เจาะยุทธการฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. เมื่อ “ภูมิใจไทย” สบช่อง เนื่องจากมีคนใกล้ชิดอยู่ใน กกต.รู้กลไกการเลือกตั้ง ส.ว.ใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างดี จึงเดินแผนกินรวบสภาสูง ตั้งงบไว้ 500-600 ล้าน ใช้วิธีการทั้งกวาดต้อน หว่านล้อม ล่อลวง เพื่อให้มีคนมาสมัครจำนวนมากราว 1 หมื่นคน จนงบบานปลายถึง 1,000 ล้าน แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะได้มาเกินเป้าจาก 120 เป็น 130 กว่าที่นั่ง ซึ่งแต่ละคนจะได้รับการดูแลรายเดือน แต่ต้องเข้าประชุมรับนโยบายจากพรรคทุกเดือน แต่ขบวนการฮั้วอาจถึงคราวซวย เมื่อโดน AI จับได้แบบดิ้นไม่หลุด
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงคดี “ฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.” ซึ่งพรรคภูมิใจไทยถูกตั้งข้อสงสัยว่าอยู่เบื้องหลัง และคดีได้งวดเข้ามาทุกขณะ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้เรียกนักการเมืองและ ส.ว.ซึ่งถูกกล่าวหาว่าอาจเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวกับกระบวนการฮั้วเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้วหลายชุด เช่น
- นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำพรรคภูมิใจไทย
- นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกรัฐบาล
- นายศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 อดีต ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย
- น.ส.วารินทร์ ชิณวงศ์ หรือ นายกน้ำ นายก อบจ.นครศรีธรรมราช
- นายสุบิน ศักดา นักการเมืองท้องถิ่นและผู้รับเหมาใน อ.วิภาวดี จ.นครศรีธรรมราช
- นายสมเกียรติ เลียงประสิทธิ์ นายกสมาคมประมง จ.สตูล บิดาของ นายวรศิษฏ์ เลียงประสิทธิ์ ส.ส.สตูล พรรคภูมิใจไทย
- นายสมเจตน์ ลิมปะพันธ์ อดีต ส.ส.สุโขทัยหลายสมัย ปัจจุบันคือที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย (อนุทิน ชาญวีรกูล)
- นายวงศกร ชนะกิจ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 พรรคภูมิใจไทย และเลขานุการประจำ ที่คณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนฯ
- นายเตชสิทธิ์ ชูแก้ว ส.ว.นครศรีธรรมราช
- นายสมศักดิ์ จันทร์แก้ว ส.ว.นครศรีธรรมราช ในกลุ่ม 5 เคยทำหน้าที่กรรมการสมาคมโรงสีข้าวภาคใต้ เป็นผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการข้าวลุ่มน้ำปากพนัง มีเครือข่ายการเมือง เครือข่ายวงการข้าวไทย และ
- นายณัฐกิตต์ หนูรอด ส.ว.อดีตปลัด อบจ.พัทลุง เเละอดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 4 ภูมิใจไทยด้วย
เจาะยุทธการปิดเมืองปล้น “ส.ว.สีน้ำเงิน” ยึดสภาสูง
ตามรายชื่อนักการเมืองล็อตล่าสุดที่คณะทำงานของ กกต.คณะที่ 26 เรียกไปสอบนั้นเป็นแกนนำระดับสูงของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอยู่รอบๆ ตัวแกนนำสูงสุดของพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รวมถึง นายเนวิน ชิดชอบ ทั้งสิ้น
เรื่องนี้มีหลักฐานละเอียดและมัดแน่นไม่ว่าจะเป็นประจักษ์พยานที่เป็นบุคคล, หลักฐานที่เชื่อถือได้ทางวิทยาศาสตร์ ภาพถ่าย ภาพวิดีโอ หลักฐานทางดิจิทัล การจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ, เส้นทางทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน สลิปโอนเงิน รายการเดินบัญชี, รวมไปถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยดำเนินการประเมินทางสถิติเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงเลือก ส.ว. ซึ่งมีความซับซ้อนแต่พวกนี้ก็ “วางแผน” กันเป็นขบวนการมาตั้งหลายเดือนก่อนการเลือก ส.ว.แล้ว ฯลฯ
จากข้อมูลที่รับทราบจากแหล่งข่าว ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เริ่มทำงานมาตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 หลังการเลือก ส.ว.ระดับประเทศ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 หลังจากที่ทาง พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และแกนนำกลุ่ม ส.ว.สำรองได้เข้ายื่นข้อร้องเรียนถึงความผิดปกติในการเลือก ส.ว.ครั้งนี้
คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วดีเอสไอทำเรื่องนี้โดยพลการหรืออย่างไร จึงมาทำการสืบสวน สอบสวน และเจาะลึกคดีนี้ได้?
