไม่เคยมีประกาศเปลี่ยนเป็นเขตสนามบิน ไม่ได้ทำประชาคมเพื่อถามความเห็นชาวบ้าน แต่เครื่องบินยังขึ้นลงทุกวัน เคยมีคนไปแจ้งความแต่กลับโดนแจ้งความกลับ เอาป้ายห้ามบุกรุกไปปักได้วันเดียวป้ายก็หาย



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงปัญหาถนนสาธารณะที่ชาวบ้านในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เคยใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาเป็นประจำ แต่ขณะนี้ถูกแปรสภาพกลายเป็น ‘รันเวย์’ สำหรับเครื่องบินส่วนตัว ใช้ขึ้น-ใช้ลง-ใช้รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จ่ายเงินเพื่อฝึกกระโดดร่มหลักหมื่นต่อคน วันหนึ่งหลายเที่ยว คิดเป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท?

มีคำถามว่าการใช้ถนนเส้นนี้เป็นรันเวย์ของเครื่องบินมีใครอนุญาต?
ถนนของรัฐ กลายเป็นทางของใคร? และประเทศนี้ยังมีกฎหมายที่บังคับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมอยู่หรือไม่?


สนามบินแห่งนี้ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ บางคนเรียกว่า “สนามบินขนงพระ” ไม่มีประกาศเวนคืนที่ดินเพื่อทำเป็นสนามบิน ไม่มีการทำประชาคมรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน ไม่เคยมีใครมาแจ้งว่าถนนจะกลายเป็นสนามบิน แต่ชาวบ้านในตำบลขนงพระรู้กันหมด ว่าทุกวันนี้เครื่องบินขึ้น-ลงได้ทุกวัน ขึ้นตั้งแต่แปดโมงเช้า ลงถึงห้าโมงเย็น เที่ยวละสิบกว่าคน กระโดดร่ม เสร็จก็กลับรีสอร์ต เที่ยวหน้าก็วนขึ้นใหม่


สนามบินนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของสนามกอล์ฟที่มีชื่อว่า แรนโช ชาญวีร์ (Rancho Charnvee) ซึ่งชื่อผู้บริหารคนสำคัญในบริษัทคือ นางอนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ (น้องสาวนายอนุทิน)

ชื่อ Rancho Charnvee Resort & Country Club เคยตกเป็นข่าวเป็นสถานที่พักผ่อนและพบกันของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งได้ใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์พักผ่อนร่วมกับสมาชิกครอบครัวชินวัตร และนายอนุทิน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567


ถนนที่กลายเป็นรันเวย์ “สนามบินขนงพระ” นั้นเคยเป็นถนนสาธารณะที่ชาวบ้านใช้มานานกว่า 30 ปี อยู่ในความดูแลของนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ซึ่งสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับผิดชอบ แต่
- ไม่เคยมีเอกสารใดประกาศว่า ‘เปลี่ยนเป็นเขตสนามบิน’
- ไม่เคยมีป้ายประกาศเวนคืน
- ไม่มีการชี้แจงกับชุมชน

ไม่มีอะไรเลย มีแค่เครื่องบินที่บินขึ้นลงจริงๆ ทุกเมื่อเชื่อวัน

เมื่อชาวบ้านเริ่มออกมาร้องเรียน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การตรวจสอบ หรือหยุดกิจการ แต่เป็น ‘การลงพื้นที่จับพิกัด’ ของเจ้าหน้าที่รัฐเอง เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่จากนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ร่วมกับ อบต.ขนงพระ เดินทางไปร่วมกับบริษัทเอกชน จับพิกัดรันเวย์เพื่อใช้ในกิจการขึ้น-ลงอากาศยาน

นั่นคือการรับรู้ และไม่ใช่แค่รับรู้ แต่ร่วมมือด้วย


บริษัทที่ดำเนินกิจการ skydiving ใช้ชื่อว่า ‘Skydive (Thailand) จำกัด’ มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีผู้บริหารเป็นชาวต่างชาติ ชื่อ ‘เจฟฟรีย์ ชาน’ กิจการที่มีทุนแค่ 1 ล้านบาท แต่ทำรายได้วันละเป็นล้าน ผ่านพื้นที่รัฐ ผ่านถนนหลวง ผ่านเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่วมลงพื้นที่ แล้วเราเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดี?

