เจ้าหน้าที่ US Marshal ของสหรัฐฯ จับกุม "นพรัตน์" อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ หนีคดีทุจริตเงินทอนวัดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 เม.ย.) แต่ยังตัวส่งกลับไทยไม่ได้เพราะเป็นพลเมืองอเมริกันไปแล้ว รอขึ้นศาลนัดแรกที่รัฐเทกซัสปลายปีนี้
วันนี้ (14 เม.ย.) สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับรายงานยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ US Marshal ซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหลักของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา จับกุมนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ผู้ต้องหาคดีทุจริตเงินทอนวัด ได้ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทยแล้ว ซึ่งตามกระบวนการทางการสหรัฐฯ จะนำตัวนายนพรัตน์ ขึ้นศาลในสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
ต่อมาในช่วงเย็นวันที่ 13 เม.ย. ป.ป.ช.ได้ออกเอกสารข่าวแจกระบุถึงการจับกุมนายนพรัตน์ว่าเป็นการดำเนินการตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทย ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการขอความอนุเคราะห์สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 เพื่อมีคำร้องไปยังสหรัฐอเมริกาให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักกิจการและคดีทุจริตระหว่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด และผู้แทนกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้มีการติดตามแบบใกล้ชิดและประสานงานอย่างต่อเนื่องในการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เพื่อขอให้ทางการสหรัฐอเมริกาส่งตัวนายนพรัตน์กลับประเทศไทย โดยในขั้นตอนต่อไปศาลของสหรัฐอเมริกาจะพิจารณาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนรายนี้ให้ทางการไทยต่อไป
อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เปิดเผยต่อสำนักข่าวอิศรา ว่า การดำเนินการของ ป.ป.ช.นั้นเป็นคดีหลักที่ส่งเรื่องให้กับทางอัยการเพื่อประสานส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ส่วนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ก็มีคดีเกี่ยวกับนายนพรัตน์ 18 คดี ซึ่งจะต้องทยอยส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการต่อไป โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการประชุมกับอัยการสูงสุด (อสส.) ในเรื่องนี้
ถึงกระนั้น สถานะของนายนพรัตน์ปัจจุบันถือว่าเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว ดังนั้นจะต้องมีการขึ้นศาลที่รัฐเทกซัสในช่วงปลายปีนี้ สำหรับขั้นตอนการจับกุมนายนพรัตน์ ทางอัยการระหว่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการประสานความร่วมมือกับสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) ทำให้มีการจับกุมเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าในต้นเดือน พ.ค. บก.ปปป.น่าจะส่งสำนวนคดีไปให้กับอัยการเพื่อให้ดำเนินการติดตามตัวต่อไปได้หลังจากนี้ก็คงเป็นประเด็นข้อต่อสู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะส่งพลเมืองสหรัฐฯ กลับมายังประเทศไทยได้ ตอนนี้ก็เลยมีการแปลหลักฐานต่างๆ ส่งไปให้กับทางอัยการ ให้มีการประสานสถานทูตที่สหรัฐฯ และถ้าหากมีการขึ้นศาลนัดแรกกันที่รัฐเท็กซัสในช่วงปลายปี ก็คาดว่าในช่วงปลายปีนี้น่าจะเอาตัวนายนพรัตน์กลับมาที่ไทยได้
“เขาเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ไปแล้ว เราก็ต้องส่งข้อมูลหลักฐานไปว่าการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะไปอยู่ที่นั่น ซึ่งตอนนี้เราใช้หมายของ ป.ป.ช.ไปก่อน เดี๋ยวหมายชุดใหญ่ของสอบสวนกลางชุดใหญ่เข้าไปอีกทีหนึ่ง” รอง ผบช.ก.กล่าว
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาเคยมีกระบวนการขอให้ออกหมายแดงของตำรวจสากลให้มีการจับกุมและส่งตัวนายนพรัตน์หรือไม่ รอง ผบช.ก.กล่าวว่า พยายามขอมาตลอด แต่เพราะว่าคดีเกี่ยวกับนายนพรัตน์นั้นมีเยอะมาก ความเสียหายจากการทุจริตเป็นหลักพันล้านบาท ก็อยู่ที่ขั้นตอนของอัยการที่ว่าฟ้องหรือไม่ฟ้อง บางคดีไม่ฟ้อง ก็เลยทำให้มีความล่าช้า อย่างเช่นของ ปปป. ก็มีอยู่ 18 คดี และก็ไม่ทราบว่ามีคดีเกี่ยวกับนายนพรัตน์ยังมีอยู่ที่อื่นอีกหรือไม่ การจะให้ส่งตัวคนของเขากลับมานั้นก็ต้องแจ้งว่ามันมีคดีอะไรบ้าง ซึ่งมันเยอะมาก ตอนนี้เรากำลังแปลเอกสารอยู่ ส่วนบรรยากาศเกี่ยวกับการรวบตัวนายนพรัตน์นั้นไม่ทราบ แต่รู้ว่าทางเจ้าหน้าที่ส่งข่าวมาว่าได้ตัวแล้ว เพราะเป็นเรื่องอัยการระหว่างประเทศเขาประสานไปแล้วก็แจ้งความคืบหน้ากลับมาทางเรา