ไม่เพียงสีเขียวจากแร่ Malachite ที่ส่องสะท้อนเนื้อสีอันเด่นชัด ให้สัมผัสพิเศษจากเรือนกายของพระอินทร์ หรือประกายระยิบจากทองคำเปลวที่สาดทอรัศมีอาบร่างกระต่ายและนกยูงรำแพนหางในงานเต้นรำใต้สุริยุปราคา
แว่นขยายที่จัดวางไว้ให้ผู้ชมได้หยิบดูรายละเอียดของภาพยังมอบประสบการณ์สุดพิเศษด้วยนัยความหมายอีกมากมายที่แฝงเร้น
เฝ้ารอการตีความอันหลากหลายหรือชมเพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจก็อิ่มเอมไม่แพ้กัน
กระนั้นก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธ ว่าการเสียดสีสังคมอย่างมีชั้นเชิง เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของศิลปินผู้นี้
ช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ จัดอิเคบานะอย่างเพลิดเพลิน ภูมิทัศน์ด้านหลังคือภูเขาไฟฟูจิที่เด่นตระหง่าน ส่วนพระอินทร์นั้นเล่า แม้พรมที่รองนั่งจะลุกเป็นไฟซึ่งสะท้อนถึงความเดือนร้อนของมนุษยโลก พระอินทร์ก็หาได้ระคายไม่ ยังคงชงชามัทฉะอย่างสำราญใจ
ทว่า ภาพ ‘อินทร์ เจแปน’ หรือ ‘Indra escape holiday in Japan’ ยังมีอะไรมากกว่านั้น
“มันเหมือนกับการไปเที่ยวของผู้นำ (หัวเราะ ) ซึ่งพูดถึงหลาย Layer เช่น คนไทยนิยมไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะชนชั้นสูงก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นประจำ ถ้าสังเกตดูดีๆ มันก็คือการหนีปัญหาแบบสวยๆ ถ้าพูดโดยรวม ตรงพรมก็จะเป็นไฟ ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า พระที่นั่งของพระอินทร์ ถ้ามีไฟก็คือยังมีปัญหา…”
ขณะที่ภาพ SUN & MOON DANCE งานเต้นรำใต้สุริยุปราคา ก็มีนัยสะท้อนถึงการเฉลิมฉลองให้แก่กฎหมายสมรสเท่าเทียม ความสวยงามของความรักที่ไร้ขอบเขต ความรักของศิลปินที่เปรียบตัวเองเป็นกระต่ายและคู่รัก LGBTเป็นนกยูงที่แสนสวยงาม
ภาพจุลศิลป์หรือศิลปะขนาดเล็กนี้ จึงไม่เพียงเปี่ยมด้วยรายละเอียดและความสวยงามที่พินิจได้ไม่รู้เบื่อหากยังแฝงประเด็นทางสังคมให้ตีความได้อย่างกว้างไกล
ผู้จัดการออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ ‘เสมา-สุบรรณกริช ไกรคุ้ม’ ศิลปินสไตล์ Miniature art หรือภาพศิลปะจุลศิลป์
ถึงกระบวนการทำงาน, การทำกระยารงค์หรือสีจากธรรมชาติที่ทำด้วยตัวเองเพื่อนำมาใช้ในผลงานแต่ละชิ้น,
นัยความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ในภาพ ภายใต้ความงามโดดเด่นสะดุดตา, เอกลักษณ์สำคัญที่ปรากฏชัดในเนื้องาน
รวมถึงความมุ่งหวังตั้งใจบนหนทางศิลปินที่ก้าวย่าง
ทั้งหลายทั้งปวงปรากฏในถ้อยคำนับจากนี้
