แฉเบื้องหลังก่อนรวบตัว “แย้ม ไร่ขิง” มีนายตำรวจใหญ่รวมถึงคนสำคัญในสำนักพระพุทธฯ ขอต่อรองชุดจับกุม ให้ชะลอการนำกำลังเข้าจับ อ้างจะทำให้วัดเสียภาพลักษณ์ ขอเข้ามอบตัวเอง น่าสงสัยว่ายอมเปลืองตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องฉาวโฉ่ขนาดนี้ เพราะกลัวจะถูกสาวมาถึงตัวหรือไม่ “สนธิ” ตั้งข้อสังเกต “อินทพร จั่นเอี่ยม” ผอ.สำนักพุทธฯ พฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเบื้องหลังการจับกุม นายแย้ม อินทร์กรุงเก่า อายุ 70 ปี อดีตพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ที่เคยมีสมณศักดิ์ทางสงฆ์ เป็น “พระราชาคณะชั้นธรรม” และเป็น “เจ้าคณะภาค 14” ถึง 2 สมัย
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องอื้อฉาวที่รับรู้กันในหมู่ข้าราชการตำรวจชุดทำคดี โดยงานบุกจับ “ไอ้แย้ม” คราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) หรือ ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเต็มทน
ตำรวจกองปราบปรามตั้งวอร์รูมทำงานทางลับคดีนี้มานานเกือบปี หลังมีหนังสือสนเท่ห์ร้องทุกข์เข้าไปขอให้ตำรวจกองปราบปรามช่วยตรวจสอบพฤติกรรมของ “ไอ้แย้ม” อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง
ชุดคลี่คลายคดีได้ใช้ยุทธวิธีการสืบสวนสอบสวน ด้วยการเอามือปราบระดับรองสารวัตร คือ “ผู้กองธร” หรือ ร้อยตำรวจเอก นิติธร ประชันกาญจนา รองสารวัตรกองกำกับการ 5 กองปราบปราม เจ้าของฉายา “สายลับวัดไร่ขิง” เสี่ยงแฝงกาย พรางตัว แทรกซึม ใช้ความเพียรพยายาม หาข่าว หาพยานและหลักฐานต่าง ๆ นานา ในวัด นาน 8 เดือน
แต่แล้วขณะกำลังรอการออกหมายจับ เพื่อบุกเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาในกุฏิ ข่าวดันรั่วไปถึงผู้มากบารมี ทั้งข้าราชการตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โทรศัพท์มาขอชุดจับกุม ให้ชะลอการนำกำลังเข้ารวบตัว “ไอ้แย้ม” ก่อนหมายจับออกแค่ 2 ชั่วโมง!
โดยอ้างสาเหตุว่า ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของวัดไร่ขิง ซึ่งเป็น “พระอารามหลวง” ด่างพร้อย ได้รับความเสียหาย แถมยังมีการเจรจาต่อรองกับชุดจับกุมว่า “ไม่ต้องบุกรวบตัว เดี๋ยวจะเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง”
สำหรับพยานหลักฐานในคดีนี้ มีต้นตอมาจากยอดเงินบริจาคของทางวัดกว่า 300 ล้านบาท ที่ “ไอ้แย้ม” ยักยอกนำมาใช้จ่ายส่วนตัว โดยโอนจ่ายผ่านทั้งบัญชีตัวเอง, บัญชีม้า และบัญชีอดีตพระลูกวัด ใช้สนองตัณหา นำไปซื้อรถรา ยานพาหนะ แว่ว ๆ ว่ายังมีการใช้เงินซื้อตำแหน่งก่อนเป็นเจ้าคณะอีกด้วย
หนักสุดที่พุทธศาสนิกชนคนไทย รับไม่ไหว คือใช้ปรนเปรอ ให้แก่ “สีกาเก็น” น.ส.อรัญญาวรรณ วังทะพันธ์ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาสาว อดีตนักเรียนโรงเรียนวัดไร่ขิง ที่ “ไอ้แย้ม” เคยรับอุปการะ ก่อนถูกตำรวจกองบังคับการ 3 บช.สอท.จับกุมข้อหาเป็นนายหน้าเว็บพนันชื่อ “แอลเอ แกแล็คซี่ 911” (LAGALAXY 911) เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2567 ปลายปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ยอดเงินที่มีการยักย้ายถ่ายโอนจากบัญชีวัด ไปสู่ “สีกาเก็น” ที่ทางกองปราบปรามมีหลักฐานชัดเจน จนศาลอนุมัติหมายจับ มีมูลค่าสูงถึง 300 ล้านบาท แต่ยอดเงิน ที่อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน จากความอีรุงตุงนัง ระหว่างบัญชีวัด บัญชีม้า บัญชีสีกาเก็น และบัญชีเว็บพนันแอลเอแกแล็คซี่ 911 ว่ากันว่ามีมูลค่าสูงถึง 847 ล้านบาท !!!