เมื่อย้อนดูเอกสารการขออนุญาตใช้พื้นที่สนามบิน กลับมีชื่อผู้ยื่นขอใช้คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นการขอในนามส่วนตัว และมอบอำนาจให้ พล.อ.ต.นิพนธ์ โพธิ์เจริญ เป็นผู้ดำเนินการแทน พื้นที่ที่ยื่นขอใช้ คือพื้นที่เดียวกับรันเวย์ที่ทับถนนหลวง และเป็นพื้นที่เดียวกับที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองเดินทางไปจับพิกัดร่วมกับเอกชน


คำถามคือ เมื่อรัฐรับรู้รับทราบ เมื่อชื่อรัฐมนตรีอยู่ในเอกสารแล้ว
- ทำไมเรื่องนี้ยังเกิดขึ้นได้?
- ทำไมป้ายห้ามบุกรุกถึงเพิ่งมาติดหลังเป็นข่าว? และ
- ทำไมเครื่องบินถึงยังบินขึ้นลงต่อไปได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย?


หลังจากที่เจ้าหน้าที่นิคม และ อบต.ขนงพระลงพื้นที่ร่วมกับเอกชนในวันที่ 13 พฤษภาคม เพื่อจับพิกัดใช้ถนนเป็นรันเวย์ ก็มีการโพสต์ภาพใน Facebook อย่างเปิดเผย แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ให้หลัง วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่จากนิคมคนเดิม กลับเดินทางไปแจ้งความต่อ สภ.ปากช่อง ว่าสนามบินดังกล่าวยังไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ


พอเป็นข่าวจึงแจ้งความ พอสื่อขุดเรื่องนี้ จึงปักป้ายห้ามบุกรุก พอถูกตั้งคำถาม จึงเริ่มทำเหมือนไม่รู้เรื่องมาก่อนทั้งที่ในภาพชัดเจนว่าวันที่จับพิกัดมีเจ้าหน้าที่ของรัฐไปครบ และมีบุคคลในเครือสนามกอล์ฟ Rancho Charnvee อยู่ในพื้นที่ด้วย

วันถัดจากแจ้งความ วันที่ 7 มิถุนายน 2568 นายโรจน์ ศรีจันทุม ตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่จึงเดินทางไปแจ้งความกลับ โดยยื่นเอาผิดผู้บริหารนิคมลำตะคอง และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เพราะรัฐรู้ แต่ไม่ห้าม เพราะรัฐเห็น แต่ไม่ปกป้อง เพราะรัฐนิ่งเฉย ทั้งที่มีอำนาจหน้าที่


ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่สนามบินนี้เปิดดำเนินการขึ้น - ลงอย่างต่อเนื่อง มีการจัดแพ็กเกจโดดร่ม เรียกว่า แทนดั้ม จั๊มพ์ (Tandem Jump) หรือ การกระโดดร่มแบบคู่ หมายถึง การกระโดดร่มที่ผู้กระโดดจะถูกผูกติดกับผู้ฝึกกระโดดร่ม (Jump Instructor) ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการกระโดดร่ม และจะดูแลและควบคุมการกระโดดทั้งหมด

โดย แทนดั้ม จั๊มพ์ (Tandem Jump) ที่ใช้ถนนสาธารณะในการขึ้นลงเครื่องบินนี้ มีการคิดค่าบริการเริ่มต้นราว 8,000 กว่าบาท ไปจนถึง 50,000 บาทต่อคน เที่ยวหนึ่งรับประมาณ 12–15 คน บินวันละประมาณ 20 เที่ยว เฉพาะค่ากระโดดอย่างเดียว วันหนึ่งมีรายได้แตะหลักล้านจนถึงหลายล้าน


ประเด็นก็คือ พื้นที่ที่ใช้กลับเป็นถนนหลวง คือทางเข้าออกของชาวบ้าน คือทรัพย์สินของแผ่นดิน สิ่งที่ชาวบ้านได้รับมีเพียงความลำบาก หลายคนเล่าว่าต้องรอเครื่องบินขึ้นลงให้เสร็จก่อนถึงจะกล้าข้ามถนน เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยโบก ไม่มีระบบสัญญาณ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