Miniature art : งานจุลศิลป์
ถามถึงนิยามความหมายของงานจุลศิลป์
เสมาตอบว่า ก่อนเรียกชื่อไทยว่าจุลศิลป์ เขารีเสิร์ชสิ่งที่เรียกว่า งาน Miniature art ( งานศิลปะขนาดเล็ก )
“เราจะเห็น Miniature art ได้บ่อยๆ ในงานเปอร์เซียนอาร์ต งานญี่ปุ่น งานฝั่งตะวันตก งานยุคกลาง ผมก็เลยเอามาแมตช์กับงานไทย ซึ่งสำหรับผม งานไทยมันก็เป็นจุลศิลป์อยู่แล้ว แต่มันถูกวาดใน Space ใหญ่ เลยยังไม่ถูก Scope ว่าเป็นจุลศิลป์”
“ผมก็เลยเอามาทำเป็นงานอาร์ตของเรา จุลศิลป์ของผมจึงเป็นงาน Painting ที่มีครบจบในหนึ่งเดียว ในไซส์ที่ไม่ถึงฟุต หรือฟุตหน่อยๆ แต่ยังมีเนื้อหา แล้วก็องค์ประกอบทุกอย่างครบเหมือน Painting ชิ้นใหญ่ และที่พิเศษของมันคือ ความจุลศิลป์ ความ Miniature art มันจะมีบาง Detail ที่บางทีด้วยตาเปล่าอาจจะมองไม่เห็น เป็นความพิเศษกว่างาน Painting ชิ้นใหญ่ครับ”
บนเส้นทางที่เลือกเดิน
ขอให้ช่วยเล่าเส้นทางการทำงานศิลปะที่ผ่านมา กระทั่งค้นพบแนวทางของตัวเองคือ Miniature art หรือภาพจุลศิลป์
เสมาตอบว่า “ด้วยความเป็นคนโคราช เราไม่ได้มีแกลเลอรี่ หรือมีวัดให้ไปเสพงานเหมือนในกรุงเทพ เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการฝึกวาดด้วยตัวเอง จากการซื้อหนังสือจากที่คลังเก่า (หมายเหตุ : ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่ชาวโคราชรู้จักกันดี) แล้วก็มาฝึกวาดตามแบบถูกๆ ผิดๆ งูๆ ปลาๆ เพราะว่าเราเรียนสายสามัญด้วย อาร์ตก็ไม่เข้มข้น เราแทบไม่รู้อะไรเลย แต่เรารู้ว่าเราชอบทางนี้จริงๆ”
จากนั้นเสมาก็ได้ประกวดบ้าง ได้รางวัลบ้าง จึงตั้งใจจริงจังต่อกับการเรียนสายนี้ จึงยื่น Portfolio เพื่อเข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
“เมื่อมาเรียนจิตรกรรม ผมเองชอบลายไทยตั้งแต่เด็ก จึงไม่ยากที่เราจะเลือกเรียนศิลปะไทย ซึ่งวิชาศิลปะไทยที่ส่งผลถึงผมในปัจจุบันก็คือวิชาคัดลอก เหมือนเราได้ไปเห็นจิตรกรรมฝาผนังวัดดังๆ วัดต่างๆ เช่นวัดช่องนนทรี วัดสุวรรณารามฯ วัดสุทัศน์ฯ วัดพระแก้ว เรารู้สึกว่าสิ่งพวกนี้ ‘ว้าว!’ มากสำหรับเรา แล้วเราจะทำอะไร ทำยังไงให้กระบวนการเก่าๆ เหล่านี้ เราจะดันบาร์มันยังไงให้ไปถึงงานศิลปะสมัยใหม่ได้เลย โดยที่ยังเป็นอะไรที่ยังมีกลิ่นอายประมาณนี้” เสมาระบุ
คารวะสกุลช่างโบราณ
ถามว่างานศิลปะของคุณ นับเป็นการคารวะสกุลช่างโบราณด้วยหรือไม่
เสมาตอบว่า “จริงๆ ก็คารวะ ก็คือการเคารพอยู่แล้วครับ สำหรับผมมันก็คือการอนุรักษ์อย่างนึง คือการเอาภูมิปัญญาเดิมมาต่อยอดให้เป็นงานสมัยใหม่ เพราะเรารู้สึกว่างานที่เขาทำไว้อยู่แล้ว ถ้าเราไปลอกเลียนแบบมาแล้วเราไม่ได้ต่อยอดอะไร ก็เหมือนเป็นการหยุดเวลาไว้ แต่ว่าการที่เราเอางานมาคิดสร้างสรรค์ต่อ ผมว่า นั่นแหละ คือการเคารพภูมิปัญญาที่เรามี”
