“คดีแตงโม” ภาคแรกสุดพิลึก โจทก์กับจำเลยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จำเลยว่าไงโจทก์ว่าตาม จำเลยบอกแตงโมสมัครใจไปปัสสาวะท้ายเรือแลัวตกลงไปโดนใบพัดเรือเสียชีวิต โจทก์ก็เห็นด้วย ไม่เอาข้อพิรุธมาถามแย้ง แถมหาพยานมาให้การเป็นประโยชน์ต่อจำเลย ศาลจึงต้องยกฟ้อง แล้วอย่างนี้ใครต้องรับผิดชอบ “สนธิ” ลั่นนี่เป็นเพียงตอนจบของภาคแรก และภาคที่ 2 ก็เพิ่งจะเริ่มต้น
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม ดาราสาวชื่อดังในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลจังหวัดนนทบุรีได้อ่านคำพิพากษาคดีที่โจทก์คือพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี และ โจทก์ร่วมคือนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของแตงโม ฟ้องจำเลย 4 คน คือนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือ “แซน” น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ “กระติก” อดีตผู้จัดการส่วนตัวและเพื่อนของแตงโม นายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาธร หรือ “จ๊อบ” และ นายภีมหรือเอ็ม ธรรมธีรศรี ในข้อหาความผิดต่อชีวิต ประมาท ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดต่อพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
ซึ่งผลคำพิพากษาอ ศาลได้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 คนในข้อหาประมาททำให้แตงโมถึงแก่ความตาย แต่ลงโทษนายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาธร ในข้อหาแจ้งความเท็จ สั่งจำคุก 4 เดือน ปรับ 16,000 บาท และข้อหาทิ้งสิ่งปฎิกูลลงในแม่น้ำ จำคุก 2 เดือน ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี
คำพิพากษาดังกล่าวไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงหนึ่งในคดีที่เกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตของน้องแตงโมเมื่อ 3 ปีก่อน ผู้ที่ได้ติดตามเรื่องนี้เพียงผิวเผิน หรือฝั่งกองเชียร์ของจำเลยก็จะหยิบคดีนี้มาตีฆ้องร้องป่าวว่าคดีจบแล้ว จำเลยไม่ผิด
และคดีที่ศาลนนทบุรีตัดสินไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้วนั้นเป็นเรื่องความผิดต่อชีวิต ประมาท ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดต่อพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยโดยไม่มี 2 ตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเสียชีวิตของแตงโม นั่นคือ “นายปอ” ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ และ “นายโรเบิร์ต” หรือ ไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ เพราะสองคนนี้เป็นจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 789/2565 ซึ่งทั้งสองคนมีการรับสารภาพไปแล้ว โดยในชั้นต้นศาลได้มีคำตัดสินออกมาเมื่อปี 2566
ส่วนคำตัดสินของศาลเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ถ้าสังเกตก็จะพบว่า เป็นคดีที่แปลกประหลาดที่สุด โดยเฉพาะโจทก์ร่วม และทนายของโจทก์ที่ตัวเอง “แพ้คดี” แต่กลับออกมาบอกว่า “พอใจคำตัดสิน” พร้อมกับให้สัมภาษณ์อย่างหน้าระรื่นด้วยว่า สาเหตุที่ “แตงโม” เสียชีวิตก็เพราะเดินไปตกท้ายเรือเอง
โดยนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของแม่แตงโม ให้สัมภาษณ์ว่า “เหตุที่ศาลยกฟ้อง เพราะแตงโมเดินไปแล้วก็ไปตกท้าย เลยเป็นความเสี่ยงภัย ภาษากฎหมายเรียกว่าเสี่ยงภัยเอง เดินไปเสี่ยงอะ เหมือนเราเดินไปหน้าผาแล้วก็ตกไป เดินเป็นความเสี่ยงภัยของตัวแตงโมเอง พูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน คือเดินไปแล้วเสียชีวิตเอง ...”