ทั้งตำรวจและอีกหลายๆ หน่วยงาน อยู่ระหว่างตามหาหลักฐานเส้นเงินเหล่านี้ ที่เชื่อมโยงกับบัญชีเงินฝากของวัดไร่ขิง ที่มีอยู่ 49 เล่ม รวมถึงเงินรายได้จากตู้บริจาค ของทางวัดที่มีอยู่ มากถึง 185 ตู้ ไหนจะ เงินสดจากการขายวัตถุมงคล เงินเก็บค่าแผงจำหน่ายสินค้า เงินประมูลจากร้านค้างานประจำปี
แค่เงินบนดินเหล่านี้ก็คิดเป็นจำนวนปีละหลายร้อยล้านบาท ยังไม่นับกับเงินที่ไอ้แย้ม หยิบยืมมาจากบุคคลใกล้ชิด ตลอดจนเงินโอนจ่ายส่วย จากพระสงฆ์เจ้าสำนักวัดข้างเคียงที่อยู่ในความปกครองของไอ้แย้ม ในฐานะอดีตเจ้าคณะภาค 14 อีก
เรื่องใหญ่มโหฬารขนาดนี้ คนที่กล้าเอ่ยปากขอความอนุเคราะห์ให้ “ไอ้แย้ม” น่าจะรู้ได้ด้วยสำนึกของตนเอง ว่า “ไม่ควรค่าแก่การเปลืองตัว” เว้นเสียแต่จะเข้าไปมีส่วนพัวพันกับเส้นเงินของวัดไร่ขิง จนเกรงว่าตัวเองจะได้รับความเดือดร้อน
“จากที่ผมทราบมา นอกจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่พยายามวิ่งเต้นให้กับไอ้แย้มแล้ว ยังมีข้าราชการระดับสูงของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผมอยากจะถามถึง คุณอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ช่วยตรวจสอบเรื่องนี้หน่อยว่ามีใครในสำนักพุทธฯ ร้องขอไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้บุกเข้าจับกุมไอ้แย้มถึงในกุฏิวัดไร่ขิง จริงหรือไม่
“ผมขออนุมานในสถานเบาว่า สาเหตุที่คนในสำนักพุทธฯ เดือดร้อนในเรื่องนี้ เพราะว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เคยมีหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมไอ้แย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ไปที่สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ มาแล้วโดยชาวบ้านได้ร้องเรียนไปขอความช่วยเหลือจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก่อนที่ชาวบ้านจะร้องเรียนไปทางกองปราบปรามดำเนินการเสียอีก แต่จนแล้วจนรอดยังไม่มีความคืบหน้า สำนักพุทธฯ ยังคงนิ่งเฉย ไม่มีการขยับเขยื้อน ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ยอมทำวรนุชใดๆ ให้เป็นประโยชน์สมสถานะองค์กรหลักของชาติบ้านเมืองเลย นอกจากสั่งตรวจสอบบัญชีบางเล่มของทางวัดที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการทุจริต ยักยอกเงินบริจาค และมีการสั่งการให้แช่แข็งเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นรายรับ ทำให้ไม่สามารถเบิกถอนสั่งจ่ายออกมาใช้ได้” นายสนธิ กล่าว
มีอีกประเด็นคือ ว่ากันว่า ทางวัดไร่ขิง กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต่างก็ถ้อยที ถ้อยอาศัย เสมือนน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า กันมาช้านาน กล่าวคือ
เวลา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีโปรเจ็กต์จัดงาน หาทุนทรัพย์ ทาง “ไอ้แย้ม วัดไร่ขิง” ก็จะเจียดเงินบริจาคเงินไปช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ
ส่วนทาง วัดไร่ขิง เอง ก็มักจะมีโครงการขอทุนทรัพย์จากรัฐบาล ผ่านทาง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อนำมาจัดกิจกรรมด้านธรรมะ อยู่สม่ำเสมอ
เมื่อมีทั้งงบประมาณแผ่นดินที่ถูกนำมามอบให้กับทางวัด และ มีทั้งเงินบริจาคซึ่งทางวัดนำไปช่วยเหลือสำนักพุทธฯ แบบช่วยกันไปช่วยกันมา อย่างนี้ ทำให้ ไม่รู้บัญชีไหนทาบไปโดนบัญชีไหน มีชื่อใครรับและโอนบ้าง? จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ ผู้หลักผู้ใหญ่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล้าต่อสายไปล้วงลูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมของกองปราบ
