“ทนายตั้ม” กระอักเลือด “นุ-สา” คนสนิท เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพร่วมฉ้อโกง “พี่อ้อย” ตามคำบงการของทนายตั้ม โดยกุเรื่องโอนเงินคริปโตทิพย์ หลอก “พี่อ้อย” ออกแคชเชียร์เช็คให้ 39 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่ง 19 ล้าน ทนายตั้มทวงคืนภายหลัง 15 ล้าน ได้จริงเพียง 4 ล้าน แต่ในชั้นศาลสารภาพ พร้อมชดใช้ 19 ล้านตามคำฟ้อง หวังมีโอกาสได้ประกันตัว
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงความคืบหน้าล่าสุด กรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ฉ้อโกง นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ “พี่อ้อย” เศรษฐินีหมื่นล้าน ซึ่งขณะนี้นายษิทรายังไม่ได้รับการประกันตัวและต้องอยู่ในเรือนจำประมาณ 6 เดือนมาแล้ว โดยมีคดีฉ้อโกงนางจตุพรซึ่งเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระด้วยกันได้แก่ กรณีเงิน 2 ล้านยูโร (71 ล้านบาท) กรณีซื้อรถเบนซ์ 13 ล้านบาท แต่กลับมีส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท ค่าจ้างออกแบบโรงแรม 9 ล้านบาท และกรณีที่เป็นจุดหักเหใหญ่ที่สุดคือการฉ้อโกงเงินจำนวน 39 ล้านบาท โดยอ้างว่าเงินถูกดูดไปจากบัญชีเงินคริปโตเคอร์เรนซี มีสองสามี-ภรรยาคนสนิททนายตั้มเกี่ยวข้องด้วย ก็คือ “นุ” กับ “สา”
วันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งที่ 2 คดีดำ อทย.109/2568 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกรวม 7 คน ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานฉ้อโกงเงินนางจตุพร อุบลเลิศ เป็นจำนวนรวมกว่า 100 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวทนายตั้มกับพวกรวม 4 คน จากเรือนจำมาศาล ส่วน จำเลยอีก 3 คนที่เป็นพี่สาวภรรยา และเจ้าหน้าที่โชว์รูมรถยนต์ 2 คนซึ่งได้รับการประกันตัว
ประเด็นก็คือ ในการนัดตรวจพยานหลักฐาน กำหนดวันนัดสืบพยานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือ นุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม และ น.ส.สารินี นุชนารถ หรือ สา อายุ 32 ปี แฟนนายนุ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 และ 4 ได้ขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ขอต่อสู้คดี มาเป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง ซึ่งโจทก์และทนายโจทก์ร่วมไม่คัดค้าน ศาลจึงอนุญาต
จากนั้น ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นสมควรให้นัดสืบพยานโจทก์ 15 นัด และสืบพยานจำเลย 4 นัด คดีนี้จึงสืบพยานทั้งหมด 19 นัด โดยมีการนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกในปีหน้า วันที่ 4 มีนาคม 2569 เวลา 09.00 น.
การที่ “นุ กับ สา” ชิงกลับลำ ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาว่าร่วมฉ้อโกง “พี่อ้อย” เป็นเงิน 39 ล้านบาทจริง กรณีที่พี่อ้อยจะจ้างดาราจีน "เฉิน คุน" มาโชว์ตัวในไทยโดยให้ทั้งสองช่วยโอนเงินไปให้เฉินคุน แล้วทั้ง 2 คนก็อ้างว่าค่าตัวของดาราดังกล่าวถูกแก๊งสแกมเมอร์หลอกเอาไปโดยผ่านบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี่ และทำให้เงินคริปโตฯ ของตัวเองมูลค่า 39 ล้านบาทหายไปด้วย
ทั้งสองระบุชัดเจนว่า พวกเขาลงมือฉ้อโกงตามแผนการและคำบงการของ “ทนายตั้ม” จึงมีการสร้างเรื่องแล้วไปแจ้งความเท็จ ที่ สน.บางซื่อ ให้เพื่อร่วมรุ่น “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รับเรื่อง เพื่อเป็นหลักฐานนำไปหลอกพี่อ้อยจนหลงเชื่อสนิทใจ แล้วทำแคชเชียร์เช็คให้ 39 ล้านบาทเพื่อชดเชยความเสียหาย
“นายนุ” หรือชื่อจริง นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 35 ปี กับ “สา” น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 33 ปี ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 3 และที่ 4 จากจำเลยทั้งหมด 7 คน ชิงให้การยอมรับสารภาพใน 2 ข้อหา คือ ข้อหาฉ้อโกง และข้อหาแจ้งความเท็จ