คำตอบก็คือ ทาง DSI รู้มาโดยตลอดว่า กกต.เป็นผู้มีอำนาจในการทำเรื่องการทุจริตเลือก ส.ว. และเลือกตั้งต่างๆ ทั่วประเทศโดยตรง แต่ กกต.ก็แต่งตั้ง DSI-ตำรวจ มาช่วยงาน เพื่อดำเนินการกับ “ขบวนการ ฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน” เหล่านี้ เพราะมันเข้าข่ายความผิดตามข้อหา “อั้งยี่” อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 “อั้งยี่” คือ การรวมกลุ่มตั้งแต่สองคนขึ้นไป รวมตัวกันเป็นสมาคมหรือองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกระทำความผิดทางอาญา หรือมีเจตนาที่ตั้งใจจะกระทำความผิดและการกระทำความผิดดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น การก่อการร้าย การค้าสิ่งผิดกฎหมาย หรือการทำร้ายทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งการสมคบเพื่อ “ฮั้ว” และทำให้ผิดเจตนารมย์ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภานั้นก็เข้าข่าย “อั้งยี่” เช่นกัน ทั้งยังมีความร้ายแรงกว่าการประกอบอาชญากรรม และทำผิดกฎหมายทั่วไปอื่นๆ ด้วย เพราะสมคบกันเข้ายึดเสียงในฝ่ายนิติบัญญัติ 3 เสาหลักที่ค้ำจุนอธิปไตยของประเทศ นั่นคือ วุฒิสภาของประเทศไทย
กลับมาถึงเรื่องแผนประทุษกรรมเพื่อดำเนินการทุจริตการฮั้ว ส.ว.กันต่อ ประเด็นก็คือ เมื่อพรรคภูมิใจไทยมีเส้นสายกับคณะกรรมการการเลือกตั้งในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น อดีตรองเลขาธิการ กกต. อย่าง นายธนิศร์ ศรีประเทศ ซึ่งปัจจุบันเป็นทีมกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย หรือ นายแสวง บุญมี เลขาฯ กกต. คนปัจจุบัน ก็เป็นศิษย์ก้นกุฎิของนายชัย ชิดชอบ บิดานายเนวิน ทำให้ทางภูมิใจไทยทะลุปรุโปร่งหมด เกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือก ส.ว.
เมื่อพรรคภูมิใจไทยรู้เรื่องราว ขั้นตอน กระบวนการ และวิธีการในการคัดเลือก ส.ว. 2567 ซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมาก มีการเลือกในหลายชั้นทั้งในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับประเทศ, มีการแบ่งกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเป็น 20 กลุ่ม, มีการลงคะแนนแบบภายในกลุ่ม และลงคะแนนแบบข้ามกลุ่ม ฯลฯ
จึงมีการมอบหมายให้คนรุ่นใหม่ในพรรคภูมิใจไทยอย่าง นายภราดร ปริศนานันทกุล บุตรชายนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการศึกษาขั้นตอนและกระบวนการทั้งหมดนี้
หลายคนยังไม่ทราบว่าพื้นเพของนายภราดรนั้นเรียนจบระดับปริญญาตรี สาขาสถิติ จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกทั้งในอดีตสมัยเป็นนักศึกษาเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานสภานักศึกษาธรรมศาสตร์ มีเพื่อนฝูงมาก
นายภราดรรวบรวมผู้เชี่ยวชาญเรื่องสถิติมาทำโมเดล หรือถอดรหัส วิธีการเลือก ส.ว. เพื่อนำเสนอให้ นายเนวิน ชิดชอบ เจ้าของพรรคภูมิใจไทยตัวจริง ให้รับรู้ และรับทราบถึงวิธีการว่า หากพรรคภูมิใจไทยต้องการครอบครองเก้าอี้ ส.ว.สักประมาณ 120 ที่นั่ง จาก 200 ที่นั่ง หรือ คิดเป็นอัตราส่วนก็ประมาณ 60% ของ ส.ว. ทั้งหมด จะต้องทำอย่างไรบ้าง และต้องใช้งบประมาณสักเท่าไหร่?