ฟังเผินๆ แบบคนที่ไม่รู้เรื่องคดีนี้มาก่อน อาจจะนึกไปว่า “ทนายเดชา” เป็นทนายของฝั่งจำเลย คือ “แซน-กระติก-จ๊อบ-ภีม” แต่ความเป็นจริงทุกคนก็รับทราบว่า “ทนายเดชา” นั้นเป็นทนายของโจทก์ร่วม คือแม่น้องแตงโม
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ เมื่อฝั่งโจทก์แพ้คดีกลับไม่มีสีหน้าผิดหวัง แต่ออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องจำเลย!?!
เนื้อหาของคำพิพากษาฉบับเต็มที่มีความยาว 49 หน้านั้นมีประเด็น มีข้อเท็จจริงมีเรื่องราว มีความขัดแย้ง รวมไปถึงมีพิรุธอันน่าสงสัยอยู่มากมาย สรุปได้ 3-4 ประเด็นดังนี้
ประเด็นแรก : คำพิพากษาในหน้าที่ 9 ซึ่งพิสูจน์ได้ชัดว่า กระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ และ กลางน้ำคือ ตำรวจ และอัยการ นั้นมีปัญหาอย่างรุนแรง กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ด้วยการตั้งข้อกล่าวหาต่อจำเลยว่า “ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”
ประมาทอย่างไร ?
คำพิพากษาหน้าที่ 9 ระบุว่าอัยการและคุณแม่แตงโม ซึ่งใช้ทนายความเป็นโจทก์ร่วม ฟ้องว่า “คนบนเรือดื่มเหล้า สุรา แล้วปล่อยให้ผู้ตาย คือ แตงโม ซึ่งไม่ได้สวมใส่ชูชีพและอยู่ในสภาวะมึนเมาจากการเสพสุรา แอลกอฮอล์ หรือของเมาอย่างอื่น เดินไปยังบริเวณท้ายเรือ (กาบเรือ) อันเป็นจุดอันตรายไม่มีราวหรือแผงกั้นบุคคล มิให้พลัดตกลงไปเพื่อทำกิจส่วนตัว โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 (แซน จ๊อบ และกระติก) มิได้แจ้งให้ชะลอหรือหยุดเรือ หรือดูแลจัดให้ผู้ตายขึ้นฝั่ง ทำให้ผู้ตายเสียการทรงตัวและพลัดตกจากเรือลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้แจ้งให้คนขับเรือหยุดเรือ บอกจุดตกเรือ หรือโยนอุปกรณ์ช่วยเหลือแก่ผู้ตาย เพื่อจะช่วยเหลือผู้ตาย หรือหยุดเรือได้ทันท่วงที จนร่างกายผู้ตายโดนใบจักรเรือ ใบพัดเรือ เป็นเหตุทำให้บาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายด้วยความประมาท ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งจำเลยที่ 1-3 นายตนุภัทร (ปอ) และนายไพบูลย์ต่างกระทำการอันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำโดยประมาทด้วยกันดังกล่าว ทำให้ผู้ตายจมน้ำขาดอากาศหายใจ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565”
สรุปก็คือ โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า “ประมาท” ด้วยการปล่อยให้ “แตงโม” เดินไปท้ายเรือเพื่อทำปัสสาวะ จนพลาดตกน้ำ และร่างกายจึงโดนใบพัดเรือ เป็นเหตุให้ร่างกายผู้ตายบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่ร่างกาย
ดังนั้น โจทก์และจำเลยจึงต่างเห็นพ้องต่อ “ลักษณะและสาเหตุการตาย” ของแตงโมเหมือนกันทั้งคู่ นอกจากนี้ ทั้งโจทก์ และจำเลย ไม่มีใครโต้แย้งใดๆ ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้องข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไปตามพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในทิศทางนี้
