รายงานพิเศษ
“ความเห็นผมนะ กรดที่เจอในโรงงานเอกอุทัย เป็นกรดที่รีไซเคิลไม่ได้ เพราะมันใช้งานมาจนเต็มสภาพแล้ว กรดที่รีไซเคิลได้จริงๆ มันต้องเป็นกรดแบบเฉพาะเจาะจงบางตัว และมีโรงงานเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ทำได้”
มนต์ชัย พูนภักดี Managing Director บริษัท ทีเออาร์เอฟ จำกัด ซึ่งเป็นเอกชนที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอให้มารับจัดการกับของเสียอันตรายในโรงงานรีไซเคิล “บริษัท เอกอุทัย จำกัด” ที่ ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ระหว่างเข้าสำรวจโรงงานรีไซเคิลรายใหญ่ที่ถูกสั่งปิด เพราะมีหลักฐานเชื่อมโยงว่าเป็นต้นทางของการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม ด้วยการรับของเสียอันตรายประเภท “กรด” จำนวนมากมารีไซเคิล แต่ไม่ได้รีไซเคิลจริง และนำของเสียปริมาณมหาศาลไปลักลอบทิ้งไว้ในโรงงานและโกดังอื่นรวมอย่างน้อย 6 แห่ง
นอกจากจะใช้โรงงานแห่งนี้เป็นที่ลักลอบทิ้งและฝังกลบแล้ว ยังมีหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่าทีทั้งกรดและของเสียอันตรายชนิดอื่นจากโรงงานเอกอุทัย ต.สามบัณฑิต ถูกกระจายไปทิ้งและลักลอบฝังอยู่ที่ โกดัง 2 หลัง บริษัท ซันเทค และโกดังอีก 5 หลัง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา, บ่อฝังกลบของเอกอุทัย สาขา อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์, โรงงานเอกอุทัย ที่กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และโรงงานวิน โพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
แม้ชื่อของ “เอกอุทัย” จะตกเป็นข่าวใหญ่ต่อเนื่องมาหลายปีในฐานะโรงงานที่ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม โรงงานทุกสาขาถูกสั่งปิด ถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา เจ้าของโรงงานถูกตัดสินจำคุกและเสียชีวิตในเรือนจำ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม นำสื่อมวลชนและมูลนิธิบูรณะนิเวศ เข้ามาตรวจสอบสภาพที่แท้จริงในโรงงาน หลังได้รับการจัดการให้ลดความอันตรายไปแล้วโดยบริษัท ทีเออาร์เอฟ จำกัด
โรงงาน “เอกอุทัย” ที่ อยุธยา มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 105 คัดแยกขยะ และ 106 รีไซเคิล
ใบอนุญาต 106 นี่เอง เป็นต้นทางที่ทำให้โรงงานนี้ใช้เป็นใบเบิกทางในการรับกรดมารีไซเคิลได้อย่างถูกต้องตามกระบวนการทางเอกสาร แม้ว่าเมื่อเข้ามาพิสูจน์แล้วจะพบข้อเท็จจริงหลายประการที่บ่งบอกว่า “ผิดปกติ” คือ กรดทั้งหมดที่อยู่ในโรงงาน เป็นกรดที่ถูกใช้งานไปจนไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้แล้ว เครื่องจักรในโรงงานอาจไม่มีศักยภาพรีไซเคิลกรดได้จริง ไม่ถูกใช้งานมานานมากแล้ว เดินเครื่องไม่ได้ ไม่ได้ต่อสายไฟด้วยซ้ำ ... แต่เอกอุทัย ก็ดำเนินกิจการมายาวนานหลายปี
“กรดที่เราเจอในโรงงานเอกอุทัยเป็นกรดที่ค่อนข้างเข้มข้น ความหนาแน่นประมาณ 1.7-1.8 คือ เต็มข้อของมันแล้ว อาจจะไปกัดเซาะชิ้นงานหรือล้างผิวมาก่อน ใช้มาหนักมากซ้ำแล้วซ้ำอีกจนรีไซเคิลยากแล้ว ถึงจะเอาไปรีไซเคิลจริงมันก็ไม่คุ้ม เท่าที่รู้มีอยู่ไม่กี่โรงงานในไทยที่รีไซเคิลกรดได้จริงแบบเป็นเรื่องเป็นราว เป็นกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงเลย”