“ผมว่าจริงๆ จิตรกรรมไทยในแต่ละยุคสมัย ที่ครูช่างโบราณเค้าวาดไว้ในแต่ละวัด ด้วยโครงเรื่องอาจเป็นพุทธประวัติ หรือชาดกต่างๆ แต่จริงๆ ศิลปินทุกคนแอบสอดแทรกเรื่องความคิดส่วนตัวหรือเรื่องวิถีชีวิตในแต่ละยุคสมัย หรือภาพเขียนสีในยุคต่างๆ มันถูกสอดแทรกไว้ในโครงเรื่องที่เป็นโครงเรื่องใหญ่ อาจเป็น Detail เล็กๆ ที่คนอาจจะมองข้ามไป ผมเลยคิดว่าจิตรกรรมไทยมีหน้าที่สะท้อนความเป็นไทยในแต่ละยุคสมัย”
ยั่วล้อ เสียดสีสังคมอย่างมีชั้นเชิง
อดถามไม่ได้ว่า สิ่งหนึ่งที่คนเห็นจากงานของคุณคือ การเสียดสีสังคม การยั่วล้อสถานการณ์ กระแสต่างๆ นับเป็นเอกลักษณ์สำคัญในงานของคุณไหม
เสมาตอบว่า “เรียกว่าน่าจะพบได้เกือบทุกชิ้น ส่วนตัวผมทำงานจากปัญหาเป็นหลัก โดยจะพูดถึงปัญหาที่กระทบกับตัวเองก่อน แล้วจึงเป็นปัญหาเล็กๆ ในระดับชาติหรือในระดับโลก ก็แล้วแต่เราสนใจประเด็นในแต่ละเรื่อง”
“เช่น ประเด็นเรื่องฝุ่น PM มันก็เริ่มมาจากที่เรา มองไปที่หน้าต่างแล้วเราเห็นฝุ่นเต็มไปหมดเลย จากที่ในปีก่อนๆ หรือที่เราอยู่ในประเทศไทยมา มันไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เราก็บันทึกประวัติศาสตร์ มันคือสิ่งปกติที่ศิลปินทำกัน แต่สำหรับเรา เมื่อเราได้ต้นเรื่องแล้ว เราอาจจะขยายยังไงให้มันเป็นสเกลใหญ่จนคนสนใจ เรื่องแบบวิถีชีวิตประจำวัน การชอบกินกาแฟ เราก็ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แบบใหญ่ระดับจักรวาลไปเลย (หัวเราะ)”
ความ ‘ทวิลักษณ์’ และ 'Appropriation Art' อีกเอกลักษณ์สำคัญ
เช่นนั้นแล้วเอกลักษณ์ในงานของคุณยังมีอะไรอีกบ้าง
เสมาตอบว่า “เอกลักษณ์เหรอครับ จริงๆ ถ้ารวมๆ ผมชอบสร้างโลกอุดมคติ ที่ไม่อุดมคติ เพราะว่าผมมักจะใช้ความอุดมคติแทนบางสิ่งบางอย่างเสมอ เทวดา แต่ละองค์ผมไม่ได้วาดเพื่อแทนเป็นเทวดาองค์นั้น แต่ว่าผมใช้การเปรียบเทียบกับหน้าที่นั้น หรือคนในชีวิตจริงๆ สัญลักษณ์ต่างๆ ในไตรภูมิหรือสัญลักษณ์ทางศิลปะที่หยิบมาใช้ มันก็ล้วนเอามาประกอบสร้างเพื่อพูดถึงปัญหาหรือพูดถึง Content ต่างๆ ที่ผมต้องการจะนำเสนอไป”
“แล้วงานผมถ้าดูดีๆ หลายๆ คนชอบบอกว่า ทำงานศิลปะเหมือนทำยำ
(หัวเราะ) ก็คือหยิบนู่นหยิบนี่ใส่เข้ามาหมด เหมือน Appropriation Art ‘ศิลปะแห่งการหยิบยืม’ เหมือนเราจะเก็ตบางอย่างในภาพได้เลย เช่นภาพมีม ภาพที่สำเร็จรูป ภาพสิ่งต่างๆ ที่จะดึงความรู้สึกเราออกมาได้ทันที”