นี่เป็นประเด็นแรกและประเด็นหลัก คือการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด จะโดยจงใจหรือไม่จงใจ มีเหตุจูงใจอะไรที่ทำให้ “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” นั้น ถ้ายิ่งได้อ่านคำพิพากษาไปเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งเห็นข้อพิรุธ มากขึ้น
ตั้งข้อหารุนแรงแต่ เบิกความเบาหวิว
ประเด็นที่ 2 :
เมื่อ “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ตั้งแต่แรก การกลัดกระดุมเม็ดต่อ ๆ ไปจึงผิด และพลาดไปเรื่อย ๆ
เรามาดูว่ามูลฐานความผิดที่โจทก์และโจทก์ร่วมคือแม่แตงโมฟ้อง มีเรื่องอะไรบ้าง
1. มาตรา 137 ตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้ใดแจ้งข้อความเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ต้องระวางโทษจำคุก
2. มาตรา 172 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการ หรือพนักงานสอบสวน ต้องระวางโทษจำคุก
3. มาตรา 184 ผู้ใดช่วยเหลือผู้อื่นให้ไม่ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ก็จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ผู้นั้นใช้ให้กระทำความผิด มีความผิดด้วย เสมือนเป็นตัวการ
5. มาตรา 91 ว่าด้วยเรื่องของการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วน โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนด (1) (2) (3)
6. มาตราที่รุนแรงที่สุด คือ มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท
ถ้าอ่านดูเผิน ๆ ก็คงดูเหมือนว่าจะเป็นข้อกล่าวหาที่ดูเหมาะสมกับจำเลยทั้ง 4 คน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของเรือ (ไม่นับรวม ปอ และ โรเบิร์ต ซึ่งเป็นเจ้าของเรือ และเป็นตัวต้นเหตุที่ชักชวนให้ทุกคนมาลงเรือ รวมถึงสั่งให้ทุกคนทำลายหลักฐานหลังจากที่แตงโมตกน้ำไปแล้ว)
อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาดูจะเหมือนรุนแรง แต่ “พยานโจทก์” ที่โจทก์นำขึ้นเบิกความต่อศาลในคดีนั้น กลับให้การเข้าข้าง “จำเลย” ทั้งหมดเลย
ประเด็นที่ 3 : คำให้การของพยานโจทก์ การเบิกความต่อศาลของพยาน ซึ่งมีหลายประเด็นย้อนแย้งอย่างมาก โดยประเด็นที่สำคัญ ชัดเจน และดูจะไม่เข้ากับความเป็นจริงก็คือประเด็นที่แตงโมเดินไปฉี่ที่ท้ายเรือ จนทุกคนบนเรืออ้างว่าเป็นเหตุให้ตกน้ำตาย !!!
ด้วยเหตุที่ ประเด็นเรื่อง “แตงโมไปปัสสาวะที่ท้ายเรือแล้วตกน้ำตาย” นั้น เป็นประเด็นใหญ่ เป็นประเด็นสำคัญ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่สาเหตุแห่งการเสียชีวิต ที่ฝ่ายคนบนเรือ และฝ่ายจำเลย อ้างมาตลอด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีใครเชื่อในเรื่องต้นเหตุแห่งการเสียชีวิตของแตงโมตามข้ออ้างนี้เลย เพราะการให้การทุกครั้งก็ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะออกสื่อไหน โดยประเด็นครั้งล่าสุดก็คือ
