xs
xsm
sm
md
lg

สภาวิศวกรต้องสอบ! "วิโรจน์" ชี้ปมตึก สตง.ถล่ม โยง "มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ" ปล่อยวีซ่าวิศวกรจีนทำงานมิชอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"วิโรจน์" ชี้ปมตึก สตง.ถล่ม โยง "มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ" กลุ่มทุนจีนครอบงำ แฉโครงสร้างซับซ้อน ขายวุฒิการศึกษา เปิดช่องวิศวกรจีนใช้ "วีซ่านักศึกษา" ทำงานผิดกฎหมาย หวั่นกระทบความปลอดภัยประชาชน สภาวิศวกรเร่งตรวจสอบ

จากกรณีเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่มเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมและต้นเดือนเมษายน 2568 โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงความพยายามในการกู้ภัยและสอบสวนหาสาเหตุอยู่ในขณะนี้ เบื้องต้นมีรายงานว่าการก่อสร้างตึกราคา 2 พันล้านนี้ใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐานและปลอมลายเซ็นวิศวกรควบคุมงาน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ปชน. ออกมาโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในไทย ซึ่งเชื่อว่าถูกกลุ่มทุนจีนครอบงำผ่านโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อนมีการขายวุฒิการศึกษา และมีการเปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต อาจเป็นช่องทางในการออกวีซ่านักศึกษาให้วิศวกรชาวจีนเพื่อเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายในไทย โดยหลีกเลี่ยงใบอนุญาตทำงานและใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคาร สตง.ที่ถล่มลงมา โดยสงสัยว่ากิจการไชน่าเรลเวย์ฯ อาจนำวิศวกรจีนที่ถือวีซ่านักศึกษาเข้ามาควบคุมงาน โดยที่กิจการร่วมค้า PKW อาจรู้เห็นเป็นใจ ทั้งนี้ นายวิโรจน์ได้ระบุข้อความว่า

"หรือว่า “มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ” จะเป็นช่องทางในการนำเอาวิศวกรจีน มาทำงานอย่างผิดกฎหมาย? สภาวิศวกรต้องเข้ามาตรวจสอบ 
………………………………………..
ตอนนี้ผมได้รับรายงานถึงความกังวลถึงคุณภาพทางการศึกษา และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มทุนจีน ที่มีการจัดตั้งกลุ่มบริษัทในเครือข่ายขึ้นมาถือหุ้นข้ามกันไปมา เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคลไทยในทางนิตินัย แต่ในทางพฤตินัยแล้วหากพิจารณาสัดส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นรายบุคคล จะพบว่าเจ้าของมหาวิทยาลัยเป็นชาวจีนไปแล้ว

มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ถือหุ้นโดย บริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด (นามสมมติ) ซึ่งบริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด ถือหุ้นโดย บริษัท กุ๊กกู๋โฮลดิ้ง (นามสมมติ) 99.99% โดยมีคนไทยที่ชื่อว่า นางไก่ (นามสมมติ) ถือหุ้นร่วมเพียงแค่ 2 หุ้น (0.01%)

มาดูโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท กุ๊กกู๋โฮลดิ้ง กันครับ บริษัท กุ๊กกู๋โฮลดิ้ง ถือหุ้นโดย บริษัท หมี จำกัด 48% นายหลี่ (ชาวจีน นามสมมติ) 49% บริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด 2% และนางไก่ (ชาวไทย) 1%

บริษัท หมี จำกัด ถือหุ้นโดย บริษัท หมีโฮลดิ้ง 50% นายหลี่ (ชาวจีน) 47% บริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด 2% และนางไก่ (ชาวไทย) 1%

บริษัท หมีโฮลดิ้ง ถือหุ้นโดยนายหลี่ (ชาวจีน) 49% บริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด 30% และนางไก่ (ชาวไทย) 21%

จะพบว่าสัดส่วนของการถือหุ้นของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ มีการถือหุ้นข้ามไปข้ามมาของเครือข่ายบริษัทที่จัดตั้งขึ้น แบบยุ่บยั่บไปหมด

ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 บริษัทจะถือเป็น "ต่างด้าว" ก็ต่อเมื่อ มีคนต่างด้าวถือหุ้นรวมกันตั้งแต่ 50% ของทุนทั้งหมด แต่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะใช้หลัก “การถือหุ้นทางตรง” ในการพิจารณาเป็นหลัก โดยสรุปก็คือ ถ้าคนต่างด้าวถือหุ้นไม่ถึง 50% ก็จะถือว่า บริษัทนั้นไม่ใช่บริษัทต่างด้าว โดยไม่ลงลึกถึงโครงสร้างซ้อนหลายชั้น หรือการถือหุ้นไขว้กันไปกันมาระหว่างบริษัทในเครือข่าย

ถ้าเราคำนวณสัดส่วนการถือหุ้นทางอ้อมของนายหลี่ ซึ่งเป็นชาวจีน ก็จะพบว่านายหลี่ถือเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจในการควบคุมมหาวิทยาลัยอย่างสูง

1) คำนวณสัดส่วนของนายหลี่ในบริษัท หมี จำกัด
นายหลี่ถือโดยตรง 47% และถือผ่านบริษัท หมีโฮลดิ้ง อีก 50% โดยนายหลี่ถือหุ้นบริษัทหมีโฮลดิ้งอยู่ 49%
ดังนั้นนายหลี่ถือหุ้นบริษัท หมี จำกัด = 47% + (49% x 50%) = 71.5%

2) คำนวณสัดส่วนของนายหลี่ในบริษัท กุ๊กกู๋โฮลดิ้ง
นายหลี่ถือโดยตรง 49% และถือผ่านบริษัท หมี จำกัด อีก 48% ซึ่งบริษัท หมี จำกัด มีนายหลี่ถือหุ้นอยู่ 71.5% จากขั้นตอนก่อนหน้า
ดังนั้นนายหลี่ถือหุ้นบริษัท กุ๊กกู๋โฮลดิ้ง = 49% + (71.5%x48%) = 83.32%

3) คำนวณสัดส่วนของนายหลี่ในบริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด
บริษัท กุ๊กกู๋โฮลดิ้ง ถือหุ้นบริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด 99.99%
ดังนั้นนายหลี่ถือหุ้นบริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด = 83.32%x99.99% = 83.31%

4) คำนวณสัดส่วนของนายหลี่ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้
บริษัท กุ๊กกู๋ จำกัด ถือหุ้นมหาวิทยาลัย 99.99%
ดังนั้นนายหลี่ถือหุ้นมหาวิทยาลัย = 83.31%×99.99% = 83.30%

สรุปแล้ว มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้เป็นของคนไทยเพียงแค่นิตินัย แต่โดยพฤตินัย จากการคำนวณการถือหุ้นทางอ้อม จะพบว่านายหลี่นั้นมีความเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถึง 83.30% คือในทางปฏิบัติต้องถือว่ามหาวิทยาลัยนี้เป็นนิติบุคคลต่างด้าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ประเด็นข้อสงสัย และความห่วงใยที่มีต่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีอยู่หลายประเด็นมาก
1. การเปิด “วิทยาลัยนานาชาติ” ที่เปิดสอนในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ในหลายหลักสูตร }เช่น หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต ฯลฯ ซึ่งหลักสูตรต่างๆ เหล่านี้ จำเป็นต้องมีห้องแล็บในการฝึกปฏิบัติการ จึงมีคำถามว่าด้วยเนื้อที่ของมหาวิทยาลัยที่มีไม่ถึง 10 ไร่ จะมีโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรระดับปริญญาโท และปริญญาเอกที่เปิดหลากหลายเต็มไปหมด ให้มีคุณภาพได้อย่างไร มีการจัดการเรียนการสอนจริงหรือไม่ หรือการเรียนการสอนที่เกิดขึ้น เป็นเพียงพิธีกรรมบังหน้า โดยหลังฉากคือ “ธุรกิจการขายวุฒิการศึกษา”

