xs
xsm
sm
md
lg

ฝึกคิดด้วยตนเองก่อนใช้ AI

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บทความโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชาติณรงค์ วิสุตกุล
อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารการแสดงดิจิทัล
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์


ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง การเรียนรู้ของนักศึกษาจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ต้องค้นคว้า คิดวิเคราะห์ และสื่อสารเรียบเรียงความรู้ด้วยตนเอง กลายเป็นการพึ่งพาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว ง่ายและสะดวกสบาย แม้ในแง่หนึ่ง AI จะเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพ แต่ในอีกมุมหนึ่ง การใช้ AI อย่างไม่ระมัดระวังขาดการกลั่นกรอง หรือใช่อย่างพร่ำเพรื่อ อาจส่งผลให้ผู้เรียนขาดทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาทั้งในเชิงวิชาการและเชิงอาชีพ โดยเฉพาะทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การเขียน และการสื่อสารด้วยภาษาของตนเอง ซึ่งกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อเด็กและเยาวชนที่ต้องได้รับการฝึกฝน

จากประสบการณ์ของผู้เขียนในฐานะผู้สอนวิชาด้านการเขียน อาทิ ทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร , การเขียนบทละคร , การสื่อข่าวและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ฯลฯ พบว่า นักศึกษาในปัจจุบันมีความสามารถในการผลิตงานเขียนได้ดี รวดเร็ว และเป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนักศึกษาใช้อุปกรณ์ไอทีในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น โน๊ตบุ๊ก ไอแพด หรือแม้แต่สมาร์ตโฟน พวกเขาสามารถพิมพ์งาน เข้าถึงข้อมูล และแม้แต่ใช้แอปพลิเคชันอย่าง ChatGPT หรือแอปอื่น ๆ เพื่อให้ช่วยค้นหาข้อมูล จัดระเบียบโครงสร้าง และเรียบเรียงความคิดในแบบที่น่าอ่านได้อย่างรวดเร็วและดูดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนมาให้เขียนด้วยมือ ใช้กระดาษและปากกาโดยไม่ใช้อินเทอร์เน็ตหรือ AI ช่วย ผลที่ได้กลับแตกต่างอย่างน่าตกใจ นักศึกษาจำนวนมากไม่สามารถเขียนคำอธิบายหรือแสดงเหตุผลได้อย่างเป็นระบบ ขาดการเรียบเรียงถ้อยคำ ขาดตรรกะความคิด และไม่สามารถจัดลำดับสารของตนเองได้ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่สามารถเขียนเรียงความผ่านเกณฑ์ตามหัวข้อที่กำหนดได้ นับเป็นเรื่องที่น่าวิตกและน่าเป็นห่วงยิ่ง

เนื่องจากปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงนักศึกษาบางคนเท่านั้น หากแต่พบในนักศึกษาส่วนใหญ่ในทุกวิชาและทุกชั้นปีที่ผู้เขียนได้สอน สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการคิด วิเคราะห์และการเขียน (การสื่อสาร) ด้วยตนเองกำลังเสื่อมถอยลงอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เป็นเพราะคุ้นชินกับการใช้เครื่องมือช่วยคิดจนลืมไปว่า ตนเองควรเป็นผู้ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และควบคุมเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้ถูกเครื่องมือควบคุม หรือ ต้องพึ่งพาเครื่องมือมากจนเกินไป

การใช้ AI อย่างไม่มีวิจารณญาณ ทำให้การเรียนรู้กลายเป็นเพียงแค่การบริโภคคำตอบ แทนที่จะเป็นการสร้างความเข้าใจ นักศึกษาอาจได้คำตอบที่ดี ชิ้นงานที่สวยเป็นระเบียบเรียบร้อย และแม้กระทั่งได้คะแนนดีจากงานนั้น ๆ แต่บางคนกลับไม่สามารถอธิบายที่มาของแนวคิด หรือขยายความในสิ่งที่ตนเขียนได้ บางกรณีไม่รู้กระทั่งข้อมูลที่ค้นคว้ามาว่าหามาได้จากที่ไหน อย่างไร เพราะคำตอบที่ได้มานั้น มันได้มาอย่างง่ายดายเกินไป ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้เรียนซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน การจะเข้าใจหรือการที่จะสามารถมีทักษะในวิชาชีพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ จะต้องผ่านการค้นคว้า การคิดวิเคราะห์ การฝึกฝน การลองผิดลองถูกซ้ำไปซ้ำมา เพื่อก่อให้เกิดความชำนาญและมีทักษะของตนเองขึ้นมา และสมมุติว่า วันใดวันหนึ่งหากไม่มีตัวช่วย ไม่มี AI ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือ AI พัฒนาได้ก้าวหน้ากว่ามนุษย์ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวมีโอกาสเป็นไปได้มาก จะเกิดอะไรขึ้นกับนักศึกษาของเรา


