เพจดังอธิบายการขึ้นศาลโลกต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสอง ขณะที่ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่จบคดีปราสาทพระวิหารแล้ว ถ้าเขมรเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม JBC ไทยแค่แจ้งว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก เท่านี้ก็จบ พร้อมบอกเหตุผล มี MOU 43 เป็นกลไกปักปันเขตแดนอยู่แล้ว และยังทำงานได้ถ้ากัมพูชาเคารพกลไกที่ตนเองลงนามไว้
จากกรณีที่รัฐบาลกัมพูชาเตรียมนำกรณีพิพาทเขตแดนกับไทยบริเวณช่องบก (สามเหลี่ยมมรกต) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น ล่าสุดเพจ “thaiarmedforce.com” ได้อธิบายเรื่องดังกล่าวว่า ไทยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องศาลโลกใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมระบุว่า ไม่ว่ากัมพูชาจะพูดอย่างไร จะบอกว่าจะฟ้องศาลโลกบ้าง บอกว่าจะนำเรื่องเข้า JBC เพื่อเข้าสู่ศาลโลกบ้าง บอกว่าจะทำโน่นทำนี่เพื่อฟ้องคดีในศาลโลก ทุกอย่าง "ไม่มีผลใดๆ ต่อไทย" ถ้า "ไทยไม่ยินยอม"
แม้มาตรา 93 ของกฎบัตรสหประชาชาติจะระบุว่าสมาชิกสหประชาชาติทุกประเทศเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศต้องขึ้นศาลโลกถ้ามีใครนำคดีไปฟ้อง เพราะการจะขึ้นศาลโลกได้มีหลายวิธี คือ
1. ต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสอง (Consent-based Jurisdiction)
หมายถึงทั้งสองฝ่ายยินยอมที่จะนำคดีใดคดีหนึ่งเข้าสู่ศาลโลก ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งในกรณีนี้ถ้าไทยไม่ยินยอมก็ไม่สามารถพิจารณาคดีได้
2. การประกาศยอมรับอำนาจศาลผ่านมาตรา 36 วงเล็บ 2 ของธรรมนูญศาลโลก
ซึ่งระบุว่าสมาชิกของธรรมนูญศาลโลก (หมายถึงทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติและอื่นๆ ที่เลือกยอมรับศาลโลก) สามารถประกาศการยอมรับอำนาจศาลภาคบังคับได้ ซึ่งมีบางประเทศก็เลือกประกาศยอมรับอำนาจศาลภาคบังคับ ซึ่งไทยถอนคำยินยอมออกไปแล้วหลังคดีปราสาทพระวิหาร
3. การยอมรับอำนาจศาลแบบจำกัด
โดยประเทศต่างๆ สามารถยอมรับอำนาจศาลแบบจำกัดเฉพาะบางคดีหรือบางเรื่องได้ ซึ่งแล้วแต่แต่ละประเทศจะพิจารณา แต่ไทยไม่ได้ยอมรับเลยสักเรื่อง
4. การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะคดี
ประเทศต่างๆ สามารถเลือกเฉพาะบางคดีหรือข้อขัดแย้ง และยอมรับอำนาจศาลโลกเพื่อให้ศาลโลกมีอำนาจตัดสินเฉพาะคดีนั้นๆ ไม่เกี่ยวกับคดีอื่นได้ ซึ่งหลังคดีปราสาทพระวิหารไทยก็ไม่ได้ยอมรับเลยสักคดี
5. การขึ้นศาลโลกตามที่สนธิสัญญาระหว่างประเทศกำหนด
ซึ่งสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายสนธิสัญญาจะมีข้อกำหนดว่าถ้ามีความขัดแย้งให้นำความขัดแย้งนั้นขึ้นไปสู่ศาลโลกเพื่อตัดสิน สนธิสัญญาเหล่านั้นก็เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามความผิดต่อความปลอดภัยของอากาศยาน อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ ซึ่งถ้าไทยเป็นรัฐภาคีหรือให้สัตยาบันในสนธิสัญญาใดก็ต้องขึ้นศาลโลกแค่เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับสนธิสัญญานั้น ยกเว้นไทยตั้งข้อสงวนเอาไว้
