xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึก “ฮุนเซน” ห้าวเป้ง! บุญคุณต่อทักษิณ-เงินทุนเทา-คิดว่าจีนหนุนหลัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะเบื้องลึก “ฮุนเซน” ห้าวเป้งกล้าเคลมดินแดนไทย อย่างแรกเพราะคิดว่าตัวเองมีบุญคุณกับ “ตระกูลชิน” รัฐบาลไทยก็ไม่กล้าหือ พร้อมมีแหล่งทุนซื้ออาวุธจากธุรกิจสีเทาที่มีอยู่เต็มประเทศ รวมทั้งคิดเอาเองว่าจีนจะหนุนหลัง ทั้งที่ความจริงแล้วไทยมีความสำคัญต่อจีนมากกว่า กัมพูชาเป็นเหมือนแค่ประเทศราช



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ปะทะขึ้นมาหลังจากเกิดเหตุปะทะกันที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่ามีสาเหตุมาจากการที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจรุกล้ำดินแดน โดยการเข้ามาขุดคูเรดแล้วยั่วยุให้ทหารไทยยิง หลังจากนั้นก็นำเรื่องไปฟ้องต่อศาลโลก โดยพ่วงเอาประเด็นของปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควายเข้าไปด้วย


ทั้งนี้ วิวาทะระหว่างเขมร-ไทยมีมายาวนานแล้ว สะท้อนปมในใจของชาวเขมรที่คิดว่า ตัวเองเคยเป็นอาณาจักรขอมที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่ “เสียม” หรือ “สยาม” ก็ต้องรับอารยธรรมขอม แต่ในระยะหลังการบูลลี่ระหว่างคนไทยกับเขมรหนักข้อมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เมื่อบรรดา “เกรียนเขมร” อ้างว่าวัฒนธรรมต่างๆ ของไทย ทั้งมวยไทย รำไทย ชุดไทย อาหารไทย มาจากเขมร จนชาวไทยตั้งสมญานามว่า “เคลมโบเดีย (Claimbodia)” ไม่ใช่ “แคมโบเดีย (Cambodia)”


แต่ครั้งนี้ นายฮุน เซน และลูกชายคือ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กิน “ดีหมีหัวใจเสือ” หรืออย่างไร ถึงได้กล้าท้าทาย เคลมดินแดนของประเทศไทย ทำตัวเป็น "พระยาละแวก" กลับชาติมาเกิด หรือว่า นายฮุน เซน รู้ดีว่า ตระกูล “ชินวัตร” ไม่กล้าหือ เพราะดองญาติกันแล้ว, มีผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นหนี้บุญคุณที่ช่วยเหลือ ให้ทั้งที่พักพิง และเป็นช่องทางลี้ภัยให้กับทั้งนายทักษิณ, นางสาวยิ่งลักษณ์ รวมถึงคนเสื้อแดงคนอื่นๆ


นอกจากนี้ บรรดาผู้นำกัมพูชายังคิดว่ากัมพูชาวันนี้เข้มแข็งกว่าเมื่อครั้งข้อพิพาทปราสาทพระวิหารเมื่อ 17 ปีที่แล้ว และลูกศร 3 ดอกที่นายฮุน เซน บอก คือ “ทหาร การทูต และกฎหมาย” จะปักทะลวงประเทศไทยได้

กัมพูชาใช้ “เงินเทา” สร้างกองทัพ

หลายคนคงสงสัยว่าถ้าหากไทยรบกับกัมพูชา ผลจะเป็นอย่างไร?

ถ้าหากดูจากศักยภาพของกองทัพแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์, กำลังพล และงบประมาณกลาโหม กองทัพไทยเหนือกว่ากัมพูชาอย่างชัดเจน
- กองทัพไทยมีจำนวนทหารกว่า 360,000 นาย / กัมพูชามีทหารราว 220,000 นาย
- ข้อมูลจาก Global Fire Power 2025 พบว่ากองทัพไทยอยู่ในอันดับ 25 ของโลก ส่วนกองทัพกัมพูชาอยู่ในอันดับ 95 ของโลก
- กองทัพไทยมีอาวุธที่ทันสมัย และหลากหลาย กว่ากองทัพกัมพูชา
- งบกลาโหมของประเทศไทยปี 2569 อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท โดยเป็นงบด้านการจัดซื้ออาวุธของ 3 เหล่าทัพราว 31,000 ล้านบาท ส่วนงบกลาโหมของกัมพูชา รวมทั้งหมดอยู่ที่ 740 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 24,000 ล้านบาท หรือ 1 ใน 10 ของไทยเท่านั้น