แต่ยังปฏิเสธอีก 2 ข้อหา คือ ข้อหาฟอกเงิน และ ข้อหากระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ในการรับสารภาพต่อศาลในครั้งนี้ ทั้ง “นุ กับ สา” สารภาพสิ้นว่า ในจำนวนเงิน 39 ล้านบาทที่ฉ้อโกงพี่อ้อยไปนั้น ตัวเองได้รับส่วนแบ่งจาก “ทนายตั้ม” ในช่วงแรกเป็นเงิน 19 ล้านบาทส่วน “ทนายตั้ม” เอาไป 20 ล้านบาท
แต่ในเวลาต่อมา ทนายตั้มตามมาเอาเงินไปจากพวกตนอีก 15 ล้าน ทิ้งส่วนแบ่งไว้แค่ 4 ล้านบาทเท่านั้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากถูกบรรยายฟ้องว่าฉ้อโกงพี่อ้อยไปเป็นเงิน 19 ล้านบาท นุกับสา จึงแจ้งต่อศาลว่าพร้อมจะชดใช้หนี้ส่วนนี้ให้กับพี่อ้อย เต็มจำนวน 19 ล้าน แม้ตัวเองจะได้ส่วนแบ่งแค่ 4 ล้านบาท เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เบื้องต้น “นุ กับ สา” จึงได้วางเงินต่อศาล จำนวน 4 ล้านบาท โฉนดที่ดิน 2 แปลง รถยนต์ 2 คัน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจที่จะชดใช้หนี้ ให้ “พี่อ้อย” พร้อมกันนี้ ก็ถือโอกาสยื่นประกันตัว ต่อศาลทันที แต่ศาลยังไม่อนุญาตแต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่า ทั้งสองคนไม่ได้สารภาพในทุกข้อหา คือ สารภาพเพียงครึ่งเดียว คือ 2 ใน 4 ข้อหาเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า หลังจากต้องประสบกับวิบากกรรมในคุกมาหลายเดือน แบบเห็นว่าไปไม่รอดแน่ “นุ กับ สา” จึงต้องหวังเอาตัวรอดจากคุกตะราง ไม่ว่าจะเป็น การยอมสารภาพผิด และ ยอมชดใช้หนี้คืนทั้งหมด เพื่อให้ศาลปราณี ลดโทษให้ เพราะสำนึกในความผิดและยอมใช้คืนทรัพย์ที่รับไปทั้งหมด 19 ล้านบาท
ยอมแม้กระทั่งว่า แม้จะได้เงินไปจริง ๆ แค่ 4 ล้านบาท(เพราะทนายตั้มมาทวงคืนไปอีก 15 ล้านบาท)แต่ก็ยินยอมที่จะคืนให้ “พี่อ้อย” ทั้งหมด 19 ล้านบาท
แรงสั่นสะเทือนของการรับสารภาพผิดของ “นุ กับ สา” ครั้งนี้ ส่งผลกระทบรุนแรงกับ “ทนายตั้ม ษิทรา” ซึ่งนอกจากจะไม่มีคนมาช่วยกันปฏิเสธแล้ว ยังโดนคำให้การของพวกเดียวกัน พลิกมามัดตัวอย่างแน่นหนาอีกต่างหาก จึงต้องบอกว่า โอกาสในการต่อสู้คดีของ “ทนายตั้ม” ณ เวลานี้นั้นถือว่า ริบหรี่ จนแทบจะมองไม่เห็นทางเอาตัวรอดได้เลย
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ศาลได้นัดแล้วว่า จะมีการสืบพยานนัดแรก ในเดือนมีนาคม ปีหน้า เพราะฉะนั้นจากวันนี้ถึงวันนั้น “ทนายตั้มและภรรยา” ก็ต้องนอนรออยู่ในคุกไปอีกเกือบ 1 ปี กว่าจะถึงวันได้ต่อสู้คดีกันอย่างจริงจัง
ซึ่งพฤติการณ์ "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ด้วยการกระทำต่างกรรมต่างวาระ ของ “ทนายตั้ม กับ ภรรยา” นั้น ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน ก็คงจะต้องโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10 ปี และต่อให้ออกมาจากคุกก็คงจะหมดช่องทางทำมาหากิน รวมถึงหมดอนาคตในวงการกฎหมาย และทนายความอย่างสิ้นเชิง
“เรามาวิเคราะห์กันดีกว่าทำไม นุ กับ สา ตอนแรกปฏิเสธข้อกล่าวหาและต้องการสู้คดี แต่ตอนหลังกลับมารับสารภาพ ?
“ตอนเข้าคุก นุ กับ สา คงทรมานมากตามประสาคนไม่เคยนอนคุก เผอิญมีญาติสนิท มีศักดิ์เป็นน้าหรือป้า ก็ไม่รู้ มีความรู้ทางกฎหมาย อาจจะเป็นทนายความหรือแม้กระทั่งคนในอยู่ในกระบวนการยุติธรรม แนะนำว่า สารภาพดีกว่า ดี/ไม่ดี พอถึงเวลาตัดสินก็ครบกำหนด สามารถขอพักโทษได้เลย
“ผมคิดว่าหลักๆ แล้วการสารภาพ ข้อแรก ลดโทษครึ่งหนึ่ง สมมุติว่าจำไปแล้ว โทษไม่ต้องถึงสิบปีหรอกครับ ผมว่า เนื่องจากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด อาจจะโดนโทษหกปี สารภาพ ลดเหลือสามปี ครึ่งหนึ่ง สามปีนั้นจำไปแล้วปีกว่า ก็เหลืออีกปีกว่า สามารถจะยื่นเรื่องขอพักโทษได้เลยทันที ส่วนทนายตั้มนั้น เป็นอีกกรณีหนึ่ง เพราะทนายตั้มมีวงเงินในการฉ้อโกงมากมายกว่า นุ และ สา มาก
“สรุปง่ายๆ พอถึงช่วงยามวิกฤตแล้ว ทุกคนต้องเอาตัวรอดก่อน คำมั่นสัญญาว่าจะไปด้วยกัน ตายด้วยกัน รวยด้วยกันนั้น ตอนรวยด้วยกัน ทุกคนเฮ แต่ถ้าตายด้วยกัน เมื่อถึงเวลาจะต้องตายแล้ว แต่ละคนก็จะดิ้นรนเพื่อหาทางรอดตายกันทั้งสิ้น” นายสนธิกล่าว