-----------------
ทั้งนี้ พิจารณาจากท่าทีของไทยหลังกรณีปราสาทพระวิหาร ไทยไม่เคยมีท่าทียอมรับหรือต้องการรับอำนาจของศาลโลกไม่ว่ากรณีใดๆ ตรงนี้สืบค้นได้จากมติคณะรัฐมนตรีของไทยที่เวลาที่เข้าเป็นรัฐภาคีในสนธิสัญญาระหว่างประเทศใด มักจะกำหนดและตั้งข้อสงวนในการไม่รับอำนาจของศาลโลกทุกครั้ง เช่น
1. การเป็นภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กำหนดเมื่อปี 2558 ว่าให้จัดทำข้อสงวนว่าไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
2. การเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้กำหนดเมื่อปี 2561 ว่าไทยจะไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
3. การเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ซึ่งนำมาสู่การออก พ.ร.บ.อุ้มหายที่สามารถลงโทษทหารเกณฑ์ที่ถูกซ้อมจนตายได้แล้วเป็นคดีแรก แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังมีมติเมื่อปี 2567 ซึ่งวางหลักไว้ว่าให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ
คิดดูว่าแค่การเป็นภาคีของสนธิสัญญาระหว่างประเทศเฉพาะเรื่อง ไทยยังตั้งข้อสงวนทุกครั้งที่จะไม่ยอมขึ้นศาลโลก ซึ่งแปลว่าไทย "เข็ด" แล้วกับการต้องไปศาลโลก
อนึ่ง กรณีปราสาทพระวิหารนั้นต่างออกไป เพราะไทยยอมรับอำนาจศาลโลกแล้วในคดีนั้น และเมื่อคดีตัดสินแล้ว คำพิพาษามีผลต่อเนื่อง ดังนั้นในปี 2554 ที่กัมพูชายื่นตีความคำพิพากษาในคดีเก่านี้ ไทยจึงจำเป็นต้องไปขึ้นศาลโลก เพราะถ้าไทยไม่ไปขึ้นศาลโลก ศาลอาจพิจารณาความจากกัมพูชาเพียงฝั่งเดียวได้ และในอนาคตถ้ามีการยื่นตีความในคดีนี้อีก ไทยก็ควรต้องไปขึ้นศาลอีกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน แต่เป็นเฉพาะกรณีคดีนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคดีอื่นใด
ดังนั้นกล่าวโดยสรุปคือ การประกาศของใครในกัมพูชาว่าจะฟ้องศาลโลกหรืออะไรพวกนี้ "เป็นสิ่งที่ไทยไม่ต้องสนใจ" เพราะกัมพูชาไม่มีอำนาจพาไทยขึ้นสู่ศาลโลกถ้าไทยไม่ยอม ซึ่งที่ผ่านมา ไม่มีหลักฐานใด ๆ โดยสิ้นเชิงว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานใดของไทยจะยอมให้มีคดีไหนขึ้นสู่ศาลโลก
ดังนั้นในกรณีนี้ เมื่อเข้าสู่การประชุม JBC ไทยก็แค่แจ้งในที่ประชุมและบันทึกในรายงานการประชุมว่า "ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลในกรณีนี้และกรณีไหน" เท่านี้ก็จบแล้ว
ถ้าจะให้เหตุผลก็คือ การมีอยู่ของ #MOU43 ได้กำหนดกลไกในการปักปันและแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาไว้อยู่แล้ว และกลไกนั้นยังทำงานได้ถ้าเพียงแต่กัมพูชาเคารพกลไกที่ตนเองลงนามไว้เอง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องไปพึ่งกลไกอื่นเช่นศาลโลก
ส่วนถ้านักการเมืองกัมพูชาจะโพสต์โวยวายอะไร ก็ปล่อยเขาไป เพราะการโพสต์ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่มีผลใด ๆ ทางกฎหมายทั้งสิ้นครับ