“เป็นเพราะคุ้นชินกับการใช้เครื่องมือช่วยคิดจนลืมไปว่า ตนเองควรเป็นผู้ที่ต้องใช่ความคิดสร้างสรรค์และควบคุมเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้ถูกเครื่องมือควบคุม หรือ ต้องพึ่งพาเครื่องมือมากจนเกินไป”

วิธีการแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่การห้ามใช้งาน AI อย่างเด็ดขาด เพราะโลกปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องส่งเสริมคือ “การใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณ” และ “การฝึกคิดด้วยตนเองหรือการมีทักษะในวิชาชีพให้ได้ก่อนใช้ AI” ซึ่งมีข้อเสนอ ดังนี้

แนวทางแรกคือ การฝึกให้นักศึกษาเริ่มต้นคิดวิเคราะห์ก่อนใช้ AI เสมอ เช่น ให้เขียนโครงร่างความคิด หรือร่างย่อเบื้องต้นจากความรู้และประสบการณ์ของตนเองก่อน จึงจะอนุญาตให้ใช้ AI เป็นตัวช่วยเพื่อเสริมรายละเอียด วิธีนี้จะทำให้นักศึกษารู้ว่าตนรู้อะไร ไม่รู้อะไร และคำตอบที่ได้จาก AI มีอะไรบ้าง และมีอะไรที่ควรตั้งคำถามต่อได้บ้าง

แนวทางที่สองคือ การสอนให้นักศึกษาตั้งคำถามและตรวจสอบคำตอบจาก AI อย่างมีหลักเกณฑ์ เช่น เปรียบเทียบคำตอบจากแหล่งต่าง ๆ ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล และปรับคำตอบให้เข้ากับบริบทของสังคมหรือหัวข้อที่กำลังศึกษาอยู่ วิธีนี้จะทำให้นักศึกษาพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และไม่หลงเชื่อคำตอบสำเร็จรูปโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง

แนวทางที่สามคือ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์มากกว่าต้องการผลลัพธ์หรือคำตอบ เช่น การให้คะแนนจากโครงร่างความคิด บันทึกแนวทางการใช้ AI ว่านักศึกษาได้เรียนรู้อะไรจากการใช้ AI ทั้งด้านเนื้อหาและวิธีคิด วิธีนี้จะทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ผ่านกระบวนการ และไม่ยึดติดเพียงกับผลลัพธ์ที่สวยงาม

และแนวทางที่สี่คือ ฝึกการทำงานโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ IT ไม่มีอินเทอร์เน็ตในบางโอกาสหรือสลับกันไป เพื่อให้นักศึกษาได้พบเจอกับสถานการณ์ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นในชีวิตจริง โดยสามารถคิดวิเคราะห์หรือมีทักษะในการแก้ปัญหาได้หากไม่มีอุปกรณ์ IT หรือ อินเทอร์เน็ต

ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่เพียงการสร้างนักศึกษาที่สามารถผลิตผลงานได้เร็วและสวยงามเท่านั้น แต่ในฐานะผู้สอนต้องสร้างผู้เรียนที่สามารถคิด วิเคราะห์ และสื่อสารได้อย่างมีความเข้าใจ ด้วยภาษาและวิธีคิดของตนเอง AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยหรือเสริมศักยภาพเท่านั้น ไม่ใช่เครื่องมือที่ขาดไม่ได้หรือต้องพึ่งพาจนบดบังความสามารถของมนุษย์ การฝึกคิดด้วยตนเองก่อนใช้ AI จึงเป็นรากฐานของการเรียนรู้ที่ยั่งยืน และเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่


กำลังโหลดความคิดเห็น