ช่วงต้นปี 2567 ก่อนกระบวนการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาจะเริ่มขึ้น นายภราดรจึงได้เข้าไปนำเสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมผู้บริหารพรรคภูมิใจไทยโดยมี “นายเนวิน” นั่งหัวโต๊ะ ระบุว่า ต้องใช้เงิน 500-600 ล้านบาท เพื่อให้ได้เป้าหมายจำนวน ส.ว. 120 คน หัวโต๊ะก็บอกว่า "คิดได้ยังไง ?" จากนั้นจึงเคาะอนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินปฏิบัติการ “ฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน”
ซึ่งต้องใช้คนลงสมัครจำนวนมหาศาลนับเป็นหมื่นคน!
โมเดล “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” กวาดต้อน คนเข้าขบวนการ “ฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน”
จากข้อมูลเชิงลึกที่ได้มานั้นต้องบอกว่าน่าทุเรศ และน่าอนาถใจอย่างที่สุด ก็คือ ระบบการหาคนมาลงสมัครเพื่อเอื้อให้เกิดการ “ฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน” นั้นไม่ได้แตกต่างจากการหาคนไปทำงาน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์”
เหมือนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังไง?
เหมือนตรงที่ วิธีการนั้นดำเนินการโดย 3 วิธีหลักๆ คือ โดยวิธีการ สมัครใจ, วิธีการข่มขู่ และวิธีการล่อลวง-หลอกลวง (ล่อลวง-หลอกลวงว่าลงสมัครแล้วจะได้รับเลือก ได้โน่นได้นี่)
วิธีการหาคนเขาจะเริ่มจากจังหวัดที่พรรคภูมิใจไทยมีฐานเสียงของ ส.ส. โดยเฉพาะจังหวัดที่เน้นเลยคือ จังหวัดเล็ก โดยบางจังหวัดมีเพียงแค่ 5-6 อำเภอ เนื่องจากจัดตั้งง่าย เช่น จังหวัดบุรีรัมย์, อำนาจเจริญ, หนองบัวลำภู, สตูล, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, อ่างทอง, อยุธยา, ขอนแก่น, อุทัยธานี
จะสังเกตได้เลยว่าจังหวัดที่มีจำนวน ส.ว. มากกว่า ส.ส.นั่นแหละ คือจังหวัดที่มีขบวนการฮั้ว ส.ว.เข้าไปจัดตั้ง
ยกตัวอย่าง
- บุรีรัมย์ มี ส.ส. 10 คน แต่มี ส.ว. 14 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ชิดนายเนวิน และตระกูลชิดชอบทั้งสิ้น
- สตูล มี ส.ส. 2 คน แต่มี ส.ว.มากถึง 6 คน
- อยุธยา มี ส.ส. 5 คน แต่มี ส.ว. 7 คน,
- อ่างทอง มี ส.ส. 2 คน แต่มี ส.ว. 6 คน
- อำนาจเจริญ มี ส.ส. 2 คน แต่มี ส.ว.ถึง 5 คน เป็นต้น
นอกจากนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ยังคุมเกมในภาพรวมด้วยการเข้าไปล้วงลูกเพื่อสอดแนมจำนวนผู้สมัคร ส.ว.ระดับอำเภอ ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากในกระบวนการรับสมัคร ส.ว.ชั้นแรก คือในระดับอำเภอ และระดับจังหวัดนั้นมีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดูแล ขณะที่ “ปลัดอำเภออาวุโส” นั้นเป็นผู้รับผิดชอบจำนวนผู้สมัคร ซึ่งก็จะรู้หมดว่าผู้สมัคร ส.ว.ในแต่ละช่วง ในแต่ละวัน ในแต่ละวิชาชีพ มีกี่คนแล้ว มากน้อยอย่างไร?
