xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” เผยความจริง 195 กิโลเมตร ไทย-กัมพูชา ไม่ต้องปักปันใหม่อะไรทั้งสิ้นแล้ว ชี้แล้วเสร็จตั้งแต่รัชกาลที่ ๕

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เผยข้อมูลแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณสันปันน้ำเขาพนมดงรัก 195 กิโลเมตร ไม่จำเป็นต้องปักเขตแดนใหม่ อ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์และกฎหมายยืนยันแนวเขตชัดเจนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ พร้อมย้ำหากมีการรุกล้ำต้องผลักดันผู้รุกรานทันที ยันไม่มีพื้นที่ No Man’s Land มีแต่ Thailand เท่านั้น

วันนี้ (8 มิ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ระบุ ประเทศไทยและกัมพูชาได้มีการจัดทำหลักเขตแดนมีจำนวนทั้งสิ้น 73 หลักเสร็จสิ้นไปหมดแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยหลักเขตแดนที่ 1 ถูกจัดทำขึ้นที่ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจัดทำหลักเขตแดนอื่นๆ ตามลำดับไปใน “ทิศตะวันตก” จากช่องสะงำ จนไปสิ้นสุดหลักเขตที่ 73 ที่จังหวัดตราด ส่วน “ทิศตะวันออก” จากช่องสะงำ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นขอบหน้าผาพนมดงรักมีความยาว 195 กิโลเมตร "ไม่ต้องมีหลักเขตแดนใดๆเลย" เพราะมีขอบหน้าผาตามธรรมชาติเป็นสันปันน้ำตามธรรมชาติ จึงไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆ

ตัวอย่างหลักฐาน “ผลงาน” การเดินสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ได้แก่ เอกสารบันทึกการปาฐกถาของพันโท แบร์นาร์ด ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการปักปันผสมสยามกับฝรั่งเศสชุดแรก ที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 ซึ่งได้แสดงที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2450  ความตอนหนึ่งว่า:

“ทางเหนือยอดภูเขาดงรัก เป็นเส้นเขตแดนที่เห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง”

หลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง ปรากฏเป็นบันทึกรายงานของ พันเอก มองกิเอร์ ประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการปักปันผสมสยามกับฝรั่งเศส ชุดที่ 2 ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ได้ยืนยันตามผลงานการสำรวจและปักปันของคณะกรรมการชุดแรกว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำอย่างชัดเจนว่า:

“เส้นเขตแดนเดินไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ที่หน้าผาเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก”

นี่คือเหตุผลหลักในการตอบคำถามว่าทำไมคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส ชุดที่ 2 จึงเริ่มทำหลักเขตแดนทางบก “หมายเลข 1” ที่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันตก จดไปจนถึงจังหวัดตราดและตัวหลักเขตลำดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปทางทิศตะวันตก

โดยปล่อยทิ้งด้านทิศตะวันออกจนถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี ความยาวถึง 195 กิโลเมตรว่าไม่ต้องทำหลักเขตแดน เพราะสามารถเห็นหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากตีนภูเขาดงรัก

ดังนั้น จากช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันตกถึงช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี แผ่นดินเหนือสันปันน้ำคือแผ่นดินไทยทั้งหมด ไม่ต้องมีการปักปันใหม่ใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว

เช่นเดียวกับหลักเขตที่ 1 ถึงหลักเขตที่ 73 คณะกรรมการปักปันสยามกับฝรั่งเศส ก็ได้ “ปักปัน” เสร็จสิ้นไปหมดแล้วตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่วนที่สูญหายไปก็ให้จัดทำขึ้นมาทดแทนเท่านั้น รวมถึงปราสาทตามเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย อยู่หลังแนวสันปันน้ำฝั่งไทยเช่นเดียวกัน และควรจะนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของฝ่ายไทยโดยเร็ว

เมื่อมีการรุกล้ำราชอาณาจักรไทยแนวสันปันน้ำต้องผลักดันผู้รุกรานออกไปสถานเดียว ไม่มีคำว่า No Man’s Land มีแต่ Thailand

ดังประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักร ตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต"




กำลังโหลดความคิดเห็น