แต่ประเด็นที่น่าจับตาก็คือในช่วง 2-3 ปีมานี้ งบกลาโหมของกัมพูชาเพิ่มขึ้นมากถึง 20-30% และยังมี “งบพิเศษ” ที่ฮุนเซนประกาศอย่างภาคภูมิใจว่ากัมพูชาสั่งยานยนต์ทหารใหม่ 290 คัน โดยใช้เงินบริจาคจากเอกชน 20 ล้านดอลลาร์ ไม่ได้ใช้งบประมาณของประเทศเลย รวมถึงอีกหลายกรณีกัมพูชาอ้างว่าใช้เงินจากทั้งต่างประเทศ, เอกชน และสมาชิกพรรคประชาชนกัมพูชาจัดหามา ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ทำ

กัมพูชาได้กลายจากประเทศ “ลูกอีช่างขอ” คือ ขอบริจาคอาวุธเก่าๆ จากประเทศอื่น มาเป็นประเทศที่สั่งซื้ออาวุธอย่างมือเติบ สวนทางกับสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ยังปากกัดตีนถีบอยู่ จนประชาคมโลกจับตา และสงสัยว่า “เอาเงินมาจากไหน?”


บทความที่ชื่อว่า "ใครเป็นคนให้ทุนกองทัพกัมพูชา?" (Who actually funds the Cambodian military?) ในหนังสือพิมพ์ Asia Times ตั้งข้อสังเกตว่า เงินทุนด้านกลาโหมของกัมพูชาอาจจะเป็น “เงินสีเทา” จากแก๊งคอลเซนเตอร์ และขบวนการสแกมเมอร์

รายงานของสถาบันต่างชาติยังระบุว่า กัมพูชาเป็นศูนย์กลางของการฉ้อโกงข้ามชาติยุคใหม่ของโลกในปี 2568 การฉ้อโกงได้กลายมาเป็นอุตสาหกรรมในประเทศกัมพูชาที่ทำกำไรมหาศาล 12,500 ถึง 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (หรือราว 400,000 ล้าน ถึง 620,000 ล้านบาท) หรือเทียบเท่ากับ 40-50% ของ GDP (ปี 2566 ตัวเลข GDP ของกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 42,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 ล้านล้านบาท) และแซงหน้าอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา

เงินสีเทาเหล่านี้ถูกฟอกขาวโดยผ่านเครือข่ายกาสิโนที่มีอยู่ทั่วประเทศ เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ จนถึงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น โดยเฉพาะพวก "ที่ปรึกษาของผู้นำประเทศ" เป็นแกนหลักของขบวนการนี้


ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ ก็คือ เมืองสีหนุวิลล์ ที่ชื่อว่าเป็น “เมืองสแกมเมอร์” ซึ่งพอรัฐบาลจีนกดดันให้ปราบปราม ขบวนการหลอกลวงก็ย้ายฐานไปเมืองอื่นๆ ในกัมพูชา รวมถึงเมียนมา, ลาว ไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนอย่างสิ้นซาก


“บรรดาจีนเทาจำนวนมากต่างใช้พาสปอร์ตกัมพูชา และไทยเทาด้วย คนอย่างวัฒนา อัศวเหม ก็ใช้พาสปอร์ตกัมพูชา หลายๆ คน ทีมงานของทักษิณ ชินวัตร ที่หนีไปกัมพูชา ก็ได้พาสปอร์ตของกัมพูชา” นายสนธิ กล่าว

บรรดา “จีนเทา” จำนวนมากต่างใช้พาสปอร์ตกัมพูชาที่ได้มาจาก “โครงการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ” ที่ทำให้กัมพูชาเป็น สวรรค์ของอาชญากรข้ามชาติ อย่างเช่น นายเสอ จื้อเจียง บิ๊กบอสจีนเทา ผู้อยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดี ที่เพิ่งถูกกวาดล้างไป ก็ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยในตอนนี้ก็ได้สัญชาติกัมพูชา และพยายามล็อบบี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทางการไทยเนรเทศตัวเองไปยังกัมพูชา ไม่ให้กลับไปที่ประเทศจีน


นี่อาจจะเป็นสาเหตุ กัมพูชาไม่ยี่หระ ถึงแม้ว่าจะถูกนายโดนัลด์ ทรัมป์ เก็บภาษีตอบโต้สูงที่สุดในโลกถึง 49% อาจเป็นเพราะ "รายได้ที่แท้จริง" ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏในดุลการค้า แต่เป็น “เงินเทาๆ” ใช่หรือไม่?