บางคนบ้านอยู่ติดกับสนามกอล์ฟ แต่ไม่สามารถให้การไฟฟ้ามาเดินสายได้ เพราะคำตอบคือ ‘ต้องข้ามเขตรันเวย์สนามบิน’ หลายคนป่วยติดเตียง พยาบาลออกเวรกลับมาบ้านก็นอนไม่ได้ เพราะเสียงเครื่องบินวนทั้งวัน และหลายคน...ขายที่ทิ้ง เพราะอยู่ไม่ได้ ภาพจากดาวเทียมจะเห็นได้ชัดว่ารันเวย์เถื่อนนั้นอยู่ติดสนามกอล์ฟเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น ชัดเจนว่า สนามบินแห่งนี้มีจุดเชื่อมโยง กับสนามกอล์ฟ โรงแรม รีสอร์ต และจุดรับนักโดดร่ม ซึ่งใช้พื้นที่ร่วมกันหมดส่งผลให้ถนนของรัฐกลายเป็น ‘ทางเข้า VIP ของธุรกิจ’ พื้นที่ของชาวบ้าน และประชาชนกลายเป็น ‘ที่ตั้ง’ ของกิจการ Skydiving และสิ่งที่ควรเป็นของส่วนรวม กลับถูกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินกลุ่มทุน โดยไม่มีการเวนคืน ไม่มีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง !?!


ชื่อของ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปรากฏอยู่ในเอกสารการยื่นขอสนามบิน และตำแหน่งของเขามีอำนาจกำกับดูแลองค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ เมื่อ อบต.ขนงพระ ร่วมจับพิกัดสนามบิน เมื่อนิคมร่วมเดินทางไปกับบริษัทเอกชน เมื่อรัฐทุกหน่วย ‘เงียบ’ พร้อมกันหมด คำถามจึงไม่ใช่แค่ใครอนุญาตให้ใช้ถนนหลวงเป็นรันเวย์?แต่คือ...ใครกันแน่...ที่ทำให้สนามบินนี้บินได้ทุกวันโดยไม่มีใครกล้าขวาง?

หลายคนอาจจะถามว่า ถ้ามันผิดกฎหมาย, ลุแก่อำนาจถึงขนาดที่เอาทางสาธารณะ มาสร้างเป็นรันเวย์ส่วนตัว ทำไมรัฐไม่จัดการ?

คำตอบอาจอยู่ในโครงสร้างที่เรากำลังเห็นร่วมกัน ว่ารัฐไม่ได้เงียบเพราะไม่รู้ แ_ต่เงียบเพราะอยู่ในโครงสร้าง แก๊ง และก๊วนเดียวกัน


อย่าลืมว่า องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ อบต. นั้นเป็นหน่วยงานท้องถิ่นภายใต้กำกับของกระทรวงมหาดไทย นิคมสร้างตนเองลำตะคอง สังกัดกรมพัฒนาสังคมฯ ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พม. และผู้ที่มีชื่อในเอกสารการขอสนามบิน ก็คือผู้ที่ดูแลกระทรวงเหล่านี้

แต่ไม่ใช่แค่รัฐครับ โครงสร้างนี้ลึกไปถึง ‘เอกชน’ ด้วย บริษัท Skydive (Thailand) จำกัด ที่มาดำเนินกิจการกระโดดร่มนั้น มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท กรรมการชื่อ ‘เจฟฟรีย์ ชาน’ เป็นชาวต่างชาติ

แต่พื้นที่ที่ใช้งานจริง เป็นของสนามกอล์ฟ Rancho Charnvee ที่เชื่อมโยงกับ น้องสาวของนายอนุทิน

กิจกรรม skydiving ใช้พื้นที่รันเวย์ที่ตั้งอยู่ในเขตสนามกอล์ฟ ลูกค้าที่บินมาลงสนามบินนี้ เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ และสิ่งที่ปรากฏในเอกสารชัดเจนก็คือ มีการยื่นขอใช้พื้นที่ขึ้นลงอากาศยาน โดยใช้ชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ซึ่งยื่นเรื่องในนามส่วนตัว


ทั้งนี้ หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ถูกมอบอำนาจให้ดำเนินการแทน คือ พล.อ.ต.นิพนธ์ โพธิ์เจริญ อดีตนายทหารอากาศ มีประวัติรับตำแหน่งในหลายหน่วยงานของรัฐ และมีชื่อปรากฏว่าเป็น ‘คู่หูบิน’ ของนายอนุทิน ในหลายภารกิจ