“ส่วนเครื่องมือที่เห็นในโรงงานเอกอุทัย ผมเห็นเป็นถังไม่กี่ใบ ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปใช้งานได้ยังไง เห็นแล้วไม่สามารถอธิบายกระบวนการทำงานของมันได้” มนต์ชัย ย้ำถึงความผิดปกติ
เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมยืนยันเช่นกันว่า เครื่องจักรที่พบในโรงงาน ไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานเพื่อรีไซเคิลกรดได้
วริทธิ์ สมทรง ผู้อำนวยการกลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 1 กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่เข้ามาตรวจสอบและดำเนินคดีกับบริษัทเอกอุทัยอย่างจริงจังในช่วงหลัง บอกว่า วันที่ลงมาตรวจและขอให้คนงานเดินเครื่องจักรให้ดู ปรากฎว่า เปิดเครื่องไม่ได้ เพราะไฟไม่มี เครื่องสนิมเขรอะ ใช้ไม่ได้จริง จึงสรุปเบื้องต้นได้ว่า โรงงานเอกอุทัยไม่ได้รีไซเคิลจริงตามที่แจ้งขอประกอบการ แต่ก็ยังยากที่จะสรุปว่า ในช่วงที่แจ้งขอประกอบกิจการใหม่ๆ เครื่องจักรเหล่านี้เคยใช้งานได้มาก่อนหรือไม่
“การติดตั้งเครื่องจักร อาจจะเป็นไปตามแบบที่เขาขออนุญาต ซึ่งตอนมาตรวจในช่วงที่แจ้งประกอบกิจการ เครื่องจักรอาจจะดำเนินการได้ตามที่เขาขออนุญาตไว้ แต่วันที่เรามาตรวจในช่วงหลัง เราพบว่า เครื่องจักรเหล่านี้ประกอบกิจการไม่ได้จริงๆ ไม่น่าจะดำเนินการรับของเหล่านี้มากำจัดได้จริง และมันก็สะท้อนผ่านพฤติกรรมที่เขาลักลอบนำไปทิ้งตามที่ต่างๆ” วริทธิ์ ย้ำให้เห็นภาพชัดว่า เอกอุทัย รับกรดเข้ามาโดยไม่มีเจตนาที่จะรีไซเคิลจริงๆ
และจากการตรวจสอบเท่าที่พบในระบบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า บริษัท เอกอุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา มีข้อมูลการรับสารเคมีประเภท “กรด” เข้ามาในโรงงาน เพื่อนำไปกำจัดด้วยวิธี “รีไซเคิล” ตั้งแต่ปี 2558 มาจนถึงช่วงที่โรงงานถูกสั่งปิดเมื่อปี 2566 รวมเป็นปริมาณ 89,700 ตัน ซึ่งในวงการรับกำจัดของเสียรู้กันดีว่า เอกอุทัย เป็นบริษัทที่รับซื้อ “กรด” ไปในราคาที่ถูกมาก เขารับซื้อไปราคาต่ำที่สุดแค่ตันละ 1,800 บาทเท่านั้น หรืออย่างมากก็ไม่เกินตันละ 2,200 บาท ... ทั้งที่ในการจะกำจัดกรดมีต้นทุนสูง จึงมีราคาตลาดที่รับกำจัดกันต่ำที่สุด ไม่น้อยกว่าตันละ 10,000 บาท หมายความว่า เอกอุทัย รับกำจัด “กรด” ในราคาที่ต่ำกว่าเข้าอื่นถึงประมาณตันละ 8,000 บาท
ได้รับอนุญาตให้รับกรดมารีไซเคิลในปริมาณมหาศาล ทั้งที่สามารถตรวจสอบได้ไม่ยากว่า เอกอุทัย .... ไม่เคยมีความสามารถในการรีไซเคิลกรดได้จริง ... นี่เป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขในเชิงระบบอย่างเร่งด่วน
บทเรียนการรับ “กรด” ผ่านใบอนุญาต “รีไซเคิล” จากเอกอุทัย ทำให้เกิดเป็นแนวคิดในกลุ่มคนที่ทำงานแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังถึงแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดโรงงานรีไซเคิลที่จะทำเช่นนี้ได้อีกในอนาคต นั่นคือ อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการออกใบอนุญาตโรงงานรีไซเคิล (106) จากเดิมที่เป็นใบอนุญาตครอบจักรวาล สามารถรับวัสดุอะไรมารีไซเคิลก็ได้ จะต้องปรับเปลี่ยนเป็นการกำหนดประเภทของการรีไซเคิลแบบเฉพาะเจาะจงให้รับได้ตามศักยภาพของเครื่องจักรที่โรงงานมีเท่านั้น