ล่าสุด เราต้องแยกฐานความผิดของผู้ต้องหาทั้งหมดในคดี เอาไว้ เป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนแรก คือคดีเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ “แอลเอ แกแล็คซี่ 911” (LAGALAXY 911) ที่ตำรวจไซเบอร์ บช.สอท.จับกุมผู้ต้องหาลอตแรก รวมถึงจับกุม “สีกาเก็น” เอาไว้ได้ตั้งแต่ เมื่อเดือนธันวาคม 2567
และ ส่วนที่ 2 คือคดีร่วมกันยักยอกเงินทำบุญของทางวัด นำมาใช้จ่ายส่วนตัวที่เกี่ยวโยงกับคดีการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นหน้าที่ของ บช.ก.ตำรวจสอบสวนกลาง เป็นผู้รับผิดชอบจากการส่งชุดคลี่คลายคดีเข้าไปสืบสวนขยายผลจับกุมครั้งล่าสุด
ซึ่ง พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ก็ได้สั่งการให้ ทั้ง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เร่งทำงานควบคู่กันในเรื่องของการขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหา ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายนี้
ทั้งพวกที่แสวงหาประโยชน์จากเงินบริจาคของวัด พวกที่เป็นกรรมการ เข้ามาดูแล บริหารจัดการ ทรัพย์สินต่างๆ ภายในวัด ตลอดจนพวกที่พัวพันกับเว็บพนันออนไลน์แอลเอ แกแล็คซี่ 911 และแม้แนวทางการสืบสวน จะพบว่า“ไอ้แย้ม” มีความพยายามแต่งสัญญาเงินกู้ระหว่าง “มูลนิธิวัดไร่ขิง กับ สีกาเก็น” นำมาวางเอาไว้ให้ตำรวจตรวจยึดเป็นหลักฐาน
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชุดคลี่คลายคดีหวั่นไหว เพราะที่ผ่านมา บรรดาผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ ก็จะใช้มุกเดิม ๆ อย่างนี้ โดยสร้างหลักฐานการกู้ยืมเงินกัน นำมาสู้คดีในชั้นศาล โดยอ้างว่า เส้นเงินที่ปรากฏนั้นเป็นธุรกรรมการกู้ยืมเงินซึ่งกันและกัน เป็นเสมือนแนวทางที่ผู้ต้องหาเหล่านี้ ได้รับการแนะนำจากทนายโรงเรียนเดียวกัน
“ให้ผมทายผลคดีไอ้แย้ม แม้จะมีการปล่อยกู้ให้สีกาเก็นจริง แต่อย่างไรก็ต้องมีคนติดคุกอยู่ดี จะติดมากหรือติดน้อยให้ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน เพราะการยักยอกนำเงินบริจาคของทางวัดไร่ขิง ซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคล มาใช้ส่วนตัวนั้น อย่างไรก็ถือว่ามีความผิด โดยเฉพาะผู้กระทำความผิดมีส่วนร่วมในวงจรเว็บพนันออนไลน์ เข้าข่ายพระราชบัญญัติการฟอกเงินด้วย” นายสนธิกล่าว
เอาแค่บัญชีธนาคารของ“สีกาเก็น”ปัจจุบันตรวจพบในความครอบครองแล้ว 50 กว่าบัญชี มียอดเงินหมุนเวียนรวมกันหลายร้อยล้านบาท
ลองคิดดู ปุถุชนคนธรรมดา หรือ เป็นผีพนันขั้นธรรมดา ที่ไหนจะขยันเปิดบัญชี มาใช้แบบมากมายก่ายกองขนาดนี้ ? แค่ดูเผิน ๆ ก็รู้ว่า“สีกาเก็น” อรัญญาวรรณ วังทะพันธ์นี่ มันระดับหัวจ่ายของเว็บพนันออนไลน์ชัดๆ
นี่ยังไม่นับรวมถึง หลักฐานที่ตำรวจมี เป็นคลิประหว่างอาบน้ำ พูดคุยเล่นเซ็กซ์โฟน กับ “ไอ้แย้ม” ที่ “สีกาเก็น” นำมาเป็นประเด็นแต่งเรื่อง “แบล็กเมล” ไถเงินวัดเรื่อยมา
เชื่อว่าในไม่ช้า ตำรวจจะสามารถเสาะหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ บทบาทที่แท้จริงของ “ไอ้แย้ม” กับ “สีกาเก็น” ได้ว่า ใครแค่เป็นผู้เล่นพนัน หรือใครบ้างเป็นผู้ร่วมลงทุนกับทีมผู้บริหารเว็บไซต์ ? พร้อมทั้ง หาหลักฐานมายืนยันเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ที่สังคมกำลังสงสัยว่าเลยเถิดไปกว่าการวีดิโอคอลเล่นเซ็กซ์โฟน บ้างหรือไม่ ?