วันที่ 16 มกราคม 2568 ซึ่งนายปอ ตนุภัทร ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พร้อมกับ แซน วิศาพัช เพื่อตอบโต้ การจำลองเหตุการณ์ตกเรือของแตงโมนำโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ และ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ ว่า การจำลองเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นไม่เหมือนจริง 100% เพราะ นายปอบอกว่าตอนแตงโมตกเรือ แตงโมเกาะเรืออยู่ 10 วินาที !?!(ทั้ง ๆ ก่อนหน้านี้ นายปอเคยให้สัมภาษณ์ และให้ปากคำว่าไม่เห็นเหตุการณ์ ไม่รู้เรื่องขณะแตงโมตกน้ำ)
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ถ้าทุกคนเห็นความเร็วของเรือที่วิ่งอยู่ในลำน้ำเจ้าพระยาระหว่างการจำลองเหตุการณ์ คือ แค่หล่นลงไปในน้ำก็ไปไกลจากเรือหลายเมตรแล้ว ไม่มีโอกาสจะเกาะเรือได้ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะกี่วินาทีก็ตาม ยังไม่ต้องพูดถึง 10 วินาทีตามที่นายปอว่า
นี่ยังไม่นับประเด็นข้อพิรุธอื่น ๆ เช่น ในเรือมีห้องน้ำอยู่แล้ว (แม้จะมีของวางเอาไว้), เรือวิ่งด้วยความเร็ว, ชุดบอดี้สูทที่แตงโมใส่ในวันเกิดเหตุ ไม่เอื้ออำนวยให้สามารถนั่งปัสสาวะกลางแม่น้ำเจ้าพระยาได้แต่อย่างใด
รวมไปถึง พื้นที่ Swim Platform คือพื้นที่สีแดงในวงกลมในภาพที่จำเลยบนเรืออ้างว่าแตงโมไปนั่งปัสสาวะ แล้วตกน้ำจังหวะตามหลักฐานที่จำเลยที่ 3 คือ กระติกให้การคือ “คือ มันอ่ะแอบไปฉี่ แล้วบอกเพื่อนว่าอย่าบอกใคร แอบนั่งฉี่ลงน้ำแบบนั้นอ่อ ... จังหวะจะลุกคือพลาดตก”
เรื่องแตงโมเดินไปปัสสาวะด้วยชุดนี้, ณ จุดนี้, ณ เวลาดังกล่าว เล่าให้ใครฟัง จำลองเหตุการณ์ให้ดู 10 รอบ 100 รอบ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครเชื่อ และไม่มีใครคิดว่าเป็นไปได้
แม้แต่ตำรวจที่เชี่ยวชาญในการทำคดีอาชญากรรมมาหลายสิบปีก็ยังยอมรับว่า หนึ่งในประเด็นที่ตำรวจที่ทำคดีนี้ พลาดมากที่สุด ก็คือการไปเชื่อในการให้ปากคำของพยานบนเรือว่า แตงโมตกเรือเพราะ แอบไปปัสสาวะที่ท้ายเรือจนพลาดตกเรือไปเอง !!!
แต่ถ้าใครได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วอย่างละเอียด คงต้องอ้าปากค้าง เพราะเมื่อฝ่ายจำเลย (รวมถึงฝ่ายโจทก์) รู้แล้วว่าการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด (ด้วยการตั้งข้อหาประมาท) มาถึงการกลัดกระดุมเม็ดที่สองก็ผิด (ด้วยการระบุถึงต้นเหตุของการเสียชีวิตว่ามีที่มาจากการที่แตงโมไปแอบปัสสาวะที่ท้ายเรือ)
