ปักกิ่ง, 5 พ.ค. (ซินหัว) -- ณ ห้องประชุมหลักของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (UN) ในนครนิวยอร์ก มีภาชนะสัมฤทธิ์สีแดงประดับลวดลายวิจิตรตั้งวางอย่างโดดเด่น นี่คือ "จุนแห่งสันติภาพ" เป็นของขวัญพิเศษจากสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เมื่อเดือนกันยายน 2015 เนื่องในวาระสหประชาชาติมีอายุครบ 70 ปี ซึ่งมุ่งสะท้อนความปรารถนาและความเชื่อมั่นของประชาชนจีนที่แสวงหาสันติภาพ การพัฒนา ความร่วมมือ และผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
ช่วงทศวรรษถัดมา สี จิ้นผิงจะเดินทางเยือนกรุงมอสโกเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปี ชัยชนะแห่งมหาสงครามผู้รักชาติ ซึ่งแสดงถึงความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์และยืนยันวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของผู้นำจีนคนนี้ โดยสี จิ้นผิงเล็งเห็นคุณค่าความสำคัญของสันติภาพและมุ่งมั่นสนับสนุนการสร้างโลกที่สงบสันติ ซึ่งถือเป็นกิจการเร่งด่วนในห้วงยามที่โลกทุกวันนี้เผชิญกับความตึงเครียดและความขัดแย้ง
ความปรารถนาสันติภาพ
สี จิ้นผิงมองประวัติศาสตร์เป็นดังกระจกเงาที่มนุษยชาติควรเรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดซ้ำเดิม โดยสี จิ้นผิงกล่าวว่า ประวัติศาสตร์บอกให้เราเฝ้าระวังสงครามที่จะนำพาหายนะและความเจ็บปวดมาสู่ประชาชน ทั้งบอกให้เราพิทักษ์สันติภาพด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งเหมือนกับอากาศและแสงแดดที่ชีวิตขาดไม่ได้
สี จิ้นผิงเน้นย้ำความมุ่งมั่นของจีนในการพัฒนาอย่างสันติว่าจีนจะไม่แสวงหาการครองอำนาจนำหรือขยายอิทธิพลใดๆ ไม่ว่าจะเติบใหญ่เพียงไร ดังเช่นตอนเยือนฝรั่งเศสในปี 2014 สี จิ้นผิงแปลงคำอุปมาของนโปเลียนที่ว่าจีนเป็น "สิงโตหลับ" ที่อาจสะเทือนโลกเมื่อตื่น ซึ่งสี จิ้นผิงชี้ว่า "ตอนนี้สิงโตอย่างจีนได้ตื่นขึ้นแล้ว แต่เป็นสิงโตที่รักสงบ เป็นมิตร และมีอารยธรรม"
ปรัชญาของสี จิ้นผิงนั้นมาจากวัฒนธรรมจีนอายุนับพันปี ครั้งหนึ่งสี จิ้นผิงเคยแจกแจงมุมมองของภูมิปัญญาจีนโบราณที่มีต่อสงครามและสันติภาพด้วยการอ้างอิง "พิชัยสงครามซุนจื่อ" ตำราจีนเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ซึ่งมีใจความหลักว่าควรพยายามป้องกันการเกิดสงครามอย่างสุดกำลังและเฝ้าระวังอย่างรอบคอบยามสู้รบศึกสงคราม
มุมมองของสี จิ้นผิงต่อความสุขุมรอบคอบในการสงครามยังสะท้อนผ่านการหารือกับคณะผู้นำและเจ้าหน้าที่ต่างชาติ โดยสี จิ้นผิงเคยกล่าวคำพังเพยจีนกับเจมส์ แมตติส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ เมื่อปี 2018 ว่า "เป็นที่ทราบกันมานานว่าผู้เชี่ยวชาญการทหารตัวจริงไม่ต้องการใช้วิธีการทางทหารมาแก้ไขปัญหา"
นอกจากนั้น สี จิ้นผิงยังคิดคำนึงถึงประวัติศาสตร์และยกย่องเหล่าวีรชน โดยทุกปีตั้งแต่ปี 2014 สี จิ้นผิงเดินทางไปแสดงความเคารพวีรชนผู้ล่วงลับของจีนในวันวีรชน ซึ่งตรงกับวันที่ 30 ก.ย. หรือหนึ่งวันก่อนหน้าวันชาติจีน รวมถึงมอบเหรียญเกียรติยศแก่ทหารผ่านศึกชาวจีนและผู้แทนจากหลายประเทศที่ช่วยเหลือทหารจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 2015 ด้วย
คบเพลิงแห่งพหุภาคีนิยม
จีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิงนั้นยึดถือนโยบายต่างประเทศเชิงสันติที่เป็นอิสระ มีบทบาทเชิงรุกในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และเสริมสร้างมิตรภาพความเป็นหุ้นส่วนกับนานาประเทศทั่วโลก โดยสี จิ้นผิงสนับสนุนพหุภาคีนิยมที่แท้จริงเป็นดังคบเพลิงส่องแสงนำทางยามโลกเผชิญความมืดมนจากลัทธิครองอำนาจนำและการกีดกันทางการค้า
สี จิ้นผิงกระตุ้นประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันคุ้มครองระบบระหว่างประเทศที่มีสหประชาชาติเป็นแกนกลาง และส่งเสริมพหุภาคีนิยมที่มีสาระสำคัญว่ากิจการระหว่างประเทศควรเป็นทุกประเทศร่วมกันตัดสินใจ ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งหรือไม่กี่ประเทศ พร้อมกับชี้นำจีนมีบทบาทเชิงรุกที่สร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาร้อนระดับภูมิภาคและระดับโลก