ถามว่าใครนั่งกุมกระทรวงมหาดไทยอยู่ล่ะ? คำตอบก็คือ คนของพรรคภูมิใจไทยทั้งหมด ตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงไปจนถึงรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยทุกคน
ด้วยเหตุผล และปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ทางพรรคภูมิใจไทยก็จะรู้ชัดเจนถึงยอดของผู้สมัคร ส.ว. อัปเดตแบบ Real-time แยกรายอำเภอ รายจังหวัด ตามกลุ่มอาชีพ กลุ่มไหนขาด กลุ่มไหนเยอะ ก็จะสามารถหาผู้สมัครมาเติมได้ ให้ได้ตามความน่าจะเป็นทางสถิติ ซึ่งพอรู้ยอดผู้สมัคร และส่งผู้สมัครลงไปเพื่อให้ได้ตามต้องการ คนที่ถูกวางตัวเอาไว้เพื่อเข้าร่วม “ฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน” ก็สามารถข้ามไปเลือกในระดับจังหวัดได้แบบสะดวกโยธิน
เมื่อจะก้าวเข้าสู่การเลือก ส.ว.ระดับประเทศ ซึ่งผู้ที่ผ่านระดับจังหวัดประมาณ 3,000 คน ต้องเข้ามาเลือกที่ อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อคัดเลือกให้เหลือ ส.ส.ตัวจริงเพียง 200 คน ในวันที่ 26 มิถุนายน 2567
จากข้อมูลที่ได้มา พวกที่ผ่านการเลือกในระดับจังหวัด เข้ามาแบบโปร่งใส บริสุทธิ์ ส่วนหนึ่งก็จะถูกขบวนการที่เพื่อน ส.ว.ระดับจังหวัดชักชวนว่าให้ไปหาเสียงร่วมกัน จากนั้นก็ล่อให้เข้าไปใน “ห้องทำโพย” โดยเมื่อเข้าไปก็จะมีการตก ส.ว.ใสๆ เหล่านี้ด้วยการจูงใจด้วยการให้ผลตอบแทนเป็นเงินจำนวน 100,000 บาทต่อคน ไม่รวมกับโบนัสที่สัญญาว่าจะให้เมื่อจำนวนเสียง สว.สีน้ำเงินนั้นถึงเป้าที่วางเอาไว้ อีกต่างหาก
จากนั้นก็จะใช้ด้านหลังของแฟ้ม “แบบแนะนำตัวของผู้สมัคร” ที่เขาเรียกว่า “ส.ว.3” ซึ่ง กกต.กำหนดให้เป็นเอกสารในการ “จดโพย” ว่าตัวเองต้องเลือกใครบ้าง
จากวิธีการอันแยบยลนี้ ในที่สุดผลก็ออกมาว่า “เครือข่ายสีน้ำเงิน”กวาด สว. เข้าสภาฯ ไปได้ร่วม ๆ 130-140 คน ที่เป็น ส.ว.น้ำเงินแท้จริง ๆ เกาะกลุ่มกันมาตั้งแต่ระดับอำเภอ-จังหวัด จนถึงรอบสุดท้ายที่เมืองทองธานี
ซึ่งตัวเลขที่ได้ ส.ว. ร่วม 130 กว่าคนที่เป็น “ส.ว.สีน้ำเงินแท้” ทำเอาห้องประชุมลับที่เซฟเฮาส์ซอยรางน้ำเห็นตัวเลขแล้วยังตกใจไม่น้อย เพราะเกินกว่าเป้าที่วางเอาไว้แต่แรก แม้การลงทุน “กินรวบสภาสูง” ครั้งนี้จะเกินเป้าที่วางแผนไว้ตั้งแต่แรกคือประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยบานปลายไปกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ก็คุ้มค่าสำหรับบ้านใหญ่สีน้ำเงินอย่างยิ่ง เพราะได้ ส.ว.มาค่อนสภาถึงกว่า 130 คน ซึ่งเมื่อหาร 1,000 ล้านบาทแล้ว ก็ตกแล้วใช้เงินลงทุนต่อ ส.ว. 1 หัวเพียงแค่ 7-8 ล้านบาท
ซึ่งถือว่าคุ้มค่า และถูกกว่าการลงทุนในการเลือกตั้งทั่วไปที่กว่าจะได้ ส.ส.คนหนึ่ง ต้องใช้เงินมากถึง 50-70 ล้านบาท อย่างเทียบกันไม่ติด!!!
