กสศ.จับมือพันธมิตรเปิดตัวแคมเปญ “เพราะทุกที่คือโรงเรียน” พลิกโฉมการศึกษาไทย! มุ่งสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนกว่า 880,000 คนที่หลุดจากระบบได้กลับมาเรียนรู้ในรูปแบบที่ยืดหยุ่น เหมาะสมกับชีวิต พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกบริบท ไม่จำกัดแค่ในห้องเรียน
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 3 ถึง 24 ปี หลุดจากระบบการศึกษา จำนวน 880,463 คน ลดลงจากปี 2567 ที่มีอยู่ประมาณ 1.02 ล้านคน เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน นอกจากนี้ จากการสำรวจของ กสศ.พบว่าเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษาไม่มีเป้าหมายทางการศึกษาและอาชีพที่ชัดเจน รวมถึงไม่มีแผนการศึกษาในอนาคต ถึงร้อยละ 78.23 จากกลุ่มตัวอย่าง 29,452 คน ขณะที่ร้อยละ 49.42 แสดงความต้องการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพมากกว่าการเรียนแบบวิชาการในระบบเดิม ปัญหา “เด็กหลุดจากระบบการศึกษา” ถือเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่สำคัญระดับชาติ และมีผลกระทบทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว
สำหรับการเปิดตัวแคมเปญ “เพราะทุกที่คือโรงเรียน” เป็นวิสัยทัศน์ใหม่การเรียนรู้เพื่อทุกคน ทุกสถานที่ ทุกเวลา เด็กและเยาวชนทุกคนควรมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง เป็นการปลดล็อกขอบเขตของการเรียนรู้ ไม่จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียน โดยชุมชน ท้องถิ่น และครอบครัวมีบทบาทในการจัดการศึกษาและสนับสนุนผู้เรียนได้โดยตรง ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านอาชีพ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ผ่านดิจิทัล ตอบโจทย์การศึกษายืดหยุ่น และการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง พร้อมทั้งสามารถนำไปต่อยอดการสมัครงานหรือเรียนต่อได้ ซึ่งหากสามารถยุติปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์เชิงบวก คือเศรษฐกิจไทยจะโตเพิ่มขึ้นอีก 1.7% ของ GDP จากรายได้ตลอดชีวิตที่สูงขึ้นของเด็กเหล่านี้ เนื่องจากเด็กคือศักยภาพของประเทศ
ครั้งนี้ กสศ.ได้นำเสนอ 3 ตาข่ายการเรียนรู้หลักเพื่อรองรับเด็กหลุดจากระบบ ได้แก่ 1.) โรงเรียนที่มีการปรับให้ยืดหยุ่น เช่น 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ 2.) การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยผ่านกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และ 3.) ศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม เช่น มูลนิธิ สมาคม หรือกลุ่มอาชีพ ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นครู เป็นผู้จัดการศึกษาได้ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือสำคัญอีกหลายอย่างที่ทำงานเชิงรุก ติดตามค้นหา เพื่อนำการศึกษา การเรียนรู้ไปให้เด็กเยาวชน เช่น กลไกตำบล, โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School, ธนาคารหน่วยกิต Credit Bank ที่ช่วยให้การเรียนรู้ทุกรูปแบบ การประกอบอาชีพสามารถเทียบโอนหน่วยกิต เชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด
ภายในงานนอกจากจะมีการแสดงเปิดงานจากตัวแทนเยาวชน ชนเผ่าชาติพันธุ์ลาหู่ และตัวแทนเด็ก และเยาวชนที่ร่วมโครงการ ยังมีเหล่าหุ้นส่วนทางการศึกษา เช่น KFC Thailand, องค์กร Sea (ประเทศไทย), บริษัท ซีเจ มอร์ จำกัด, วงหมอลำไอดอล สำนักข่าว The Reporters และสมาคมทุเรียนใต้ ร่วมเปิดแคมเปญในครั้งนี้ โดยได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน และประชาชนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง นอกจากนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมยังได้สัมผัสกับห้องเรียนหลากหลายรูปแบบที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง กสศ.กับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ภายใต้แนวคิด ทุกคนสามารถเป็นครูได้ และทุกที่คือโรงเรียน ได้แก่