เอกสารการขอยื่นสนามบิน แนบแบบฟอร์ม มอบอำนาจชัดเจน ระบุ พื้นที่ ‘ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา’ ตรงกับจุดที่เป็นปัญหาพอดี เมื่อชาวบ้านไปแจ้งความ ร้องเรียน หรือขอให้หยุดกิจการ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ หรือในบางรายกลายเป็น ‘ผู้ต้องหา’ เอง


นายโรจน์ ศรีจันทุม ถูก อบต.แจ้งข้อหาขโมยดินจากที่สาธารณะ ทั้งที่ดินนั้นอยู่หน้าบ้านของตัวเอง และเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ทำเกษตร บางคนถูกปฏิเสธการเข้าถึงไฟฟ้า เพราะคำว่า ‘ติดรันเวย์สนามบิน’ บางคนถูกขุดถนน ปิดทางเข้าออก และบีบให้ขายที่ดินทิ้ง พื้นที่นี้เป็นนิคมเพื่อคนจน แต่กลายเป็นอาณาจักรของคนรวย ถนนสายนี้เคยเป็นของประชาชน แต่วันนี้กลายเป็นทางเข้า VIP ของธุรกิจ Skydiving ที่รับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ถ้าเป็นใครก็ต้องถาม นี่มันคือโครงการพัฒนา หรือการยึดพื้นที่แบบใหม่?


และเมื่อเรารู้ว่ารัฐมีส่วนร่วมในเกือบทุกขั้นตอน ทั้งร่วมจับพิกัด ร่วมเดินพื้นที่ ร่วมเงียบไปพร้อมกัน ก็ต้องถามว่านี่มันคือ ‘รัฐร่วมมือกันทำผิดกฎหมาย’ หรือเปล่า?

เพราะผิดกฎหมายที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
มาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
มาตรา 235 ของรัฐธรรมนูญ การขัดกันแห่งผลประโยชน์
พ.ร.บ.การบินพลเรือน ว่าด้วยการใช้พื้นที่ขึ้น-ลงอากาศยานโดยไม่ได้รับอนุญาต
พ.ร.บ.ความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 ในกรณีทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย

ถามว่าเจ้าหน้าที่ของภาครัฐรู้มั้ยว่าผิด? รู้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำคือ ‘แจ้งความกันเอง’ เพื่อเซฟตัวเองหลังออกข่าว แล้วก็ปิดด้วยการปักป้ายห้ามบุกรุก อยู่แค่คืนเดียว


วันรุ่งขึ้น “ป้ายหาย” เครื่องบินกลับมาบินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในลำตะคอง จึงไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะจุด แต่มันคือภาพจำลองของโครงสร้างใหญ่ในประเทศไทย รัฐรู้เห็น แต่ไม่ยับยั้ง รัฐมีอำนาจ แต่ไม่บังคับใช้ และเมื่อคนที่อยู่ในโครงสร้างนั้น มีผลประโยชน์โดยตรงอย่างกรณีนี้ก็คือ คนที่ขออนุญาตใช้ดันเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสียเอง

คำถามคือ ... จะยังเรียกว่ารัฐที่โปร่งใสได้อยู่อีกหรือไม่?

เรื่องนี้ เอกสารทุกแผ่นมีชื่อคน มีวันเวลา มีลายเซ็น มีการยื่น มีการรับ มีคำว่า “อนุทิน” ปรากฏชัด กระบวนการขอใช้พื้นที่สนามบิน แม้จะยื่นในนามส่วนตัว แต่ตำแหน่งของผู้ยื่น คือรัฐมนตรีที่กำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นทั้งหมด มองยังไง ก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน


และเรายังต้องตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า บริษัท Skydive (Thailand) ที่มาทำกิจการนั้น จดทะเบียนแค่ 1 ล้านบาท แต่มีรายได้ระดับวันละหลายล้านบาท ทำธุรกิจโดยใช้ทรัพย์สินของรัฐ ใช้ถนนของชุมชน แต่ไม่มีข้อมูลว่าจ่ายอะไรให้รัฐกลับมา กิจการลักษณะนี้ควรถูกตรวจสอบหรือไม่? ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง? ใครถือหุ้นซ่อนอยู่บ้าง? และที่สำคัญ ใครอนุญาตให้ใช้ถนนเป็นรันเวย์ได้ โดยไม่ต้องเวนคืน ไม่ต้องทำประชาคม?