2. วิทยาลัยนานาชาติแห่งนี้จะมีกระบวนการในการปั้น QS Ranking ให้ดูโดดเด่น และมีบริษัทแม่ที่ประเทศจีนคอยจัดหานักศึกษาชาวจีนให้มาเรียน การชำระเงินค่าหน่วยกิต และค่าเล่าเรียนต่างๆ จะจ่ายชำระที่ประเทศจีน เรียกว่าแทบจะไม่มีการจ่ายชำระใดๆ ในประเทศไทยเลย การเรียนการสอนทั้งหมดเป็นภาษาจีน อาจารย์เป็นชาวจีน คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ทุกคนล้วนเป็นชาวจีน ที่สำคัญมีบริการช่วยทำวิทยานิพนธ์ ช่วยส่งตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ เรียกได้ว่า มีแค่พาสปอร์ต แล้วจ่ายตังค์ครบก็จบแน่นอน

3) การเปิดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ ก็แปลกประหลาดมาก ไม่มีตารางสอน ไม่มีปฏิทินการศึกษาที่ชัดเจน เพราะการเปิดการเรียนการสอน จะขึ้นอยู่กับว่าบริษัทแม่ที่จีนจะจัดหาและรวบรวมนักศึกษาชาวจีนมาได้ครบจำนวนได้เมื่อไหร่ รวมกลุ่มได้สัก 20-30 คน ก็เปิด

4) มีข้อสงสัยว่า รายชื่ออาจารย์ที่ปรากฏนั้นได้พำนักอาศัยที่ประเทศไทยหรือไม่ มีคุณสมบัติครบถ้วนเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ทำหน้าที่สอน และกำกับดูแลการทำวิทยานิพนธ์ในหลักสูตรปริญญาโท และปริญญาเอก ตามมาตรฐานที่กระทรวงอุดมศึกษาฯ กำหนดหรือไม่

5) การบริหารการเงินของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ ก็แปลกประหลาดมาก โดยบริษัทแม่ที่จีน จะทยอยโอนเงินมาให้เพื่อเอาไว้จ่ายค่าใช้จ่าย เพื่อให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีกำไรให้น้อยที่สุด เพราะมหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทย ที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 แม้จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่จะต้องนำเอากำไรที่ได้ไปใช้เพื่อการศึกษา และการพัฒนามหาวิทยาลัยเท่านั้น จะเอามาจัดสรรจ่ายเป็นเงินปันผลแบบองค์กรทางธุรกิจไม่ได้

6) สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับการพังถล่มของอาคาร สตง. ก็คือ มีเบาะแสที่สงสัยว่า การที่วิทยาลัยนานาชาติ ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ เปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต เป็นเพราะว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝงในการเป็นช่องทางในการออก VISA นักศึกษา ให้กับวิศวกรชาวจีน ให้มาทำงานในประเทศไทย โดยหลบเลี่ยงการขอใบอนุญาตทำงาน และใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม

และในการก่อสร้างอาคาร สตง.ที่พังถล่มลงมา มีข้อสงสัยว่ากิจการไชน่าเรลเวย์ฯ มีการนำเอาวิศวกรชาวจีน ที่VISA นักศึกษา เข้ามาควบคุมการก่อสร้าง โดยที่กิจการร่วมค้า PKW ที่เป็นผู้ควบคุมงานอาจรู้เห็นเป็นใจ และปล่อยปละละเลย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่?

ซึ่งประเด็นข้อสงสัยนี้ สภาวิศวกรจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป เพราะหากปล่อยให้วิศวกรจีนใช้ VISA นักศึกษา ลักลอบเข้ามาประกอบวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศไทยได้ นี่จะไม่ใช่แค่ปัญหาการลักลอบเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย แต่เป็นถึงหายนะของวงการวิศวกรรม และอุตสาหกรรม ที่จะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนคนไทยทั้งชาติ ที่เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วจะจับมือใครดมไม่ได้เลย"


กำลังโหลดความคิดเห็น