- หมอลำศึกษา นิวเจน เรียนไปม่วนไป เป็นหลักสูตร “สร้างโอกาส ต่อยอดความฝัน เยาวชนวงหมอลำ” ออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีความสนใจในหมอลำ ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริงในวงหมอลำ โดยเนื้อหาครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ เช่น การออกแบบเครื่องแต่งกายและเวที การออกแบบท่าเต้นและนาฏศิลป์ สุขภาพ ความงาม และการดูแลร่างกายสำหรับนักแสดง การเรียนรู้บูรณาการกับ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมส่งเสริมทักษะศตวรรษที่ 21 โดยเปิดสอนในรูปแบบออนไลน์ ผ่านกลุ่มปิดบน Facebook สามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้จะดำเนินการร่วมกันโดยผู้เชี่ยวชาญในวงหมอลำและครูในระบบการศึกษา เพื่อให้สามารถนำผลการเรียนไป เทียบโอนเป็นหน่วยกิตทางการศึกษา หรือวุฒิการศึกษาต่อไปได้ ทั้งนี้ หมอลำ คือศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีคุณค่าอย่างลึกซึ้งทั้งในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการศึกษา โดยสามารถสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้มากกว่า 6,615 ล้านบาทต่อปี
- Learn to Earn : Earn to Learn การศึกษา = ปากท้อง ของโรงเรียน 3 รูปแบบ โดยมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรี ริเริ่ม โมเดล 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ จัดการศึกษายืดหยุ่นทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย สามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา เชื่อมโยงท้องถิ่น ชุมชน สถานประกอบการเอกชน จัดการศึกษาการเรียนรู้ร่วมกับโรงเรียน เพื่อตอบโจทย์ข้อจำกัดชีวิตของผู้เรียนที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะปัญหาความยากจน ปัญหาสุขภาพร่างกาย เป็นต้น โดยโรงเรียนเนกขัมวิทยา เป็นหนึ่งในโรงเรียนแกนนำที่จัดการศึกษายืดหยุ่นรูปแบบนี้ได้อย่างเข้มแข็ง มีเยาวชนที่เรียนรู้จากพื้นที่การทำงาน เช่น สวนฝรั่ง สวนมะพร้าว ฟาร์มเลี้ยงวัว หรือผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ (ออทิสติก) ใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ ซึ่งรูปแบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้ขยายผลไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ
- ยกให้เลย ทั้งชุมชน เพื่อเป็นโรงเรียนของเด็กนอกระบบ หลักสูตร ChickLab ห้องเรียนฟาร์มไก่ เลี้ยงก็ได้ ขายก็เก่ง และหนองสนิท BARBER ห้องเรียนปั้นช่างตัดผมขวัญใจคนทั้งหมู่บ้าน ซึ่งในพื้นที่อบต.หนองสนิท จ.สุรินทร์ มีเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี กว่า 60 คนที่หลุดจากระบบการศึกษาจากปัญหาความยากจน เด็กจำนวนมากออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.6 รับจ้างเป็นแรงงานก่อสร้าง โยกย้ายไปในจังหวัดต่างๆ อบต.หนองสนิทระดมความร่วมมือทั้งตำบล 10 หมู่บ้าน ทำความเข้าใจกับ เด็ก เยาวชน และครอบครัวเพื่อให้กลับมาเรียนผ่าน Mobile School ที่ผู้ใหญ่ทั้งชุมชนเป็นครู และยกให้ทุกตารางนิ้วในตำบลเป็นโรงเรียน เป็นบ้าน เป็นพื้นที่เรียนรู้ เด็กๆ เรียนรู้ผ่านวิถีเกษตรอินทรีย์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตร ฟาร์มไก่โคราช ตลอดจนการก่อตั้งกิจการขายไก่อบ ช่างตัดผม ช่างติดตั้งเครื่องเสียง ทอผ้าพื้นเมือง ฯลฯ ปัจจุบัน อบต.หนองสนิททั้ง 10 หมู่บ้าน แบ่งเครือข่ายผู้ใหญ่ใจดีเป็น 50 คุ้ม เพื่อช่วยกันดูแล เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กและเยาวชนในตำบลได้อย่างทั่วถึง
- โรงเรียนนอกกรอบ KFC เปลี่ยนร้านอาหารให้เป็นแหล่งเรียนรู้ โดย KFC ประเทศไทยได้ร่วมพัฒนาโมเดลนำร่องการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิต ผ่านโครงการ KFC Bucket Search เน้นพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีโอกาสทางการศึกษา การทำงาน และกลับคืนสู่สังคม ด้วยระบบการเรียนรู้ Work Experience ได้แก่ (1) Front of house เช่น ฝึกการบริการลูกค้า การสื่อสาร การขาย การเงินและบัญชี (2) Middle of house เช่น ฝึกประสบการณ์ด้านการประกอบอาหาร เครื่องดื่ม การสุขาภิบาลอาหาร การจัดเตรียม Order การออกแบบและเลือกใช้ Packaging กับประเภทอาหาร (3) Back of house เช่น ฝึกประสบการณ์ด้านการจัดเตรียม Stock และบริหาร Stock และ (4) Special House เลือกฝึกประสบการณ์ตามความสนใจ และจัดทำโครงงานเพื่อประกอบการสอบและขอสำเร็จการศึกษา การวัดผลร่วมโดยโค้ช หรือครู KFC และครูศูนย์การเรียน เพื่อนำไปเทียบโอนผลการเรียนและวุฒิการศึกษา