อีกสิ่งหนึ่งคือความ Contrast ผมใช้สิ่งนี้บ่อยมากในงาน เรื่อง Pop culture อยู่คู่กับ culture เดิม เรื่องของเทคโนโลยีกับความเก่า เรื่องของ ความใหม่-ความเก่า ความศักดิ์สิทธิ์-ความธรรมดา มันจะอยู่คู่กันตลอดเวลาด้วยรูปแบบที่เป็นไทยประเพณีครับ” เสมาบอกเล่าได้อย่างเห็นภาพ
ทำกระยารงค์ด้วยตัวเอง
อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ถามคงไม่ได้ ทราบว่าคุณทำกระยารงค์หรือสีด้วยตัวเอง มันช่วยให้งานมีความพิเศษขึ้นอย่างไรบ้าง
เสมาตอบว่า “กระยารงค์เป็นคำที่ผมไม่ได้ยินมาสักพักแล้ว กระยาก็คือน้ำหรือการทำยา ‘รงค์’ก็คือสี ถ้าแปลเป็นสมัยนี้มันก็คือการทำสีนั่นแหละครับ ผมคิดว่า สำหรับกระยารงค์ ในเชิงกายภาพ ถ้าสังเกตจะพบว่ามันมี Effect บางอย่างที่ไม่เหมือนสีโปสเตอร์ ไม่เหมือนสีฝุ่นปกติหรือสีอะคริลิก ถ้าส่องดูดีๆ มันจะมี Pigment ของที่มาของมันแต่ละแร่"
"เช่นสีแดงจากชาด ก็จะมีประกายระยิบระยับ Malachite ที่วาดพระอินทร์ก็จะมี Effect ที่สีสังเคราะห์หรือสีในอุตสาหกรรมยังไงก็ไม่มีวันทำได้ แล้วด้วยสิ่งนี้ ในเชิง Spirit มันไม่สามารถอธิบายเป็นรูปธรรมได้ เพราะว่าในความรู้สึกของมนุษย์ โดย Common sense เราจะรู้สึกว่ามันเก่าหรือศักดิ์สิทธิ์ทันที จากตัวสี ตัว Process ที่สร้างขึ้นมา ก็เป็นการพูดถึงความเก่าได้ดีด้วยตัวเทคนิคเอง และด้วยตัวเทคนิคนี้มันสามารถพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ โดยเอาสิ่งต่างๆ ที่พ่วงกับแนวความคิดเรามาทำสีได้ เช่น ผมเอาฝุ่นมาทำ หรือผมเอาขี้ดินบนถนนมาทำเพื่อวาดเป็นพื้นถนนอีกทีนึง มันก็เพิ่มแนวความคิดให้เรา”
ถามว่าทุกวันนี้ ภาพของเสมาลงสีด้วยกระยารงค์หรือสีธรรมทุกภาพเลยไหม
เสมาตอบว่า “เป็นกระยารงค์สัก 90% ครับ แล้วบางสีที่เราใช้ก็เป็น Pigment ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศบ้าง แต่จริงๆ ก็เป็นสีที่เขาสกัดมาจากธรรมชาตินั่นแหละ แต่เราทำไม่เป็นจริงๆ หรือมันยากจริงๆ บางอันมันแพงเกินไปที่เราจะทำเอง กระบวนการมันซับซ้อนเกินไป แล้วกระยารงค์ความพิเศษมันคือการบด แล้วกับ Miniature art เราจะบดเท่าไหร่ก็ได้ให้ละเอียดจนเราตัดเส้นเล็กๆ ได้ มันเล่นกับจุดนั้นครับ”
“เพราะว่าหินหนึ่งก้อน บดตาม Pigment ต่างๆ มันจะให้สีไม่เหมือนกัน เช่น หยาบระดับนึงได้สีเข้ม หยาบระดับนึงเริ่มอ่อน หยาบระดับนึงเริ่มเปลี่ยนเป็นอีกสีที่ออกขาวเลย ก็สนุกดีครับ แต่บางทีก็ใช้เวลาเตรียมนานมากๆ ครับ แต่ก็คุ้มค่า ทำให้เราไม่กล้าทิ้งสีเลย เราจะใช้กระบวนการคิดมากๆ ในการจะลงสีแต่ละครั้ง มันมีค่ามากๆ หิน ชาดบางก้อน ตอนนี้กิโลฯ ละหลายพันไปแล้ว ขึ้นเร็วกว่าทองอีกครับ (หัวเราะ ) ทองคำเปลวก็ราคาขึ้นทุกวัน” เสมาอธิบาย