ทั้งนี้ เมื่อแบ่งแยกข้อมูลประเภท “ส.ว. ฮั้ว” แล้วก็จะพบว่ามี 2 ประเภทหลัก ๆ ก็คือ :
ประเภทที่ 1 คือประเภทใกล้ชิดผู้นำทางจิตวิญญาณ และ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็น ส.ว.กลุ่มใหญ่
ประเภทที่ 2 คือ ส.ว.ประเภทที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางตรง แต่ทุ่มเงินซื้อเข้ามา 20 ล้านบาท!?!
สมาชิกวุฒิสภา หรือหุ่นเชิดพรรคสีน้ำเงิน?
การเดินเกมยึดอำนาจสภาสูงของกลุ่มนายเนวิน ปรากฏภาพชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกจากการเสนอชื่อคนเข้าเป็นประธานวุฒิสภา ในการประชุมครั้งแรกของ ส.ว.สีน้ำเงิน หรือวุฒิสภาชุดที่ 13 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 โดย นายมงคล สุระสัจจะ ได้รับการเสนอชื่อจาก พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ ให้เป็นประธานวุฒิสภา และผลการลงมติปรากฏว่ามงคลชนะด้วยคะแนนเสียง 159 เสียงจาก 200 เสียง แบบขาดลอย ผงาดขึ้นเป็นประธานสภาสูง โดยการหนุนของพรรคภูมิใจไทย
โดยก่อนหน้านั้น 2 วัน คือวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 ได้มีการเรียกระดม “ส.ว.สีน้ำเงิน” และเครือข่ายจากทั่วประเทศได้ประมาณ 150 คน เดินทางมาร่วมรับประทานอาหารที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ในช่วงเที่ยง
จากนั้นทั้งหมดได้ร่วมประชุม หารือกัน พร้อมกับแกนนำกลุ่ม ส.ว.สีน้ำเงิน โดยก่อนเข้าประชุมมีการเก็บโทรศัพท์มือถือของ ส.ว.ทุกคนไว้กับเจ้าหน้าที่ ไม่ยอมให้นำเข้าที่ประชุมเด็ดขาด รวมถึงห้ามนำเครื่องบันทึกเสียงต่างๆ เข้าในวงประชุมด้วย
ใคร? เป็นคนที่ดำเนินการเก็บรวบรวมโทรศัพท์ของ “ส.ว.สีน้ำเงิน” เอาไว้ก่อนเข้าห้องประชุม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าขบขันมากว่า เป็นถึง “สมาชิกวุฒิสภา” แต่ต้องถูกริบเครื่องมือสื่อสารก่อนเข้าไปในห้อง เพื่อไม่ให้ใช้บันทึกเสียง ภาพ หรือใช้บันทึกหลักฐานต่างๆ
เนื่องจากที่ประชุมได้มีการหารือกันถึงเรื่องตำแหน่งประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา โดยได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว คือ ให้
- นายมงคล สุระสัจจะ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และอดีตอธิบดีกรมการปกครอง สายตรงเนวิน เจ้าของพรรคภูมิใจไทยตัวจริงเป็นประธานวุฒิสภา
- พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ หรือบิ๊กเกรียง อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อนร่วมรุ่น วปอ.กับ บิ๊กหนู อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1
- ส่วน นายบุญส่ง น้อยโสภณ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง และอดีตอธิบดีศาลอุทธรณ์ภาค 7 เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2
ที่สำคัญคือ มีการเปิดข้อความสนทนาใน แอปฯ ระหว่างผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคภูมิใจไทย กับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่อยู่เหนือจากระบบการเมืองขึ้นไป เพื่อชักจูงว่าสิ่งที่บรรดา “ส.ว.สีน้ำเงิน” กว่า 150 คนทำนั้นเป็นการทำเพื่อบ้านเมือง และปกป้องสถาบันสำคัญของประเทศจริงๆ มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของพรรค และผลประโยชน์ทางการเมืองใดๆ!?!?!