นอกจากนี้ยังต้องย้อนกลับไปดูบทบาทของ ‘นิคมสร้างตนเองลำตะคอง’ จะเห็นว่า วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ลงพื้นที่จับพิกัดร่วมกับเอกชน วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ปักป้ายห้ามบุกรุก วันที่ 7 มิถุนายน 2568 ชาวบ้านแจ้งความกลับฐานละเว้นหน้าที่ และหลังจากนั้น ป้ายที่ติดไว้ก็ถูกถอดหายไป ไม่มีคำชี้แจง ไม่มีผู้รับผิด ไม่มีการสั่งหยุดการบิน ไม่มีคำสั่งจากผู้มีอำนาจใดๆ


ถ้ามองอย่างตรงไปตรงมาพฤติกรรมนี้คือการ ‘กลบเก่า สร้างภาพใหม่’ เพื่อกันตัวเอง แต่ความเสียหายต่อชาวบ้านยังอยู่ เสียงเครื่องบินยังดัง เส้นทางสาธารณะยังถูกครอบครอง พื้นที่คนจนยังถูกใช้อย่างไม่เป็นธรรม ความเงียบของรัฐ จึงไม่ใช่แค่เพิกเฉย แต่มันคือการอนุญาตอย่างเงียบ ๆ

การบินพลเรือนของไทยระบุชัดว่า การขึ้นลงอากาศยานต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ความปลอดภัย และต้องผ่านการอนุญาตที่ถูกต้อง แต่กรณีนี้ ไม่มีใบอนุญาต ไม่มีการประกาศใช้พื้นที่ ไม่มีแผน EIA ไม่มีประชาคม ไม่มีอะไรเลย รัฐรู้แต่ไม่ห้าม เอกชนรู้แต่ยังทำ และประชาชนไม่มีทางไป


วันนี้เราจึงไม่ได้มาเล่าแค่เรื่องสนามบิน แต่เรากำลังเล่าเรื่อง อำนาจ อำนาจที่สามารถแปลงถนนให้เป็นรันเวย์ แปลงพื้นที่เกษตรให้เป็นสนามกอล์ฟ แปลงนิคมของคนจน ให้เป็นธุรกิจ VIP ของกลุ่มทุน และอำนาจที่สามารถทำทุกอย่างได้...โดยไม่ต้องรับผิด

สนามบินแห่งนี้ เป็นภาพสะท้อนโครงสร้างประเทศ ไม่ใช่เพราะมีเครื่องบิน แต่เพราะมีอำนาจ อำนาจที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จนถึงรัฐมนตรีผู้มีชื่ออยู่ในเอกสารขอใช้พื้นที่

อำนาจที่สามารถทำให้ทุกหน่วยเงียบพร้อมกัน และอำนาจที่ทำให้กฎหมาย กลายเป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติ


เอกสารที่ยื่นขอสนามบิน ไม่ได้ซับซ้อน มีชื่อ มีลายเซ็น มีผู้รับมอบอำนาจ มีแผนที่ มีพิกัด แต่สิ่งที่ซับซ้อนกว่าคือ ความสัมพันธ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ บริษัทที่เช่าใช้ พื้นที่สนามกอล์ฟ และเครือญาติของรัฐมนตรีที่กำกับหน่วยงานนั้นอยู่


บทเรียนจากลำตะคอง ไม่ใช่เรื่องของสนามบิน แต่เป็นเรื่องของการใช้ ‘อำนาจ’ อย่างไร้ความยับยั้ง เมื่อกฎหมายถูกเลือกใช้เพื่อ ‘คุ้มครอง’ คนบางกลุ่ม เมื่อหน่วยงานรัฐถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือ’ ของผลประโยชน์ และเมื่อประชาชนถูกปล่อยให้อยู่กับเสียงเครื่องบิน โดยไม่มีใครรับผิดชอบ จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากกรณีเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว แต่ตระกูลชิดชอบ กับผู้มีอำนาจในพรรคภูมิใจไทยก็ยังหน้าด้านไม่ยอมคืนที่ดิน

ถ้าในประเทศนี้ คนธรรมดาแค่ขุดดินหน้าบ้านตัวเองยังโดนจับ แต่สนามบินที่ตั้งอยู่บนถนนหลวง ใช้ขึ้นลงทุกวัน กลับไม่มีใครแตะต้องได้เลย เราจะยังเชื่อได้อีกหรือว่า “กฎหมาย” บ้านเมืองนี้มีความเป็นธรรม และมีไว้เพื่อบังคับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม?






กำลังโหลดความคิดเห็น