- เจริญกาแฟ ความรู้กินได้ พื้นที่สร้างทักษะธุรกิจร้านกาแฟและเบเกอรี ให้ลูกหลานแรงงานไร่ส้มได้ฝึกอาชีพจริงและได้วุฒิการศึกษา โดยองค์ประกอบการเรียนรู้ในห้องเรียนบาริสตา ศูนย์การเรียนไร่ส้ม อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เช่น การเขียนเมนู การสื่อสารและการนำสินค้า การชั่งตวงวัด ปริมาตร/อัตราส่วน การคำนวณต้นทุน-กำไร ความน่าจะเป็นกับการตัดสินใจเลือกซื้อ ความแตกต่างของเมล็ดกาแฟกับการเปลี่ยนแปลงของสาร ประวัติศาสตร์ของกาแฟ องค์ประกอบศิลป์ในการออกแบบเมนู ป้าย โลโก้ การจัดการด้านสุขอนามัย โดยบูรณาการเนื้อหากับ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
- Mobile Media Lab ห้องเรียนสื่อชายแดน หมู่บ้านกองผักปิ้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้ของเด็กๆ ในพื้นที่สีแดง ที่สนับสนุนให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงจากสภาพปัญหาในชุมชนและมีส่วนร่วมเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น เด็กที่นี่ ส่วนหนึ่งไม่จบ ป.6 ต้องออกจากโรงเรียนเพราะครอบครัวยากจน และถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและมีปัญหาพฤติกรรม ครูไมตรี จำเริญสุขสกุล ครูยุพิน ซาจ๊ะ ยังเห็นเด็กเหล่านี้อยู่ในสายตา เปิดบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ ดึงออกมาจากยาเสพติดและปัญหาครอบครัวที่รุมเร้า โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา และ กสศ. พาเด็กๆ กลับมาเรียนอีกครั้ง ผ่านห้องเรียนชีวิต สื่อชายแดน บ่มเพาะเป็นนักเล่าเรื่องสะท้อนภาพชุมชน และชีวิตของตัวเอง ให้เด็กๆ ผลิตสื่อ สอนถ่ายคลิป ตัดต่อ และต่อยอดมาเป็นรายได้ นำไปสู่การสร้างสื่อที่กินได้ในอนาคต
- ห้องเรียนทุ่งใหญ่ 1.3 ล้านไร่ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนสุวรรณสะเนพ่อง (วิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร) อิสรภาพในการเรียนรู้ของเด็กๆ พื้นที่ห่างไกล เช่น ลวดลายผ้าทอที่สะท้อนอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ หลักการย้อมสีจากธรรมชาติด้วยพืชและเปลือกไม้ในชุมชน สุขภาพและวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับการทอผ้า การคำนวณกับการทอผ้า เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม อัตราส่วนในน้ำผสมสมุนไพร แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง โภชนาการและสรรพคุณยาสมุนไพร หลักการสื่อสารเพื่ออธิบายท้องถิ่น ภูมิปัญญาในวรรณกรรมท้องถิ่นและเรื่องเล่าพื้นบ้าน โดยบูรณาการเนื้อหากับ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
นอกจากนี้ ผู้จัดการ กสศ.ระบุว่า ปัจจุบันนโยบายเรียนฟรี 15 ปียังไม่ครอบคลุมศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม ยังไม่ได้รับงบประมาณอุดหนุนรายหัว หรือสิทธิประโยชน์พื้นฐาน เช่น อาหารกลางวัน นม วัคซีน หรือการตรวจสุขภาพ กสศ.จึงเสนอให้มีการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกับโรงเรียนในระบบ รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วมสนับสนุนด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหมือนโรงเรียนอื่นๆ ปกติ เพื่อสามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของเด็กและเยาวชนที่ยังคงหลุดจากระบบการศึกษาเกือบล้านคนได้ เพราะนี่คือเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน สำหรับอนาคตของประเทศที่หายไป
ภาคเอกชน ท้องถิ่น หรือประชาชนทั่วไป สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนารูปแบบการศึกษายืดหยุ่น หรือเป็นอาสาสมัครในโครงการ “โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School” หรือสามารถร่วมบริจาคเพื่อสนับสนุน กสศ. โดยได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี 2 เท่า สามารถติดต่อได้ที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โทร. 0-2079-5475 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)