xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโปง! ทำไม “เขมร” ถึงไม่กลัว “ไทย” แท้จริงแล้วถูก “นักการเมืองไทย” ผูกมัดด้วย “ผลประโยชน์” สั่นคลอนอธิปไตยชาติ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



MGROnline - เจาะลึกถึงเบื้องหลังความกล้าได้กล้าเสียของกัมพูชา ที่ดูเหมือนไม่เกรงใจประเทศไทย ต่างจากท่าทีหวาดระแวงต่อเวียดนาม ความจริงอันน่าตกใจเผยให้เห็นว่า แก่นแท้ของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งทางทหาร แต่เป็นการผูกมัดด้วย "ผลประโยชน์ร่วม" ระหว่างผู้นำเขมรกับนักการเมืองและนายทหารระดับสูงของไทย ชนิดที่เรียกได้ว่า “ร่วมกิน แบ่งปัน” ทั้งในด้านธุรกิจพลังงานพื้นที่ทับซ้อน ไปจนถึงเส้นทางค้าขายข้ามแดนทั้งถูกและผิดกฎหมาย จนเกิดข้อครหาถึงการ "สมยอม" ที่อาจส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติ!

จากข้อมูลเชิงลึกที่ถูกเปิดเผยออกมา พบว่าสาเหตุที่กัมพูชามีท่าที "ตีสนิท" และไม่เกรงกลัวประเทศไทยนั้น มีรากฐานมาจากผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่โยงใยกับบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ตระกูลชินวัตร" และ "กลุ่มบูรพาพยัคฆ์" ที่มีอำนาจคุมกองทัพและชายแดน

“ทักษิณ-ฮุนเซน” เส้นสายธุรกิจพลังงานพันล้าน

ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กับผู้นำกัมพูชา สมเด็จฮุนเซน ถูกระบุว่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องส่วนตัว แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาล โดยเฉพาะในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่อุดมไปด้วยทรัพยากรพลังงาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างต้องการที่จะ "พัฒนาร่วมกัน" และ "แบ่งปันผลประโยชน์" กันอย่างเท่าเทียม!

สายสัมพันธ์นี้ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อหลานสาวของทักษิณ ซึ่งเป็นลูกสาวของเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้เข้าพิธีสมรสกับนักการเมืองกัมพูชาที่มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับฮุนเซน ซ้ำยังมีการเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย ทั้งการที่ฮุนเซนไปเยี่ยมทักษิณหลังพ้นโทษ หรือการที่ทักษิณไปร่วมงานวันเกิดฮุนเซน สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกเกินกว่าที่สาธารณะจะรับรู้ได้

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทย มักจะตามมาด้วยข้อเสนอให้ "เจรจา" ภายใต้ MOU ที่มีอยู่ ราวกับว่ามีการ "วางแผน" กันไว้ล่วงหน้าเพื่อแบ่งปันเค้กผลประโยชน์ก้อนโต!

"บูรพาพยัคฆ์" กับเส้นสายชายแดน...อะไรที่มากกว่า "ความมั่นคง"

ไม่เพียงแค่ตระกูลชินวัตร แต่กัมพูชายังถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกับบุคคลสำคัญอื่นๆ ของไทย โดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ "กลุ่มบูรพาพยัคฆ์" ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลชายแดนด้านตะวันออกติดกับกัมพูชา

ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า กลุ่มบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมพื้นที่ชายแดน มีการจัดวางระบบการค้าข้ามพรมแดนมายาวนาน ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย โดยนัยยะคือ "ความเข้าใจ" ระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย! ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างอดีตผู้บัญชาการบูรพาพยัคฆ์อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับกัมพูชา จึงเป็นข้อสงสัยที่ไม่อาจมองข้ามได้

กรณีของ วีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวชาวไทยที่เคยถูกจำคุกในกัมพูชา ยิ่งตอกย้ำข้อกังขา ผู้พูดกล่าวหาว่ามีนายทหารระดับสูงของไทยแจ้งทหารกัมพูชาให้จับกุมวีระ เพื่อให้เขา "สารภาพ" ว่าบุกรุก! แม้ภายหลังวีระจะได้รับการปล่อยตัวในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ แต่ก็ยังคงความขุ่นเคืองที่ถูก "ส่งตัว" เข้าคุกเขมรโดยผู้มีอิทธิพลไทย ซึ่งกรณีนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการส่งตัวนักแสดงหญิงชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับจีนอย่างรวดเร็ว ชี้ให้เห็นว่าการประสานงานข้ามพรมแดนเช่นนี้ "ต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐไทยเข้ามาเกี่ยวข้อง" อย่างแน่นอน!

น่าแปลกที่ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ การรุกล้ำของกัมพูชากลับลดลง ซึ่งไม่ได้หมายความว่ากัมพูชาไม่อยากได้พื้นที่พิพาทแล้ว แต่เป็นเพราะ "รัฐบาลทหาร" ย่อมมีข้อจำกัดและอาจเสียหายต่อชื่อเสียง หากดำเนินธุรกิจ "สีเทา" ดังเช่นที่เคยเป็นมา!

คำถามทิ้งท้าย: ทำไมเขมร "ไม่กล้า" แตะเวียดนาม

ผู้พูดได้ท้าทายให้สังคมลองพิจารณาว่า หากกัมพูชารุกล้ำดินแดนเวียดนามเหมือนที่ทำกับไทย เวียดนามจะตอบโต้อย่างรุนแรงหรือไม่? คำตอบที่ได้คือ "แน่นอน" เพราะเวียดนามไม่มี "ผลประโยชน์" ที่โยงใยกับกัมพูชาเหมือนอย่างที่นักการเมืองและนายทหารไทยมี!

สรุปได้ว่า ความกล้าได้กล้าเสียของกัมพูชาที่มีต่อประเทศไทยนั้น ไม่ใช่เรื่องของความแข็งแกร่งทางทหาร แต่เป็นเรื่องของ "ผลประโยชน์ซับซ้อน" ที่พันธนาการระหว่างผู้นำเขมรกับบุคคลสำคัญทางการเมืองและการทหารของไทย ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยต้อง "เสียดินแดน" หรือ "เสียผลประโยชน์" โดยไม่รู้ตัว! นี่คือสิ่งที่คนไทยต้องตระหนักและตั้งคำถามอย่างจริงจัง!




กำลังโหลดความคิดเห็น