จากกรณีแม่น้องข้าวหอมเข้าใจผิดว่าลูกเป็นธาลัสซีเมียรุนแรงจากการแพ้วัคซีน ผู้เชี่ยวชาญชี้ชัดอาการเพิ่งปรากฏวัย 4 ขวบ เป็นผลจากฮีโมโกลบินเปลี่ยนชนิดตามพัฒนาการ ไม่เกี่ยววัคซีน พร้อมเตือนภัยกลุ่มผู้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ชวนคนกิน "CDS" สารเคมีอันตรายถึงชีวิต อ้างล้างพิษวัคซีน เสี่ยงทำลายสุขภาพร้ายแรงถึงชีวิตเด็ก!
จากกรณี เพจ “Remrin” ได้ออกมาโพสต์ข้อความในประเด็นของแม่ของน้องข้าวหอมเข้าใจผิดว่าอาการธาลัสซีเมียรุนแรงของลูกวัย 4 ขวบ เกิดจากการแพ้วัคซีน ได้สร้างความกังวลและข้อสงสัยในหมู่ผู้ปกครองหลายท่าน ท่ามกลางความเข้าใจผิดดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการที่เพิ่งปรากฏในวัย 4 ขวบ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด
สำหรับกรณีน้องข้าวหอมที่น่าจะเป็นภาวะธาลัสซีเมียชนิดเบต้า (Beta-thalassemia) ซึ่งมีความผิดปกติของสายโปรตีนเบต้า (β-globin) ในช่วงแรกเกิดนั้น น้องจึงไม่ได้รับผลกระทบจากความผิดปกตินี้โดยตรง เนื่องจาก HbF ซึ่งเป็นฮีโมโกลบินหลักในวัยทารก ไม่ได้มี β-globin เป็นส่วนประกอบ
แต่เมื่อน้องเริ่มโตขึ้นและร่างกายเปลี่ยนมาผลิต HbA ซึ่งต้องใช้ β-globin เป็นส่วนประกอบ การขาด β-globin จึงเริ่มส่งผลกระทบอย่างเต็มที่ ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก แตกง่าย และมีอายุสั้นกว่าปกติ อาการที่แสดงออก และสาเหตุของการแสดงอาการช้าในบางราย
การที่น้องข้าวหอมเพิ่งมามีอาการรุนแรงเมื่ออายุ 4 ขวบนั้น สันนิษฐานว่าน้องอาจมีภาวะ beta-thalassemia ร่วมกับ hemoglobin E (HbE) ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในประเทศไทย การรวมกันของยีนผิดปกติสองชนิดนี้จะทำให้ความรุนแรงของอาการน้อยกว่าภาวะ beta-thalassemia เพียงอย่างเดียว จึงอาจทำให้แสดงอาการช้ากว่าปกติเมื่อร่างกายได้รับผลกระทบจากการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไม่เพียงพอ ไขกระดูกจะทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตเม็ดเลือดแดงให้มากขึ้น แต่เมื่อไม่สามารถชดเชยได้เพียงพอ อวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ม้าม และแม้กระทั่งกระดูก ก็จะพยายามเข้ามาช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มเติมในกระบวนการที่เรียกว่า "extramedullary hematopoiesis" การทำงานหนักเกินไปของอวัยวะเหล่านี้ส่งผลให้ กระดูกบวมปูด โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ทำให้เกิดลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า "thalassemic face" หรือ "chipmunk facies"
ตับและม้ามโต เกิดจากการที่อวัยวะเหล่านี้ทำงานหนักในการสร้างและทำลายเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติ
หากตับและม้ามโตมากจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ น้องอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดม้ามออกในอนาคต
ดังนั้น การที่น้องข้าวหอมมีอาการธาลัสซีเมียรุนแรงเมื่ออายุ 4 ขวบ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของชนิดฮีโมโกลบินในร่างกายตามพัฒนาการ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการแพ้วัคซีนแต่อย่างใด ผู้ปกครองจึงควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อรับมือกับโรคได้อย่างถูกต้อง และไม่ควรหลงเชื่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อน
ต่อมา พบว่ามีผู้ใช้เซฟบุ๊กรายหนึ่ง แชร์โพสต์ดังกล่าวออกไป พร้อมกับระบุข้อความว่า
"รู้มั้ยว่าที่ไทยและต่างประเทศทั่วโลกมีคนที่มีอาการแบบนี้หลังรับวัคซวยควายขวดเต็มไปหมดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยก่อนที่จะรับวัคซวยทุกคนแข็งแรงดี (ในกรณีนี้พ่อแม่อาจได้รับวัคซวยควายขวดตอนก่อนตั้งท้องน้อง จึงกระทบเด็ก หรือเด็กก็มีสิทธิได้รับผลกระทบจากวัคซวยพื้นฐานนี่แหละ)
เราเตือนมาเป็นปีๆ เตือนก่อนมีวัคซวยเข็มแรกอีก เรารู้ได้ยังงัยล่ะว่ามันจะเกิด ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เราขี้เกียจเตือนแล้ว หากพวกคุณที่เชื่อหมอ ด่าทอพวกเรามาตลอดมีอาการป่วยหนักขึ้นมาก็ไปให้หมอรักษาชนะ อย่าได้แหกหน้ามาหากลุ่มพวกเราที่กิน CDเอสที่หมอเรียกว่าน้ำยาฟอกขาว ยาถ่ายพยาธิ เลยเชียว ดูซิหมอจะรักษาพวกมึงได้มั้ย จาดง่าว"
ล่าสุด วันนี้ ( 30 พ.ค.) ทางเพจ “Remrin” ได้ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอีกครั้ง โดยได้ระบุข้อความว่า
“มีหลุดมาแชร์ด้วยแหะ สงสารเด็กน้อยในรูปเลย ไม่รู้เจออะไรบ้าง
ไม่ฉีดวัคซีนก็อีกเรื่อง แต่ที่อันตรายที่สุด คือสนับสนุนการดื่ม CDS เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ ถ้าเปรียบเทียบ ก็ไม่ต่างกับการกินน้ำยาล้างห้องน้ำชนิดอ่อน ๆ เลยนะ แค่มันไม่ได้แรงจนมีอาการทันที แต่ค่อย ๆ สะสมเท่านั้นเอง
ไอคนเสนอ CDS คนแรก ก็เหมือนไม่ได้จบด้านสาธารณสุขหรือวิทยาศาสตร์ด้วยมั้ง แต่จู่ ๆ ดันมีคนเชื่อ จนออกมาเสนอทฤษฎีจนไปกันใหญ่ ไอคนคิดคนแรกน่าจะยังงงด้วยมั้ง ว่ามาถึงจุดนี้ได้ไง
อ่อ พวกนี้ไม่ได้แค่กิน CDS นะ ยังกินพวก ivermectin (ยาถ่ายพยาธิ ที่เวลาใช้ต้องระวังผลข้างเคียงมาก ๆ หมอต้องคอยติดตามอาการหลังให้ยานี้) กิน Botox ด้วย แต่ละตัวนี่สยองมาก”