จากนั้นจึงมีการปิดการประชุมในเวลา 16.00 น. พร้อมสั่งกำชับให้ ส.ว.ทุกคนเข้าร่วมประชุมโหวตวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 โดยพร้อมเพรียง
ได้ข่าวว่างานนี้นอกจาก ส.ว.ประมาณ 150 คนจะมาร่วมรับประทานอาหาร เข้าประชุมเพื่อรับแนวทางการเคลื่อนไหวแล้ว ยังถือ "ถุงขนม" กลับไปคนละถุงสองถุงด้วย
แว่วว่า “ถุงขนม” นี้ไม่ได้ให้กันแค่ครั้งเดียว แต่เป็นการจัดให้แบบรายเดือน ทุกเดือน เหมือนเป็นเงินเดือนประจำ เป็นรายได้นอกเหนือจากเงินเดือนประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่ม รวม 113,560 บาท สมาชิกวุฒิสภาที่แต่ละคนรับจากงบประมาณของภาครัฐ และภาษีของประชาชนอยู่แล้ว
โดย ส.ว.สีน้ำเงิน ถ้าอยากจะอยู่ต่อก็ต้องมาเข้าประชุมรับนโยบายทุกเดือน เหมือนเป็นทาสพรรคการเมืองสีน้ำเงินอย่างไรอย่างนั้น
แล้วสิ่งที่น่าทุเรศทุรัง และอัปยศ ยิ่งขึ้นไปอีก ส.ว.แต่ละคนนั้นสามารถแต่งตั้ง ผู้ช่วยและผู้เชี่ยวชาญ ประจำตำแหน่งได้อีกรวม 8 คน โดยผู้ช่วยนั้นจะได้ผลตอบแทนเป็นเงินเดือน เดือนละ 15,000 บาท ส่วนผู้เชี่ยวชาญจะได้ผลตอบแทนเดือนละ 20,000 บาท
ข้อมูลที่น่าตกใจก็คือ จากผู้ช่วยและผู้เชี่ยวชาญจำนวน 8 คนที่กฎหมายกำหนดให้มาช่วยงานตัวเองได้นั้น “ส.ว.สีน้ำเงิน” เหล่านี้กลับมีสิทธิ์เลือกผู้ช่วยและผู้เชี่ยวชาญได้แค่คนเดียว ส่วนที่เหลืออีก 7 คนพรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นคนกำหนดให้
นอกจากนี้ เมื่อผู้ช่วยและผู้เชี่ยวชาญ 7 คนได้เงินเดือนทุกเดือนก็ต้องโอนเงินส่วนใหญ่คืนให้กับ ส.ว. (เช่นได้เงินเดือนมา 15,000 หรือ 20,000 บาท ก็ต้องโอนคืนให้ 10,000 บาท) ซึ่งก็เป็นเงินได้ของ ส.ว.อีกทางหนึ่ง
นี่คือสาเหตุที่เราได้ ส.ว.อย่างที่เห็นทุกวันนี้
ส.ว.นั้นย่อมาจาก สมาชิกวุฒิสภา หรือสภาสูง แต่ปรากฏว่า ส.ว.ที่โดนข้อกล่าวหาคดีฮั้วเลือก ส.ว. แต่ละคนขาดทั้งคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถ ขาดไอคิว-อีคิว อย่างเช่น
“นายดำ” ปราณีต เกรัมย์ อดีตคนขับรถ นายชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา บิดาของนายเนวิน ที่เนวินก็ตอบแทน “พี่ดำ” ด้วยการดันให้เป็น ส.ว. จนพาสชั้นจากคนขับรถตระกูลชิดชอบมาเป็น ส.ว.ผู้ทรงเกียรติระดับประเทศจากจังหวัดบุรีรัมย์ โดย นายดำ ปราณีต ที่ได้คะแนนสูงมาก ถือเป็นลำดับที่ 6 โดยได้ 54 คะแนนใน กลุ่มที่ 16 กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา เนื่องจากในเอกสารแนะนำตัว นายดำ ปราณีต ระบุ ประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ไว้ว่า เป็นนักกีฬาฟุตบอลอาวุโส ในช่วงปี พ.ศ. 2527-2547 !?!
