เพจดังแฉทุนเทาฝังรากลึกในปอยเปต-สีหนุวิลล์-อุดรมีชัย ภายใต้การอุปถัมภ์เป็นระบบจากรัฐบาลกัมพูชา โยงลูกพี่ลูกน้องฮุนมาเนต รมต.-คนในพรรค CPP แนะไทยอย่านิ่งเฉย ต้องตัดเน็ต ตัดไฟที่ส่งให้ทุนเทา ยกระดับเป็นประเด็นภัยความมั่นคงสากล เรียกร้องนานาชาติช่วยกดดัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียง “ผู้เฝ้าชายแดนให้ทุนมืด”
วันนี้ (8 มิ.ย.) เมื่อเวลา 10.51 น. ในเฟซบุ๊ก “ปราชญ์ สามสี” มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับกลุ่มทุนมิจฉาชีพหรือทุนสีเทาซึ่งเชื่อมโยงกับผู้นำรัฐบาลกัมพูชา มีรายละเอียดระบุว่า กัมพูชาในเงาทุนเทา : เมื่อรัฐกลายเป็นเจ้าบ้านของอาชญากรรมข้ามชาติ และไทยไม่ควรนิ่งเฉย
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชื่อของกัมพูชาเริ่มปรากฏขึ้นบ่อยครั้งในฐานะ “แหล่งหลอกลวง” ของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน การพนันออนไลน์ และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ล่าสุด รายงานจาก Humanity Research Consultancy ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า อุตสาหกรรมสีเทาเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ “พื้นที่อาชญากรรม” หากแต่มีลักษณะของการได้รับการอุปถัมภ์จากภาครัฐอย่างเป็นระบบ
โครงสร้างทุนเหล่านี้ฝังรากอยู่ในเมืองชายแดนอย่างปอยเปต สีหนุวิลล์ และอุดรมีชัย โดยมีบุคคลระดับสูงในรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวข้องโดยตรง เช่น ลูกพี่ลูกน้องของฮุน มาเนต ที่นั่งเป็นบอร์ดบริหารแพลตฟอร์มฟอกเงิน, รัฐมนตรีมหาดไทยที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมทุนกับกาสิโน รวมถึงมหาเศรษฐีสายการเมืองที่มีบทบาทในพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) หลายคน
ความน่ากังวลไม่ใช่แค่ในระดับภายในกัมพูชา แต่ยังขยายผลมาสู่ประเทศไทยโดยตรง เพราะโครงสร้างสีเทาเหล่านี้ พึ่งพาไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย ใช้แรงงานผ่านชายแดนไทย และในบางกรณียังใช้ไทยเป็น “ทางผ่าน” ของขบวนการฟอกเงินอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจมองปัญหานี้เป็นแค่ “เรื่องอาชญากรรม” แต่ควรถือเป็นปัญหาด้านความมั่นคงเชิงโครงสร้างที่กำลังบั่นทอนศีลธรรมทางการเมืองของภูมิภาคไปพร้อมกัน
ไทยจึงควรทบทวนบทบาทของตนในฐานะ “ผู้ส่งทรัพยากรให้ทุนเทา” อย่างจริงจัง การตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตไปยังพื้นที่เสี่ยงอาจเป็นเพียงมาตรการเบื้องต้น แต่ในภาพรวม ไทยควรใช้สถานะของตนในเวทีระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) หรืออาเซียน ในการยกประเด็นนี้ให้เป็นภัยต่อความมั่นคงสากล ไม่ต่างจากปัญหาค้ามนุษย์หรือยาเสพติด
หากไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ การเพิกเฉยของรัฐไทยอาจกลายเป็นการร่วมสร้างระบบที่เอื้อให้ทุนสีเทาแปรสภาพเป็นทุนการเมือง และท้ายที่สุด ไม่ว่าด่านจะเปิดหรือปิด ประเทศไทยก็อาจเป็นเพียง “ผู้เฝ้าชายแดนให้ทุนมืด” โดยไม่รู้ตัว”