ก็ยังเดินหน้ากลัดกระดุมผิดต่อ ด้วยการหาพยานแวดล้อมต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนดูแลเรือ, เพื่อนสนิทหลายคน, แม่บ้านรวมถึงคนดูแลงานเพื่อมาเบิกความโดยระบุให้เหมือน ๆ กัน โดยระบุว่าเชื่อว่า แตงโมไปปัสสาวะที่ท้ายเรือจริง ยกตัวอย่างเช่น
- (เพื่อนคนนึง) ให้การว่ารู้จักแตงโมมา 7 ปี ผู้ตายเป็นคนไม่ขี้อาย นิสัยคล้ายผู้ชายและกล้าแสดงออก พยานเคยเห็นผู้ตายเซลฟีตัวเองขณะที่เข้าห้องน้ำ พยานเห็นว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของผู้ตาย พยานรู้จักผู้ตาย และรู้จักอุปนิสัยของผู้ตาย พยานเชื่อว่าผู้ตายไปปัสสาวะท้ายเรือจริง
- (เพื่อนอีกคน) ให้การว่ารู้จักแตงโมมาเป็นเวลา 5 ปี ผู้ตายเป็นคนสนุกสนาน กล้าคิด กล้าทำ กล้าเสี่ยงในสิ่งที่บุคคลอื่นไม่กล้าทำ
- (แม่บ้าน) ให้การว่าดูแลแตงโมมาเป็นเวลา 5 ปี ผู้ตายมีนิสัยคล้ายผู้ชาย กล้าเสี่ยง เช่น กล้าที่จะโหนรถสองแถวที่คนอื่นอาจจะไม่กล้าเสี่ยง, ผู้ตายมีนิสัยไม่ขี้อาย เช่น ขณะที่ผู้ตายทำภารกิจอยู่ในห้องน้ำ ผู้ตายเรียกพยานเข้าไปในห้องน้ำโดยมิได้อาย พยานเคยให้ผู้ตายปัสสาวะโดยไม่ถอดชุด ทั้งที่อยู่ในบ้าน และอยู่นอกบ้าน เช่น ท้ายรถขณะอยู่ในตลาดนัดเปิดท้ายขายของที่จอดอยู่ในตลาดนัด ซึ่งเป็นนิสัยปกติของผู้ตาย
- (พยานอีกคน) ผู้ตายมีนิสัยมีความมั่นใจในตนเอง และชอบทำอะไรด้วยตนเอง ผู้ตายเคยปัสสาวะบริเวณข้างทาง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวไม่มีห้องน้ำแต่เป็นช่วงเวลากลางคืน โดยมีพยานยืนอยู่ใลก้ ๆ กับจุดที่ผู้ตายปัสสาวะ และขณะนั้นผู้ตายสวมกางเกง
- (คนดูแลงาน) ตอบคำถามที่ว่าชุดที่ผู้ตายใส่สามารถปัสสาวะได้หรือไม่? โดยคำพิพากษาเขียนอย่างนี้ครับว่า บุคคลดังกล่าวนี้ เป็นบุคคลใกล้ชิดกับผู้ตาย ย่อมทราบอุปนิสัยของผู้ตายมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่า ผู้ตายกล้าที่จะไปปัสสาวะบริเวณท้ายเรือ !!!!
พยานเกือบทั้งหมด หรือ ทั้งหมดที่บอกว่า “เชื่อว่าน้องแตงโมมีนิสัยมั่นใจ เชื่อว่ากล้าไปปัสสาวะที่ท้ายเรือ” โดยอ้างถึงแต่ความเชื่อของตัวเอง โดยไม่ได้พิจารณาเรื่องปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ, ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์, การให้การที่ขัดกันในหมู่จำเลย ฯลฯ
พวกนี้ไม่ใช่ “พยานจำเลย” คือ ฝั่งแซน กระติก จ๊อบ หรือ ภีม เรียกมาให้การกับศาล แต่เป็น “พยานโจทก์” คือ เป็นพยานของฝั่งพนักงานอัยการ และแม่ของแตงโม ที่โดยปกติวิสัยแล้ว ควรต้องแสวงหาความจริง หาพยาน และหาหลักฐานมามัดตัวจำเลยให้ได้ ไม่ใช่หาพยานและหลักฐาน มาให้การช่วยเหลือจำเลยอย่างนี้
พยานหลายคนที่ให้การในศาลนั้น ที่ผ่าน ๆ มาหลายปีออกสื่อ ให้สัมภาษณ์ ล้วนสร้างภาพ โดยอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิท รู้จักแตงโมมานาน รู้สึกรัก รู้สึกอาลัย และคิดถึงน้องแตงโม อยากให้แตงโมได้รับความยุติธรรมทั้งสิ้น ... !!!
