ทนายความของแพทย์ 1 ใน 3 ผู้ถูกลงโทษโดยมติแพทยสภากรณีเอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” นอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ยื่นหนังสือขู่ดำเนินคดีแพทยสภาหากที่ประชุมวันนี้ไม่เพิกถอนมติเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ค.
จากกรณีที่มีแพทย์ 4 รายถูกร้องเรียนว่ากระทำผิดจริยธรรมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมกรณีเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ระหว่างต้องโทษจำคุก และกรรมการแพทยสภามีมติเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ให้ลงโทษแพทย์ 2 รายด้วยการพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และ 1 รายลงโทษตักเตือน ส่วนอีก 1 รายให้ยกคำร้อง และต่อมานายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ยับยั้งมติดังกล่าว ทำให้คณะกรรมการแพทยสภาต้องมีการประชุมพิจารณาอีกครั้งในวันนี้ (12 มิ.ย.) นั้น
ล่าสุดมีรายงานว่า นายเนติธร หลินหะตระกูล ทนายความบริษัท ศักยภาพไทยอินเตอร์กฎหมายและธุรกิจ จํากัด ในฐานะทนายความผู้รับมอบอํานาจจากแพทย์ 1 ใน 3 รายที่แพทยสภามีมติถูกลงโทษ ได้ทำหนังสือลงวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ถึงแพทยสภา ขอให้ทบทวนเพิกถอนมติคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568
นายเนติธรให้เหตุผลอ้างว่า แพทยสภาไม่มีอํานาจดําเนินคดีจริยธรรมต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในกรณีซึ่งไม่มีความเสียหายของผู้ป่วย หรือมีการประพฤติหรือกระทําการใดๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ หรือกระทําการฝ่าฝืนกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดย “ผู้กล่าวโทษ” หมายความว่า (1) บุคคลผู้รู้เรื่องความเสียหายอันเกิดจากการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นผู้ทําคําร้องต่อแพทยสภาเพื่อแจ้งเหตุที่ตนรู้เรื่องดังกล่าว กล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้น.... (2) คณะกรรมการ โดยคําร้องที่แพทยสภารับไว้พิจารณา ไม่ระบุโรคใด ระดับใด จากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ปรากฏในการร้องเรียนแบบกล่าวโทษนั้น หรือระบุว่าผู้กล่าวโทษรู้เห็นว่ามีผู้ป่วยรายใดรับความเสียหายจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรม และไม่ระบุความเสียหายจากการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของผู้ป่วยรายที่อ้าง เป็นกรณีเรื่องอื่นอันไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของแพทยสภาตามมาตรา 7 และไม่อยู่ในขอบเขตของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามมาตรา 4 แพทยสภาจึงไม่มีอํานาจดําเนินคดีนี้ต่อผู้มอบอํานาจ ซึ่งหากใช้เรื่องนี้เป็นบรรทัดฐานแล้วในอนาคตอาจมีการร้องเรียนในลักษณะเดียวกัน อันทําให้แพทยสภาต้องดําเนินการอีกหลายกรณี ซึ่งนอกจากจะไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ยังส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับแพทย์ผู้ปฏิบัติวิชาชีพ และเป็นภาระหนักกับแพทยสภาต่อไป
นอกจากนี้ ยังอ้างว่าแพทยสภาได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมชุดเฉพาะกิจโดยมิชอบ กล่าวคือ การที่ไม่นําเข้าคณะอนุกรรมการจริยธรรมตามลําดับที่มีในโครงสร้างแพทยสภาและแต่งตั้งไว้แล้วกว่า 10 ชุด และไม่มีเหตุจําเป็นที่ต้องตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมเฉพาะกิจ ซึ่งคณะกรรมการ แพทยสภารู้ หรือควรรู้ว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวมิใช่กรณีการร้องเรียนการประกอบวิชาชีพเวชกรรม แต่ยังคงมีมติแต่งตั้งอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมชุดเฉพาะกิจ โดยไม่นําเข้าแบบเรียงลําดับชุดคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมที่มีอยู่ตามข้อบังคับเสียก่อน ตามข้อ 8 ของข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2563 อันเป็นการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และหลักการที่กําหนดไว้สําหรับปฏิบัติราชการทางปกครอง อันเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นข้อสงสัยว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติและมุ่งหมายต่อผลที่ไม่เป็นธรรมกับผู้มอบอํานาจหรือไม่
นายเนติธรได้เรียกร้องให้เพิกถอนมติแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ไม่ถูกต้อง และดําเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมายและคงไว้ซึ่งความเป็นกลางและยุติธรรม ขอให้คณะกรรมการแพทยสภาโปรดใช้ดุลพินิจอันถ้วนยุติธรรม และมีอิสระในการใช้ดุลพินิจในการพิจารณา เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมั่นต่อประชาชนและไม่ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลใด
“หากมติดังกล่าวส่งผลทําให้ผู้มอบอํานาจ ได้รับความเสียหาย ข้าพเจ้ามีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป” นายเนติธรระบุในหนังสือถึงแพทยสภา
ด้านแหล่งข่าวในแพทยสภาเปิดเผยว่า ประเด็นการตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมชุดเฉพาะกิจนั้น มีข้อเท็จจริงคือแพทยสภาได้ทำมาหลายคดีแล้ว กรณีที่เป็นคดีเร่งรัด อยู่ในความสนใจของประชาชน หรือปล่อยช้าไม่ได้ ไม่ใช่เพิ่งทำคดีนี้เป็นคดีแรก เนื่องจากชุดประจำมีงานล้นมือ มีคดีค้างหลายคดี
ส่วนกรณีนี้ การตั้งชุดเฉพาะกิจก็เพื่อให้เป็นกลาง และคณะทำงานไม่ต้องรับแรงกดดันในฐานะข้าราชการ โดยเอาเฉพาะคนที่ไม่ใช่ข้าราชการมาทำงาน เพื่อให้เป็นอิสระ และเป็นกลาง และผู้ถูกร้องทุกคนสามารถใช้สิทธิคัดค้านได้แต่ต้นแล้ว