SUN & MOON DANCE
ถามถึงภาพที่นำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการล่าสุดอย่าง Timeless Thai ที่แกลเลอรี่ 10 10 Art Space บ้าง ขอให้ช่วยเล่า Concept ให้ฟัง
เสมาตอบว่า “ลึกๆ เลย ‘SUN & MOON DANCE งานเต้นรำใต้สุริยุปราคา’ ก็เหมือนที่ผมเกริ่นว่าผมทำงานจากปัญหา แล้วส่วนนึงผมเรียกร้องการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม เพราะว่าแฟนผมเป็น LGBT ผมก็เลยทำชิ้นนี้ เป็นบทสรุปของประเทศไทย ที่ได้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมา เป็นงานเต้นรำใต้พระจันทร์เต็มดวง ผมมักจะใช้ตัวผมเองแทนกระต่าย แล้วแฟนผมเป็นนกยูง เพราะนกยูงในเชิง Physical ตัวนกยูงที่หางสวยๆ เป็นเพศชาย อะไรแบบนี้ แล้วเป็นงาน Celebrate บนซากปรักหักพัง ที่ผมพูดถึงข้อกฎหมายหรือสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ความรักเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติมากกว่า คนเรารักกัน แล้วเราแค่ต้องการกฎหมายมา Support ในการใช้ชีวิตคู่ มันก็เลยเป็นงานเต้นรำบนซากปรักหักพัง”
“ใต้เงาสุริยุปราคาก็คือ SUN & MOON เป็นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ ที่เป็นไปไม่ได้ที่วงโคจรมันจะมาร่วมกัน แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ยากมากๆ ที่สองดวงจะมาโคจรทับกันได้พอดี ก็เป็นภาพนี้ขึ้นมาครับ”
“ส่วนใน Detail ก็จะมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนไว้ เช่นนกฮูกกำลังเล่นเพลง, หรือสัญลักษณ์ดอกไม้ในภาพ แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้อยากให้คนตีความไปในทิศทางเดียวกับเราขนาดนั้นนะครับ แต่ละคนก็จะเชื่อมโยงได้เอง ตีความตาม ประสบการณ์ของแต่ละคน”
‘อินทร์ เจแปน’
ถามถึงภาพต่อมาบ้าง ‘อินทร์ เจแปน’
เสมาตอบว่า “อินทร์ เจแปน น่าจะเป็นภาพใหม่ที่สุดของผม ณ ตอนนี้ นิทรรศการนี้คือ Timeless Thai อยู่ดีๆ ผมก็อุตริคิดขึ้นว่า เราทำงานไทยมาทั้งชีวิตให้พูดถึงความเป็นไทย ยากจัง ผมก็เลยคิดว่า ความเป็นไทยมันจะเป็นไทยอย่างไร ถ้าเราไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ผมต้องการตั้งคำถาม ณ จุดนี้ มันก็เลยเป็น ‘อินทร์ เจแปน’