ด้วยปัจจัย และการดันทุรังกลัดกระดุมผิด ๆ ที่มีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการเหล่านี้นี่เองโดยเป็นการสอดประสานกันระหว่างจำเลย ตำรวจ และอัยการ ที่ทำให้ท่านผู้พิพากษาของศาลนนทบุรี ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากพิพากษา ยกฟ้องจำเลย 3 คน จาก 4 คน คือ“แซน” วิศาพัช , “กระติก” อิจศรินทร์ และ“ภีม” หรือ เอ็ม ธรรมธีรศรี
และลงโทษในข้อหาจิ๊บจ๊อย คือ ลงโทษเกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 เรื่อง ห้ามมิให้ผู้ใดเททิ้งหรือทำด้วยประการใด ๆ ในการนำสิ่งใด ๆ ลงแม่น้ำลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ที่“จ๊อบ” หรือ นายนิทัศน์ จำเลยที่ 2 มีความผิดเพียงคนเดียว
ในเมื่อโจทก์ฟ้องแบบนี้ คำพิพากษาจึงเป็นแบบนี้ ซึ่งการจะหาถามถึงความรับผิดชอบ ก็คือ การต้องกลับไปถามคนที่ตั้งเรื่องฟ้องว่าตั้งข้อหานี้ได้อย่างไร ?
ซึ่งถ้าได้อ่านคำพิพากษาในหน้าที่ 15 ก็จะเข้าใจแจ่มแจ้ง เพราะผู้พิพากษาบันทึกเอาไว้ว่า “ระหว่างพิจารณานางภนิดา ศิรยุทธโยธิน หรือคุณแม่แตงโมซึ่งเป็นผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย(ซึ่งเป็นโทษข้อหาหนักสุด) ศาลอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอบังคับจำเลยทั้ง 4 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 179 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยทั้ง 4 กระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ”
“ถ้าอ่านตามตัวอักษร ผมถามฝ่ายโจทก์หน่อย และถามคุณแม่แตงโมด้วย ทั้งหมดนี้คุณหวังผลลัพธ์ คุณต้องการแค่เงินใช่หรือเปล่า ส่วนสุดท้ายของคำพิพากษาจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ ไม่สน เอาแค่ข้อหาประมาท แล้วตัดทิ้งสิ่งที่พวกเราตั้งคำถาม คือการเสียชีวิตของแตงโมอย่างมีพิรุธ เป็นเงื่อนงำเป็นสิบๆ ข้ออย่างไรก็ตามนั้น โจทก์ไม่สน ด้วยเหตุทั้งโจทก์และจำเลย ทั้งคู่ ประสงค์จะเห็นพ้องว่าแตงโมปัสสาวะท้ายเรือตก โดยใบพัดเรือพัดเสียชีวิต และคงมีการจ่ายเงินลับหลังกันอีกเยอะพอสมควร เพื่อไม่ให้โจทก์ร่วมนั้นต่อสู้ในกรณีที่น้องแตงโมถูกฆาตกรรม
“สรุป ท่านผู้ชมครับ ถ้าพูดถึงสถานะของการเป็น “คนรู้จัก” กับแตงโม ผมน่าจะรู้จักกับแตงโมมาก่อนจำเลย หรือ พยานในคดีนี้เกือบทุกคน ผมรู้จักตั้งแต่รุ่นพ่อแตงโม คือ คุณโสภณ พัชรวีระพงษ์ ซึ่งเคยเป็นลูกน้องเก่าผม และอย่างที่ผมเคยเล่าว่าผมเคยเห็นแตงโมตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ อยู่กับพ่อสองคน
“นี่คือความรู้จัก แต่ถ้าพูดถึงคำว่าสนิท ผมไม่กล้าพูดว่าผมสนิทกับแตงโม เพราะแตงโมเป็นรุ่นลูก รุ่นหลานเขาแล้ว ผมก็ได้แต่มองดูเมื่อเขาประสบความสำเร็จ และร่วมแสดงความเห็นใจ และเสียใจเมื่อเขาผิดหวัง หรือ ประสบความสูญเสียใด ๆ ไม่ต่างจากประชาชนทั่วไปที่เคยติดตามผลงาน หรือ เคยชื่นชมการทำงานของน้องแตงโม
“ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องราว มีภารกิจมีประเด็นปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมืองเต็มไปหมด ให้ผม สนธิ ลิ้มทองกุล, อ.ปานเทพ กับทีมงานค้นหาความจริง ค้นหาความยุติธรรมเต็มไปหมด แต่เราก็มิอาจทอดทิ้งการแสวงหาข้อเท็จจริง แสวงหาความจริงที่มีหนึ่งเดียวเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของ “น้องแตงโม” เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ได้
“คดีแตงโมนั้นเป็นมากกว่าแค่ “คดีแตงโม” ... มันยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะ สิ่งที่เราสงสัยเกิดขึ้นตั้งแต่การตั้งต้นคดีว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ บิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพื่อช่วยใครหรือไม่? ใครเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คดีนี้? ใครเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานในคดีนี้? ใครเป็นแพทย์นิติเวช? ใครเป็นทนาย? ใครเป็นอัยการ?