ส่วนเรื่องแนวทางการสืบสวน หาตัวการใหญ่ ที่อยู่เหนือ ขึ้นไปจาก สีกาเก็น พบว่า ผู้บริหารเว็บไซต์ แอลเอ แกแล็คซี่ 911 (LAGALAXY 911)ที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ รวมถึงโปรโมตเว็บ ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือ เจ้าพ่อเว็บพนันอีกคน “เคนเซน มเหศักดิ์” หัวหน้าแก๊งนารากะแดง อันลือเลื่องด้านความชั่ว
แก๊งนารากะแดงนี้สมาชิกแต่ละคนต่างมีชื่อเรื่องพัวพันยาเสพติด การพนัน การแต่งรถซิ่ง รถหรูสวมทะเบียน การรวมกลุ่มทะเลาะวิวาท สร้างปัญหาให้สังคม และการครอบครองอาวุธ โดย “ไอ้เคนเซน” นี่ก็เป็นเพื่อนสนิทของ “เสี่ยโป้” นายอภิรักษ์ ชัชอานนท์ หรือ “เสี่ยโป้ อานนท์” ซึ่งทุกวันนี้ย้ายสำมะโนครัวไปเป็นผู้ต้องขังอยู่ในเรือนจำบางขวางหลายปีแล้ว ส่วน “ไอ้เคนเซน” คาดว่าหลบหนีไปกบดานในประเทศเพื่อนบ้าน กำลังถูกตามล่าตัวมาดำเนินคดี
สิ่งที่ “เสี่ยโป้ อานนท์” กับ “ไอ้เคนเซน นารากะ” เคยก่อกรรมกันเอาไว้ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อช่วงปลาย เดือนตุลาคม 2563 ทั้งคู่ เคยถูกตำรวจ สน.ภาษีเจริญ จับกุมตัว ใน 4 ข้อหาหนัก คือ ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ข้อหายิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือชุมชน จากกรณีทะเลาะวิวาทกับแก๊งคู่อริ จนเกิดยิงกันสนั่นหวั่นไหว สาดกระสุนใส่กันกว่า 60 นัด บริเวณด้านหน้าร้านนวดแผนโบราณ สรี เซาว์น่าแอนด์สปา ริมถนนราชพฤกษ์ ซึ่ง คุยทุกเรื่องกับสนธิ เป็นรายการแรกที่นำคลิปนี้มาเปิดเผย
นอกจากนี้ ยังร่วมกันรังสรรค์ สร้างคอนเท็นต์ขยะ ชื่อ “เกาจิ้งเมืองไทย” โชว์เล่นการพนัน เดิมพันด้วยเงินสด เป็นตั้งๆ มูลค่าถึง 10 ล้าน ผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดีย จนโดนชาวบ้านด่าสาดเสียเทเสีย กันมาแล้วอีกต่างหาก
“ท่านผู้ชมครับ เรื่อง "ไอ้แย้ม" กับ "สีกาเก็น" กับการทุจริตเงินวัดไร่ขิง 800 กว่าล้านบาท มันยังไม่จบแค่นี้หรอกครับ แต่กำลังจะเป็นจุดเริ่มต้น จุดเชื่อมโยงสู่ขบวนการพนันออนไลน์ และองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่กว่านั้นอีกมากอย่างแน่นอน
“วันนี้ผมอนุมานอย่างนี้ครับ วันนี้ผมไม่เชื่อผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ คุณอินทพร จั่นเอี่ยม ผมไม่เชื่อ ท่านผู้ชมจะเชื่อ เรื่องของท่านผู้ชม
“ผมว่าคุณอินทพร จั่นเอี่ยม มีพฤติกรรมที่น่าสงสัย มีพฤติกรรมน่าสงสัยมาก ความใกล้ชิดสนิทสนมกับไอ้แย้มนั้น ไม่ใช่ธรรมดา และนี่คือผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คนที่ควรเข้ามาควบคุมพระพุทธศาสนาให้ถูกตามร่องตามรอยของพระธรรมวินัยและสิ่งที่ควรเป็น แต่วันนี้ คุณอินทพร จั่นเอี่ยม มีรอยสกปรกอยู่บนตัวแล้ว อย่างน้อยก็เป็นผู้อำนวยการสีเทาไปแล้ว ท่านผู้ชมครับ ผมไม่เชื่อ และคุณอินทพร จั่นเอี่ยม คุณต้องรู้ตัวคุณด้วยว่าใครจะเชื่อคุณ แต่ผมไม่เชื่อ ท่านผู้ชมเชื่อเหมือนผมเชื่อหรือเปล่า” นายสนธิ กล่าว