สมสมัย หาญเมืองบน นักวิชาการอิสระ
ประเทศไทยควรเลิกมอง “ปลาหมอสีคางดำ” (Sarotherodon melanotheron) เพียงแค่ “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน” แล้วหันมาเรียนรู้จากฟิลิปปินส์ ซึ่งเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยแนวทางการจัดการที่สมดุลระหว่างการควบคุมและการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ประเทศไทยยังคงใช้วาทกรรมแบบเดิมในการแก้ปัญหา ไม่สร้างทางเลือกในการอยู่ร่วม ฟิลิปปินส์กลับเลือกที่จะสอนเกษตรกรให้ใช้ปลาหมอคางดำเป็นอาหารมีชีวิตสำหรับปลากะพงขาวและสัตว์น้ำกินเนื้ออื่น ๆ พร้อมทั้งพัฒนาแนวทางการจัดการบ่อเพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืน นี่คือเวลาที่ประเทศไทยควรเปลี่ยนกรอบความคิดจากการปฏิเสธ มาเป็นการปรับตัว และจัดการอย่างมีระบบ เพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดค่าสูงสุด แทนที่จะผลักไสให้เป็นเพียง 'ศัตรู' ในน้ำตลอดไป
อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่พบการแพร่กระจายของปลาชนิดนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเป็นแนวทางสำคัญที่เกษตรกรไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่ออยู่ร่วมกับ “ผู้บุกรุก” ใต้ผิวน้ำนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
กรณีศึกษาจากฟิลิปปินส์ชี้ให้เห็นว่า ปลาหมอคางดำถูกพบครั้งแรกในจังหวัดรอบอ่าวมะนิลา โดยไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำเข้าสายพันธุ์นี้ อย่างไรก็ตาม มันได้แพร่กระจายจากแหล่งน้ำชายฝั่งในจังหวัดบาตาอาน (Bataan) ไปยังพื้นที่ตอนเหนือ เช่น จังหวัดปางกาซินัน (Pangasinan) และปัจจุบันพบแล้วในพื้นที่ตอนเหนือสุดของประเทศ
ปลาชนิดนี้มีอัตราการแพร่พันธุ์สูงและสามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีความเค็มได้ถึง 45 ppt ซึ่งถือว่าสูงกว่าความสามารถในการปรับตัวของปลานิลพื้นถิ่นทั่วไป ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ปลาหมอคางดำกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากังวลของปลานวลจันทร์ทะเล และยังลดประสิทธิภาพการเลี้ยงปลาเชิงเศรษฐกิจในพื้นที่หลายแห่ง
แม้ว่าปลาหมอคางดำจะถูกมองว่าเป็นศัตรูในระบบเพาะเลี้ยงปลา แต่หน่วยงานวิจัยในฟิลิปปินส์กลับใช้วิธีพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้อย่างสร้างสรรค์ เช่น การนำมาใช้เป็น อาหารมีชีวิตสำหรับปลากะพงขาว ปลากุดสลาด และปลากินเนื้ออื่นๆ ซึ่งให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและสามารถสร้างรายได้กลับคืนได้ในระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการดำเนินโครงการปล่อยปลากะพงขาวหลายพันตัวลงในแม่น้ำที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ปลากะพงทำหน้าที่ควบคุมประชากรปลาหมอคางดำตามธรรมชาติ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากชุมชน โดยยังสามารถจับปลากะพงขาวขนาดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ประเทศไทยในฐานะประเทศเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชั้นนำของภูมิภาค ควรเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ โดยเน้น การป้องกัน ควบคุม และใช้ประโยชน์ด้วย ตามแนวทางดังนี้ คือ 1. การเตรียมบ่ออย่างถูกวิธี ใช้วิธีการกำจัดสัตว์น้ำตกค้างในบ่อก่อนเริ่มรอบการเลี้ยง โดยใช้วิธี “ใช้สารพิษอินทรีย์” (organic poisoning) ที่มีความปลอดภัย เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมในบ่อ และไม่จำเป็นต้องระบายน้ำออก เพราะความเป็นพิษจะสลายตัวภายใน 3–4 วัน 2. ตากบ่อให้แห้งสนิทก่อนเริ่มเลี้ยงใหม่ ใช้ตาข่ายละเอียดปิดช่องน้ำเข้า-ออก เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำเล็ดลอดเข้าสู่ระบบการเลี้ยง
3. การใช้ประโยชน์จากปลาที่จับได้ แทนที่จะทิ้งหรือนำไปขายในราคาต่ำ สามารถใช้เป็นอาหารมีชีวิตสำหรับปลากะพงขาวหรือสัตว์น้ำกินเนื้ออื่น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าอาหาร และเพิ่มคุณภาพของปลาที่เพาะเลี้ยง 4. สนับสนุนให้มีการวิจัยการใช้ปลาหมอคางดำเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์น้ำในระดับอุตสาหกรรม และ 5. การสร้างความรู้ในชุมชน รณรงค์ให้เกษตรกรเข้าใจธรรมชาติของปลาหมอคางดำ และปรับเปลี่ยนทัศนคติจาก “ศัตรู” เป็น “ทรัพยากรที่ต้องจัดการอย่างเหมาะสม” ตลอดจนจัดเวิร์กช็อปอบรมวิธีเตรียมบ่อและการบริหารจัดการแบบบูรณาการ
การระบาดของปลาหมอคางดำอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายความท้าทายที่เกษตรกรไทยต้องเผชิญในยุคที่ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากเรามองอย่างรอบด้าน และเปิดใจรับบทเรียนจากต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ก็จะพบว่า เราสามารถอยู่ร่วมกับสัตว์น้ำที่ไม่ใช่ชนิดพื้นถิ่นได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอย่างเป็นระบบ หรือการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด “ปลาหมอคางดำ” อาจไม่ใช่ศัตรูของเกษตรกรเสมอไป หากเรารู้จักใช้มันให้เป็น