xs
xsm
sm
md
lg

สะพัดแบงก์ยักษ์เข้มงวด "บัญชีชาวต่างชาติ" หลายชาติเจอปิดบัญชี-อายัด-แจ้งถอนเงินคืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพประกอบข่าวจาก PIXABAY
สะพัดธนาคารขนาดใหญ่เข้มงวดบัญชีธนาคารชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ถือวีซ่าท่องเที่ยว, วีซ่า DTV สำหรับกลุ่ม Digital Normad และวีซ่านักเรียนแบบ Non-Immigrant ED ระงับบัญชีและแจ้งถอนเงินคืน หลายชาติโดนหมด รัสเซีย จีน อิตาลี เยอรมนี และสวิส หลังตำรวจจับกุมผู้จัดการสาขาและพนักงานแบงก์ในเมืองพัทยาเมื่อปลายเดือนที่แล้ว

วันนี้ (1 มิ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งหนึ่งเริ่มมีมาตรการระงับบัญชีชาวต่างชาติที่สงสัยว่าอาจนำบัญชีเงินฝากและบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ในทางที่ผิด โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ค. เฟซบุ๊ก FS Consulting Co., Ltd. ของ บริษัท เอฟเอส คอนซัลติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านวีซ่า บัญชีธนาคาร ใบขับขี่ วีซ่าเชงเกน การจัดตั้งบริษัท การแต่งงานแก่ชาวเยอรมัน ตั้งอยู่ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้โพสต์วิดีโอคลิปที่นายสเตฟาน แฟบโบร (Stefan Fabbro) ผู้ก่อตั้งบริษัท กล่าวว่า ธนาคารแห่งหนึ่งได้เริ่มปิดหรืออายัดบัญชีชาวต่างชาติ ที่เปิดโดยผู้ถือวีซ่าท่องเที่ยว, วีซ่า DTV สำหรับกลุ่ม Digital Normad และวีซ่านักเรียนประเภทแบบเข้าได้ครั้งเดียว หรือ Non-Immigrant ED

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับแจ้งเฉพาะกรณีของบัญชีที่เปิดในปี 2025 (2568) เท่านั้น ยังไม่พบกรณีของบัญชีที่เปิดก่อนหน้านี้ถูกปิด ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะถูกแจ้งให้ไปที่สาขาธนาคาร พร้อมหนังสือเดินทาง และสมุดบัญชี เพื่อปิดบัญชีและรับเงินคืน หากบัญชียังใช้งานได้ แสดงว่ายังไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ทางธนาคารไม่ได้จำกัดเฉพาะสัญชาติใดๆ เพราะมีทั้งชาวรัสเซีย จีน อิตาลี เยอรมนี และสวิสที่ได้รับผลกระทบ หากเปิดบัญชีด้วยวีซ่าประเภทที่กล่าวมาในปีนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการฝากเงินใหม่เข้าบัญชี แต่หากเปลี่ยนเป็นสถานะคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) แล้ว และอาศัยอยู่ในประเทศไทย หากบัญชีถูกปิด สามารถแสดงสถานะวีซ่า Non-Immigrant หรือเอกสารต่ออายุการพำนักเพื่อขอคืนสิทธิ์บัญชีได้ พร้อมกันนี้ นายสเตฟานฝากถึงลูกค้าว่าอย่าตื่นตระหนก หากยังใช้งานบัญชีได้ก็สามารถใช้งานต่อไป ในระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงการโอนเงินจากต่างประเทศเข้าบัญชี จนกว่าสถานการณ์จะชัดเจน ซึ่งบริษัทฯ จะแจ้งสถานการณ์ล่าสุดเป็นระยะ

อีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวมอสโกไทม์สของรัสเซีย รายงานเมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่า ธนาคารแห่งหนึ่งได้เริ่มระงับบัญชีของชาวรัสเซียหลายพันราย โดยเฉพาะผู้ที่พำนักอยู่ในไทยด้วยวีซ่าระยะสั้น ผู้ได้รับผลกระทบบางรายเปิดเผยว่า ยังสามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้ แต่ธนาคารไม่อนุญาตให้ใช้งานบัญชีต่อในระยะยาวอีกต่อไป ทั้งนี้ บัญชีจะยังสามารถใช้งานได้เฉพาะกับผู้ถือวีซ่าระยะยาว ผู้ที่มีคู่สมรสเป็นคนไทย หรือมีทรัพย์สิน เช่น บ้านหรือคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบันมีชาวรัสเซียพำนักถาวรในไทยระหว่าง 40,000-50,000 คน ซึ่งธนาคารแห่งนี้เคยเป็นธนาคารแห่งเดียวในไทยที่เปิดบัญชีให้กับนักท่องเที่ยว จึงมีชาวรัสเซียและชาวต่างชาติอีกจำนวนมากใช้บริการ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2 นำโดย พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 เข้าตรวจค้นสาขาธนาคารแห่งหนึ่ง ย่านถนนสุขุมวิท พัทยากลาง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เข้าเก็บเอกสารหลักฐานก่อนเชิญตัวผู้จัดการสาขา และพนักงาน 2 คน ไปสอบปากคำที่ สภ.บางละมุง หลังการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนในกรุงเทพฯ ก่อนสืบสวนขยายผลจนทราบว่า มีกลุ่มชาวจีนที่ถือวีซ่านักท่องเที่ยวมาเปิดบัญชีธนาคารกว่า 100 บัญชี กับธนาคารแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จากนั้นทั้ง 3 คนถูกตั้งข้อหา “ร่วมกันเป็นธุระจัดหาโฆษณาหรือไขข่าว โดยประการใดๆเพื่อให้มีการซื้อขาย ให้ข่าว หรือให้ยืมบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด ร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”