เพื่อยุติวิกฤตยูเครนโดยเร็ววัน สี จิ้นผิงได้ผลักดันข้อเสนอ 4 ประการ ซึ่งเน้นย้ำการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ รักษาเป้าประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ เคารพข้อกังวลทางความมั่นคงตามกฎหมายของทุกประเทศ และสนับสนุนทุกความพยายามแก้ไขวิกฤตอย่างสันติ
จีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิงได้ดำเนินงานทางการทูตและความพยายามเป็นตัวกลาง เพื่อส่งเสริมการเจรจาสันติภาพและริเริ่มกลุ่ม "สหายแห่งสันติภาพ" (Friends of Peace) ร่วมกับบราซิลและประเทศโลกใต้แห่งอื่นๆ ในประเด็นวิกฤตยูเครน ณ สหประชาชาติ
สำหรับประเด็นตะวันออกกลาง สี จิ้นผิงส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคนี้ โดยซาอุดีอาระเบียและอิหร่านเห็นพ้องจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในเดือนมีนาคม 2023 ภายใต้จีนเป็นตัวกลางหลังจากระงับความสัมพันธ์มานาน 7 ปี โดยในช่วงก่อนการเจรจา สี จิ้นผิงจัดการหารือกับคณะผู้นำของทั้งสองประเทศแยกกัน
ขณะเดียวกัน สี จิ้นผิงนำเสนอแผนริเริ่มความมั่นคงระดับโลก (GSI) ในปี 2022 โดยสี จิ้นผิงกล่าวว่า เราต่างอาศัยอยู่ในประชาคมความมั่นคงที่มิอาจแบ่งแยกได้ พร้อมสนับสนุนการเจรจาหารือมากกว่าการปะทะคะคาน ความเป็นหุ้นส่วนมากกว่าการแบ่งพรรคแบ่งพวก และผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์มากกว่าการเล่นเกมหาผู้แพ้ผู้ชนะ
"กุญแจทอง" ของการพัฒนา
สี จิ้นผิงสำทับว่า "กุญแจทอง" ของอนาคตที่มีเสถียรภาพมั่นคงปลอดภัยคือเดินหน้าการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิงวางการพัฒนาเป็นเสาหลักของวิสัยทัศน์ในการสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นของมนุษยชาติ นำเสนอแผนริเริ่มต่างๆ เช่น หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) และการพัฒนาระดับโลก (GDI) เป็นสะพานเชื่อมการพัฒนาร่วมกัน
จีนได้ช่วยเหลือการพัฒนาของกว่า 160 ประเทศ และความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเกี่ยวพันกับกว่า 150 ประเทศ ขณะเดียวกัน จีนระดมทุนการพัฒนาเกือบ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.6 แสนล้านบาท) และดำเนินโครงการกว่า 1,100 โครงการ ภายใต้แผนริเริ่มการพัฒนาระดับโลก ซึ่งกระตุ้นการเติบโตและสร้างความทันสมัยในหลายประเทศ
ปรับปรุงระเบียบโลก
ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ในนครเซี่ยงไฮ้ก่อตั้งโดยกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ห้าประเทศเมื่อปี 2014 เพื่อสนับสนุนการจัดหาเงินทุนแก่ประเทศสมาชิกในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยสี จิ้นผิงกล่าวว่า ธนาคารนี้เป็นแผนริเริ่มนำร่องเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวและการพัฒนาตนเองของโลกใต้ (Global South)
กลุ่มประเทศบริกส์นั้นอยู่แนวหน้าของโลกใต้ โดยสี จิ้นผิงผลักดันการขยายกลุ่มในปี 2023 เพื่อสร้างความสามัคคีที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในกลุ่มโลกใต้ ซึ่งจะเสริมสร้างพลังเพื่อสันติภาพและการพัฒนาของโลกเพิ่มเติม
เหล่าประเทศกำลังพัฒนายังคงมีบทบาทน้อยในระบบธรรมาภิบาลโลกที่ซึ่งชาติตะวันตกครอบงำมาเนิ่นนาน โดยจีนยืนหยัดว่าการพัฒนาของโลกจะสมดุลยิ่งขึ้นและสันติภาพของโลกจะมีรากฐานมั่นคงยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาได้มีบทบาทเพิ่มขึ้นในระบบธรรมาภิบาลโลก
ช่วงหลายปีมานี้ สี จิ้นผิงได้นำเสนอแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง แผนริเริ่มการพัฒนาระดับโลก แผนริเริ่มความมั่นคงระดับโลก และแผนริเริ่มอารยธรรมระดับโลก เป็นกิจการสาธารณะระดับโลกที่สำคัญเพื่อสร้างระบบธรรมาภิบาลโลกที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกันยิ่งขึ้น
บันคีมุน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นผู้รับมอบ "จุนแห่งสันติภาพ" จากสี จิ้นผิงในนามสหประชาชาติเมื่อสิบปีก่อน กล่าวว่า แผนริเริ่มต่างๆ ของจีนที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลกนั้นผูกโยงกับการมองการณ์ไกลของสี จิ้นผิง โดยจีนมีบทบาทสำคัญบนเวทีโลกเพิ่มขึ้น และสี จิ้นผิงได้แสดงความเป็นผู้นำเชิงรุกที่สำคัญ
"ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของจีนหมายถึงโอกาสที่เพิ่มขึ้นของสันติภาพโลก" สี จิ้นผิงเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้