“คุณรับได้หรือว่าทำคดีแล้วมีพิรุธมากมายขนาดนี้ สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนี้ จนบางคดีเมื่อส่งฟ้องศาลแล้วถูกยกฟ้อง การที่ศาลยกฟ้อง กลับมีบางคนที่โง่เขลาโยนขี้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของพวกผม หรือจริง ๆ แล้ว พวกผมต้องถามกลับว่า ที่ศาลยกฟ้องนั้น สาเหตุจริง ๆ ก็มาจากความทุเรศทุรังของพวกทนาย อัยการและตำรวจ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของกระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้กันแน่ ?
“พวกผม กำลังตั้งคำถามว่า “แล้วใครบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม?” หรือ “บิดเรื่องราวให้กลายเป็นคดีประมาทแบบนี้ ?” เพราะ เมื่อทั้งโจทก์ และจำเลย เห็นพ้องกันเช่นนี้ก็ ไม่มีใครตั้งข้อสงสัย ไม่มีใครต้องการหาความจริงจากข้อพิรุธ ไม่มีใครพิสูจน์บาดแผล เพราะเห็นพ้องต้องกันหมดว่าเกิดจากใบพัดเรือ ตกน้ำใส่ชุดแบบนี้ ไม่มีคำถาม ไม่มีคำถามซักค้านอย่างอื่นว่าผิดปกติ ต้องเป็นเรื่องของคู่ความต่อสู้ในชั้นศาล ศาลตัดสินอย่างอื่นไม่ได้ เพราะทำตามการต่อสู้ของโจทก์และจำเลย
“สิ่งที่พวกเราทำก็คือ การแสวงหาว่า ฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วม “บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม” สมรู้ร่วมคิด ทำให้คดีอ่อนหรือไม่ ? ดังนั้นเมื่อคดีนี้ศาลยกฟ้อง ก็ยิ่งยืนยันว่าคำพิพากษานี้ สิ่งที่ผม อ.ปานเทพ และพวกเราตั้งข้อสงสัย และเดินมาเพื่อค้นหาความจริงนั้นถูกต้องแล้วใช่หรือไม่?
“คำพิพากษาของศาลนนทบุรีเมื่อวันศุกร์ที่แล้วนั้นเหมือนเป็นตอนจบตอนของ ภาคที่ 1 ของคดีน้องแตงโมเท่านั้นครับ ส่วน ภาคที่ 2 ของคดีน้องแตงโม นั้นเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
“ปลายทางของสิ่งที่พวกผมค้นหาไม่ใช่ข้อเท็จจริงเฉพาะของคดีน้องแตงโมนะครับ แต่เป็นการค้นหาความยุติธรรม ระบบยุติธรรมที่ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมกับผู้คนทุกคน ทุกระดับในประเทศไทย พวกผมสู้ไม่ถอย และจะไปสุดซอยอย่างแน่นอน” นายสนธิกล่าว