“จริงๆ ชื่อ ภาษาอังกฤษ ใบ้ที่สุดแล้วครับ คือ ‘Indra escape holiday in Japan’ มันเหมือนกับการไปเที่ยวของผู้นำ (หัวเราะ ) ซึ่งพูดถึงหลาย Layer เช่น คนไทยนิยมไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะชนชั้นสูงก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเป็นประจำ ถ้าสังเกตดูดีๆ มันก็คือการหนีปัญหาแบบสวยๆ ถ้าพูดโดยรวม ตรงพรมก็จะเป็นไฟ ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่า พระที่นั่งของพระอินทร์ ถ้ามีไฟก็คือยังมีปัญหา”
“จะเห็นได้ว่า พูดถึงความเป็นไทยในโลกป๊อบคัลเจอร์ และรวมถึงความลื่นไหลของศิลปะไทยและญี่ปุ่น เพราะศิลปะไทย ถ้าถามว่าเป็นไทยแท้ไหม มันก็ไม่มีคำว่าไทยแท้แน่นอน ทุกอย่างใกล้เคียงกันมาก บิดนิดนึงก็ดูเป็นญี่ปุ่นแล้ว หรือเป็นไทย มันเป็นการรวมกันของศาสตร์ของศิลปะทั้งสองอย่าง”
“ภาพนี้ มีหลายประเด็นในภาพ พูดถึงป๊อบคัลเจอร์ ปัญหา แล้วมันก็มีการใช้ช้างเอราวัณมาเล่าเรื่องว่าจริงๆ เหมือนสุภาษิตช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด หรือต่างประเทศ เขาใช้ศัพท์ ‘Elephant in the Room’ มีปัญหาแต่ไม่แก้ อะไรแบบนี้ มันคือความเป็นไทยมากๆ ที่เราจะ Ignore ต่อปัญหา เราแค่หาความสุขในชีวิตเราไปวันๆ มากกว่าที่จะไปแก้ปัญหาตรงนั้น”
เสมาบอกเล่าได้อย่างน่าสนใจ
พลังสร้างสรรค์ที่ไม่เคยหมด
ถามถึงผลงานครั้งต่อไป
เสมาตอบว่า นิทรรศการต่อไปจะเป็นการ collab ทำภาพจิตรกรรมบนเครื่องหนังด้วยสีเพนท์หนัง โดยร่วมกับ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ ARCHIVE DESIGN
“ก็ถือว่าเป็นบทบาทใหม่ๆ ดีครับที่เราได้ร่วมงานกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก แต่เนื้อเรื่องก็ยังเป็นไทยๆ เป็นการวาดจิตรกรรมบนเปลือกไข่ เป็นคล้ายๆ Ester egg ที่แบ่งเป็นสามลูกเล็กๆ ลงไป เป็นการพูดถึงทั้งจิตรกรรมไทยที่เปราะบาง ควรอนุรักษ์ การเดินทางของศิลปะไทย แล้วก็การใช้ศิลปะไทยเล่าเรื่องราวตัวเองยังไง ฝากติดตามตรงนี้ด้วยครับ และสำหรับงานศิลปะ ผมทดลองไปเรื่อยๆ มากกว่า ผมไม่ค่อยหวังอะไรที่มันเป็น Plan ใหญ่ขนาดนั้น ช่วงนี้ก็จะทดลองทำงานใหม่ๆ รูปทรงใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็เป็นช่วงรีเสิร์ชและหาแรงบันดาลใจในการประยุกต์งานเราไปเรื่อยๆ มากกว่า”
คำกล่าวทิ้งท้ายของเสมา ยังคงสะท้อนถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์งานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เชื่อว่านับแต่นี้ไป ย่อมมีผลงานใหม่ๆ ที่เขารังสรรค์ออกมาให้ได้ชมอยู่เสมอ
……..
Text by : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
Photo by : สุบรรณกริช ไกรคุ้ม, รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
เอื้อเฟื้อสถานที่ : 10 10 Art Space