โดย ภาสกร เรืองยศไกร นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม
ในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ คงต้องยอมรับความจริงที่น่ากังวลใจว่าประเทศไทยและโลกของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงและซับซ้อนกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในแม่น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางทะเล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลพวงจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ละเลยและทำลายธรรมชาติมาอย่างยาวนาน ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องตระหนักและลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง
แม่น้ำกก: สายน้ำที่เคยใสสะอาด กลับกลายเป็นแหล่งพิษ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการตรวจพบสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ในระดับที่เกินมาตรฐานความปลอดภัยหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณอำเภอแม่อายและอำเภอเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์น้ำ และสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงการบริโภคปลาจากแม่น้ำนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ
สาเหตุหลักของการปนเปื้อนนี้มาจากกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นตัวอย่างของมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมใดๆ ออกมา
โลกร้อน: ภัยเงียบที่ทำลายระบบนิเวศและชีวิตสัตว์น้ำ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้อุณหภูมิน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำและระบบนิเวศโดยรวม อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้สัตว์น้ำอ่อนแอ ต้านทานโรคและมลพิษได้น้อยลง และอาจนำไปสู่การตายก่อนวัยอันควร
นอกจากนี้ อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังส่งผลให้เกิดปะการังฟอกขาวและลดปริมาณออกซิเจนในน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัตว์น้ำชายฝั่งลดลง
ทะเลมืดลง: สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ
ดร.โทมัส เดวีส์ (Thomas Davies) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการอนุรักษ์ทางทะเลที่มหาวิทยาลัยพลีมัธ ประเทศอังกฤษ เผยผลการวิจัยใหม่ให้เห็นว่ามหาสมุทรมากกว่า 20% ของโลก กำลังมืดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 75 ล้านตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับพื้นที่แผ่นดินของยุโรป แอฟริกา จีน และสหรัฐอเมริการวมกัน
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการที่แสงแดดทะลุผ่านชั้นบนของน้ำทะเลได้น้อยลง ส่งผลให้ "โฟติกโซน" หรือชั้นน้ำที่มีแสงสว่าง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำกว่า 90% ลดความลึกลงถึง 50-100 เมตรในบางพื้นที่
สาเหตุของการมืดลงของทะเลมีหลายปัจจัย เช่น การไหลบ่าของสารอาหารและตะกอนจากกิจกรรมเกษตรกรรม การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของชุมชนแพลงก์ตอน
ผลกระทบของปรากฏการณ์นี้คือการลดลงของพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อาหาร และการลดลงของความสามารถของมหาสมุทรในการผลิตออกซิเจนและดูดซับคาร์บอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและสภาพภูมิอากาศของโลก
ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
โลกเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ การแก้ไขต้องโฟกัสให้ถูกจุด และเท่าที่เห็นสรรพสัตว์ล้วนมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอด มนุษย์ก็เช่นกัน ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ปรับปรุงวิถีดำเนินชีวิต อย่างไรก็ตาม วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขได้โดยการรอคอยหรือฝากความหวังไว้กับใคร แต่เหนืออื่นใดคือต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงก่อน โดยทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากเรื่องใกล้ตัว เช่น การลดการใช้พลาสติก หันมาใช้พลังงานสะอาด และสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากนี้ ภาครัฐควรมีนโยบายที่เข้มงวดในการควบคุมมลพิษ และรณรงค์ส่งเสริมการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม และตระหนักไปพร้อมกันว่าธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้งแล้ว ถึงเวลาที่มนุษย์ต้องฟังและลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง ก่อนที่ความเสียหายจะลุกลามจนไม่อาจย้อนกลับได้ ... นี่มันถึงเวลาร่วมมือสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปอย่างจริงจังกันแล้วครับ