อาชญากรรมข้ามชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐของกัมพูชา ไม่เพียงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงระดับโลก และอาจเป็นทุนรอนที่นำมาใช้ซื้ออาวุธ เพื่อนำมาเผชิญหน้ากับไทย

เขมรห้าวเป้ง คิดว่าจีนหนุนหลัง?

อีกสาเหตุหนึ่งที่กัมพูชาห้าวเป้งกับประเทศไทย ก็เพราะคิดว่ามีประเทศจีน ให้การหนุนหลังเต็มที่ ถึงขนาดที่มีการปั่นกระแส โดยใช้คำพูดของนายวังเหวินปิน ทูตจีนประจำพนมเปญ ที่กล่าวว่า “จีนสนับสนุนความชอบธรรมของกัมพูชาเสมอ และจะช่วยกัมพูชาต่อสู้กับภัยคุกคามภายนอก”


ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว คำพูดของทูตจีนดังกล่าวพูดตอนซ้อมรบร่วมกัน เป็นการพูดตามแบบแผน ไม่ได้พูดในบริบทกับประเทศไทย

ในอดีต นายฮุนเซน เอาชนะเขมรแดง ขึ้นปกครองกัมพูชาได้ ก็เพราะด้วยความช่วยเหลือของเวียดนาม แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมากัมพูชาหันไปรับใช้จีนอย่างเต็มตัว ตั้งแต่เป็นประธานอาเซียนเมื่อปี 2555 และ 2565 ที่กดดันไม่ให้นำเรื่องข้อพิพาทในทะเลจีนใต้เข้าหารือ จนที่ประชุมไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมกันได้

หลังจากนั้น กัมพูชาก็ได้รับการสนับสนุนจากจีนอย่างมากมาย ทั้งเงินช่วยเหลือ, การลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึง เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาฃด้มีการซ้อมรบร่วมกับกัมพูชาในชื่อ Golden Dragon 2025 ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ปีนี้เป็นการซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2559 โดยกัมพูชาได้ยกเลิกการฝึกซ้อมรบร่วมกับสหรัฐฯ ซึ่งมีชื่อว่า Angkor Sentinel ซึ่งจัดมานานถึง 7 ปีก่อนหน้านั้น


การซ้อมรบครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่กัมพูชาใช้ฐานทัพเรือเรียมเป็นสถานที่จัดการซ้อมรบ หลังจากฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน เพิ่งเข้าร่วมพิธีเปิดฐานทัพเรือแห่งนี้เมื่อวันที่ 5 เมษายน

ประเด็นคือ จีนให้ความสำคัญกับกัมพูชาอย่างมาก โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีน เดินทางเยือนกัมพูชาเป็นเวลา 2 วันในเดือนเมษายน และส่ง “บิ๊กเนม” อย่าง นายวัง เหวินปิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ มาเป็น ทูตกัมพูชา (ก่อนหน้านี้ ทูตกัมพูชามักจะเป็นทูตลาว หรือเวียดนาม วนกันมาเป็น) และจีนยังมีโครงการลงทุนในกัมพูชามากมาย ทั้ง คลองฟูนันเตโช, สนามบินเสียมราฐ-อังกอร์, ฐานทัพเรือเรียม เป็นต้น


แต่สิ่งที่จีนทำทั้งหมดเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ และไม่ได้หมายความว่าจีนจะหนุนหลังกัมพูชาในทุกเรื่อง

เพราะว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะในด้านภูมิรัฐศาสตร์, ขนาดเศรษฐกิจ, จำนวนประชากร, การค้าการลงทุน และผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน ประเทศไทยมีความสำคัญต่อจีนมากกว่ากัมพูชาอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสามารถที่จะรักษาสมดุลกับมหาอำนาจทุกขั้ว มีความเชื่อมโยงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ กับทั้งสหรัฐฯ ยุโรป จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น ไม่ได้เป็นเหมือนกับกัมพูชา ที่ถูกนานาชาติมองว่าเป็น “ประเทศราช” ของจีน

ดังนั้น สมเด็จฮุนเซน, นายกฯ ฮุน มาเนต จงอย่าทึกทักไปเองว่าจีนจะยืนข้างกัมพูชา ถ้าหากต้องเปิดศึกกับไทยจริงๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น