อดีตทหารเกษียณราชการออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ชวนคนไทยคิดใหม่เรื่อง "รักชาติแบบไหนที่ไม่ต้องทำสงคราม" โดยชี้ว่าการใช้กำลังทางทหารเพื่อผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาทอาจทำให้ไทยถูกมองเป็น "ผู้เริ่มใช้ความรุนแรง" ในเวทีโลก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่น และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตของกำลังพลโดยไม่จำเป็น หวังให้รัฐบาลแสดงท่าทีที่มั่นใจ ชัดเจน และเป็นมืออาชีพในการแก้ปัญหา เพื่อชนะสงครามด้วยการทูต ไม่ใช่ด้วยอาวุธ
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Thai Na” อดีตทหารเกษียณอายุราชการ ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในประเด็นรักชาติแบบไหนที่ไม่จำเป็นต้องทำสงคราม โดยเจ้าตัวได้ระบุว่า
"ทหารเก่าอย่างผมขอแสดงความคิดเห็นบ้างครับ ผมเองเป็นทหารตั้งแต่อายุ 16 เคยเขียนลงในเฟซบุ๊กให้อ่านกันด้วยว่า ทำไมเป็นทหาร แล้วก็รับราชการมาจนเกษียณอายุเมื่อ 30 กันยายน 2567 แน่นอนครับ เรื่องของความรักชาติผมมั่นใจว่าไม่เป็นรองใครในแพลตฟอร์มโซเชียลแน่นอน
แต่วันนี้อยากจะให้ข้อคิดว่า 🇹🇭 รักชาติแบบไหน… ที่ไม่จำเป็นต้องทำสงคราม
ในเวลาที่คนจำนวนไม่น้อยเรียกร้องให้ไทยใช้กำลังผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่ขัดแย้ง
ผมอยากชวนให้คิดอีกมุมว่า…
รักชาติจริงๆ มันจำเป็นต้องใช้กำลังรบหรือ?
เพราะถ้าไทยเริ่มใช้กำลัง
แม้จะอ้างว่า “เพื่อปกป้องแผ่นดิน”
แต่เวทีโลกจะมองไทยเป็น “ผู้เริ่มใช้ความรุนแรง” ทันที
ผลลัพธ์ที่น่าจะตามมาก็คือ…
อาเซียนจะไม่เข้าข้าง
สหประชาชาติ (UN) อาจออกมติประณาม
สหภาพยุโรป (EU) และประเทศต่างๆ อาจมองไทยเป็นประเทศก้าวร้าว
ความเชื่อมั่นในเวทีโลกที่สะสมมานาน… พังทลาย
เราจะเสียมากกว่าที่คิด
โดยเฉพาะชีวิตของลูกหลานที่ต้องตายในสนามรบ
ขณะที่คนปลุกกระแส… นั่งสะใจอยู่หน้าจอโทรศัพท์ คนที่หวังผลทางการเมืองนั่งยิ้มกริ่ม เอ็งพังแล้วข้าเกิดแน่..
เราทุกคนเห็นเหมือนกันว่า…สงครามทุกสงครามจบลงด้วยการเจรจา ยกเว้นสงครามที่จบลงด้วยการยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข หรือการทำลายล้างระบอบศัตรูอย่างสิ้นเชิง แบบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นไปได้ยากมากในทางปฏิบัติ และแทบจะไม่เกิดขึ้นแล้วในโลกปัจจุบัน เพราะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ คอยกำกับให้สงครามเป็น “มาตรการสุดท้าย” และอยู่ภายใต้กรอบที่มีเหตุผล
ดังนั้น สิ่งที่ประเทศชาติต้องการในยามนี้ ไม่น่าใช่การบดขยี้กำลังทหารของฝ่ายตรงข้ามด้วยแสนยานุภาพอันเหนือกว่า ด้วยเสียงปืนใหญ่ที่ดังต่อเนื่อง หรือเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มของเครื่องบินรบที่ติดระเบิดไปโจมตีเป้าหมายทางทหารในดินแดนคู่ขัดแย้ง
หากแต่เป็นผู้นำรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ สามารถวางแผนการเจรจาทางการทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายของประเทศชาติ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อหรือทรัพยากรแม้แต่น้อย
และผมก็ยังบังอาจเชื่ออีกว่า…ยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ปรารถนาจะเห็นประเทศของเรายืนหยัดอย่างสง่างามบนเวทีโลก ด้วยสติปัญญาและศักยภาพทางการทูต ไม่ใช่ด้วยอำนาจการยิง!
จงอย่ากลัวที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง และอย่าหวั่นไหวกับคำว่า “ไม่รักชาติ” เพราะการรักชาติที่แท้จริงคือการกล้าคิด กล้าพูด และกล้าที่จะตักเตือนกันด้วยเหตุผล ก่อนที่ปัญหาจะบานปลายจนเกินแก้ไข
ในวัย 61 ปี เป็นทหารที่รับใช้ชาติมาตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ผมปรารถนาที่จะรักชาติในแนวทางที่ทุกชีวิตปลอดภัย โต๊ะเจรจาทางการทูตไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ หากแต่เป็นการแสดงออกถึงวุฒิภาวะและความเข้มแข็งทางสติปัญญา
แต่ครับแต่ ผมก็มีคำขอร้องต่อรัฐบาลที่พวกกระผมฯ และเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนไม่ได้กาคะแนนให้ท่าน คืออยากจะบอกว่า พวกเราประชาชนพร้อมสนับสนุนการเจรจา แล้วชนะสงครามด้วยการทูต แต่สิ่งที่เรายังไม่เห็นเลย คือท่าทีที่มั่นใจ ชัดเจน และเป็นมืออาชีพของรัฐ ขอร้องว่าช่วยทำสิ่งนี้ให้พวกเรามั่นใจได้มั้ย
ผมขัดใจทีมงานโฆษกของท่านมาก สื่อสารกับประชาชนก็ช้าไม่ทันอาการ สื่อสารแต่ละครั้ง เหมือนคนที่เพิ่งอ่านสรุปมาแค่ครึ่งหน้า
ถ้าอยากให้คนทั้งประเทศเชื่อมั่น ช่วยเลิกพูดแบบคนกำลังหลบในปี๊บ แล้วออกมานำหน้าประชาชน ประเทศนี้ต้องการคนที่นำด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่ตำแหน่งและอำนาจ"
ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก มียอดแชร์โพสต์ไปกว่า 6.7 พันครั้งแล้ว