ต่อมาวันที่ 21 พ.ค. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวจับกุมผู้จัดการธนาคาร และพนักงานรวม 4 คน ผู้เกี่ยวข้องอีก 2 คน รวมทั้งหมด 6 คน นอกจากนี้ ยังสามารถจับกลุ่มผู้ต้องหาที่ให้การสนับสนุนคอยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ต้องหาชาวจีนอีก 5 ราย รวมจับกุมทั้งสิ้น 11 ราย หลังจากมีชาวจีน 15 ราย เดินทางเข้ามายังประเทศไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเมื่อเดือน มี.ค. 2568 จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาพากลุ่มชาวจีน 15 รายไปติดต่อธนาคารทั่วประเทศเพื่อขอเปิดบัญชี โดยเฉพาะธนาคารแห่งหนึ่งในพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากลุ่มผู้ต้องหาทยอยเดินทางเข้าไปเปิดบัญชีตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ก่อนจะเดินทางกลับไปยังประเทศจีนในวันที่ 13 มี.ค. โดยมีผู้จัดการธนาคาร และพนักงานธนาคารดังกล่าว ร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร เพื่อให้เปิดบัญชีได้ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว โดยได้รับส่วนแบ่งจำนวนหนึ่งจากการเปิดบัญชี

จากการสืบสวนพบว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของกลุ่มผู้ต้องหาชาวจีน มีเงินเข้ามาถึง 118 ล้านบาท ถอนออกไปแล้ว 91 ล้านบาท ที่เหลือสามารถอายัดเอาไว้ได้ โดยมีผู้เสียหาย 106 คดี ขยายผลต่อเนื่องพบเกี่ยวข้องกับ 462 บัญชี ซึ่งทั้ง 462 บัญชีมีผู้เสียหาย 2,084 คดี มูลค่าความเสียหายทั่วประเทศตอนนี้ 2,200 ล้านบาท ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลให้ครบในทุกมิติโดยเฉพาะในส่วนของชาวจีนทั้ง 15 ราย ที่หลบหนีออกไปนอกประเทศนั้น ได้ประสานทางการจีนออกหมายจับแล้ว ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะประสานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามาเปิดบัญชีธนาคารด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกไม่มีการกระทำในลักษณะนี้ อีกทั้งแก๊งชาวจีนทั้ง 5 คนที่ถูกจับนั้น พบว่ามีความเชื่อมโยงกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สั่งการให้ธนาคารดังกล่าวเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงรายละเอียดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากในกรณีชาวต่างชาติมีความประสงค์จะเปิดบัญชีในประเทศไทย ธปท. กำหนดให้ธนาคารต้องมีกระบวนการพิจารณาเอกสารการระบุตัวตนและพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าอย่างรัดกุม ซึ่งหากไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ธนาคารต้องแก้ไขในทันที นอกจากนี้ หากพบว่าพนักงานของธนาคารมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าว ธนาคารต้องลงโทษขั้นเด็ดขาด ทั้งนี้ ธปท. และสำนักงาน ปปง. อยู่ระหว่างร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกทางหนึ่ง หากพบการดำเนินการที่ขัดกับข้อกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ของ ธปท. ทางการจะดำเนินการทางกฎหมายกับธนาคารต่อไป

นอกจากนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางการเงิน ธปท. อยู่ระหว่างออกหลักเกณฑ์การบริหารจัดการภัยทุจริตดิจิทัล (Digital Fraud Management) ซึ่งครอบคลุมการยกระดับกระบวนการรู้จักลูกค้า (Know Your Customer: KYC) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence: CDD) โดยกำหนดให้ธนาคารตรวจสอบข้อมูลลูกค้าที่มาขอเปิดบัญชีจากฐานข้อมูลอื่นนอกเหนือจากเอกสารแสดงตัวตนที่ลูกค้านำมาให้ เช่น ต้องตรวจสอบชื่อกับฐานข้อมูลบัญชีม้าของสำนักงาน ปปง. และต้องประเมินความเสี่ยงที่ลูกค้าจะนำไปใช้บัญชีไปใช้เป็นบัญชีม้า รวมถึงต้องจัดกลุ่มลูกค้าตามระดับความเสี่ยง (customer profiling) และใช้มาตรการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมกับกลุ่ม เช่น จำกัดวงเงินการทำธุรกรรมต่อวันให้เหมาะสม ลดเพดานวงเงินที่ต้องใช้การสแกนใบหน้าสำหรับบัญชีใหม่ เป็นต้น โดยการปรับปรุงหลักเกณฑ์คาดว่าจะบังคับใช้ในเดือนมิถุนายนนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น