คนต่อมาคือ นายอลงกต วรกี เด็กสวนกุหลาบ เพื่อนร่วมรุ่นศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่ดูเผินๆ เหมือนว่าจะมีความสามารถ เพราะ เคยเป็นถึงปลัดจังหวัดขอนแก่น เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยมาก่อน
พอต้องไปเข้ารับทราบข้อกล่าวหาฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. และชี้แจงต่อ กกต.สั่งยุติกรรมการสอบฯ ชุดที่ 26 แล้วเจอนักข่าวถามอะไรที่ไม่อยากตอบ ก็ไปเลี่ยงบาลี ตอบเป็นภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีนไปเรื่อยเปื่อย หาสาระอะไรไม่ได้
พลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.ที่ไปยื่นขอความเป็นธรรม กกต.สั่งยุติกรรมการสอบฯ ชุดที่ 26 ทำหน้าที่โดยไม่ชอบ แล้วไปเจอนักวิชาการคือ นายบุญส่ง ชเลธร บุกต่อว่าว่าเป็น "พวกลิ้นดำ" (โกหกกันจนลิ้นดำ) ส.ว.ฉัตรวรรษ ผู้ทรงเกียรติ ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ก็เลยแลบลิ้นตัวเองต่อหน้าสื่อทันที บอกว่าตัวเองลิ้นไม่ดำสักหน่อย
พลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.ที่ไปยื่นขอความเป็นธรรม กกต.สั่งยุติกรรมการสอบฯ ชุดที่ 26 ทำหน้าที่โดยไม่ชอบ แล้วไปเจอนักวิชาการคือ นายบุญส่ง ชเลธร บุกต่อว่าว่าเป็น "พวกลิ้นดำ" (โกหกกันจนลิ้นดำ) สว.ฉัตรวรรษ ผู้ทรงเกียรติ ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ก็เลยแลบลิ้นตัวเองต่อหน้าสื่อทันที บอกว่าตัวเองลิ้นไม่ดำสักหน่อย
นี่คือพฤติกรรม ส.ว.ผู้ทรงเกียรติที่ไม่มีไอคิว หรืออีคิว แม้แต่นิดเดียว
เปิดลับ AI จับ “โพยฮั้ว ส.ว.สีน้ำเงิน” มันมากับการปล้น!
ต้องบอกว่า “แก๊งฮั้ว ส.ว.” ซวยสุดๆ อุตส่าห์คิดค้นวิธีการซับซ้อน เพื่อเอาชนะกติกาการเลือกตั้งได้มาแล้วแท้ๆ แต่กลโกงเหล่านั้น ดันนำมาใช้ในยุคของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เลยโดน AI น็อกเข้าให้
การสืบสวน “คดีฮั้ว ส.ว.” ครั้งประวัติศาสตร์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ร่วมกับ กกต.ครั้งนี้ มีการนำเทคโนโลยี AI มาตรวจสอบคลิปจากกล้องวงจรปิดในคูหาเลือกตั้ง ส.ว. ปรากฏว่า AI จับภาพได้ว่ามีโพยรายชื่อที่เหมือนกัน จำนวนมากมายเกินกว่าจะเป็นความประจวบเหมาะไปได้
โดย AI คำนวณออกมาว่าบรรดารายชื่อที่เหมือนกันเป๊ะจำนวนถึง 1,157 คนนั้น
ถ้าหากเป็นความบังเอิญ หรือความประจวบเหมาะจริงๆ แล้วล่ะก็ โอกาสความน่าจะเป็น มันไม่ใช่แค่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่มันเท่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ถึง 4 หน
นักเลงหวยคงจินตนาการออกว่า อัตรานี้มันยากขนาดไหน เอาแค่ซื้อหวยทุกงวด โอกาสจะถูกรางวัลที่ 1 สักครั้งเดียว บางทีต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๅ
แต่นี่ต้องถูกรางวัลที่หนึ่งถึง 4 หน ถึงจะเท่ากับความบังเอิญที่โพยรายชื่อของ ส.ว.สายสีน้ำเงินออกมาตรงกัน
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน แต่มันเป็นหวยล็อกของเกมอำนาจ
ทั้งนี้ ในการเลือกตั้ง ส.ว.รอบสุดท้ายที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ระบบ AI ตรวจสอบการล็อกรายชื่อในกลุ่มที่ 1 มากถึง 61 คน
โดยลำดับที่ 1.14 ไปจนถึง 1.22 ต่างมีชื่อโพยเรียงตามลำดับที่เหมือนกัน ทั้ง 10 รายชื่อมีชื่อหัวขบวน คือ นายสุรเชษฐ โพธิไพจิตร
ส่วนลำดับ 1.30 ถึง 1.52 ซึ่งนำโดย นายอภิชาติ งามกมล พบมีรายชื่อเรียงตรงกัน
โดยในกลุ่มที่ 1 นี้ มีคนดังซึ่งเป็นสายตรงของพรรคสีน้ำเงิน คือ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา และ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงสี อดีตผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ซึ่งโด่งดังในช่วงโควิด
กลุ่มที่สอง AI ตรวจพบโพยรายชื่อเหมือนกัน 57 คน โดยเฉพาะในลำดับ 2.6 จนถึง 2.27
กลุ่มนี้มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ทำหน้าที่คอยตอบโต้แทน ส.ว.น้ำเงิน พอตรวจประวัติก็พบว่าเป็นอดีต ผบก.บุรีรัมย์ อะไรจะประจวบเหมาะขนาดนั้นอีก
กลุ่ม 20 กลุ่มสุดท้ายพบการฮั้ว 50 คน โดยรายชื่อลำดับที่ 20.11 ถึง 20.30 นำโดย นายอลงกต วรกี ก็มีโพยชื่อตรงกัน โดยนายอลงกต วรกี ก็รับหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ ส.ว.สายสีน้ำเงิน คอยตอบโต้ทุกข้อกล่าวหา ซึ่งเมื่อพลิกประวัติเส้นทางชีวิต พบว่าเคยเป็นอดีตรองผู้ว่าฯ อุทัยธานี ถิ่นของพรรคสีน้ำเงิน
โดยนายอลงกตทำงานร่วมกับคนสำคัญ คือ นายมงคล สุระสัจจะ อดีตผู้ตรวจราชการ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ปลัดกระทรวงมหาดไทยแต่ไม่ได้รับตำแหน่ง เพราะมีปัญหาร้องเรียนเรื่องจัดซื้อคอมพิวเตอร์ และเรื่องการเมืองในยุทธจักรสิงห์ จนนายมงคลต้องปฏิเสธการรับตำแหน่ง
ในทางสืบสวนของดีเอสไอ และ กกต. โดยพึ่งความสามารถของ AI สามารถจับภาพการลงคะแนนได้ 1,157 ใบ จนผ่านรอบนี้จำนวนเกินครึ่งจากทุกกลุ่ม ไปสู่เข้ารอบสุดท้าย วันที่ 26 มิถุนายน 2567 รอบสุดท้ายในช่วงบ่าย เป็นไปตามแผนของ “แก๊งฮั้ว” ต้องการผ่านรอบนี้ แล้วเลือกกันเอง จนได้เดินสู่สภาอันทรงเกียรติ 138 คน บวกสำรอง 2 คน เกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 120 คน พฤติกรรมแบบนี้เขาว่า คือการปล้นอำนาจประชาชนของโจรการเมือง อย่างชัดเจนที่สุด
“พฤติกรรมอย่างนี้ คุณเนวินครับ คุณอนุทินครับ คุณทองเจือครับ คุณมงคลครับ ผมนึกไม่ถึงว่าคุณจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นอำนาจประชาชน นี่คือโจรทางการเมืองอย่างเด่นชัด ชัดเจนที่สุด โจรปล้นบ้าน ปล้นธนาคาร ก็สูญเสียแค่เงิน แค่บ้าน นี่ปล้นชาติ ปล้นบ้านเมือง สูญเสียบ้านเมืองทั้งประเทศ สูญเสียจริยธรรม สูญเสียคุณธรรม และสูญเสียมโนธรรม พวกคุณกำลังจะทำให้ประเทศไทยมีบทสรุปว่า เมืองไทยต้องเลวได้ถึงขั้น ถึงจะอยู่ได้ คนดีนอกจากไม่มีที่ยืนแล้ว ไม่ควรจะอยู่ในที่นี้” นายสนธิกล่าว