อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรระบุคัดค้านกฎหมายกาสิโน หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนนิรโทษกรรมสุดซอย ขอบคุณรัฐบาลที่รับฟัง แนะคิดทบทวนหรือรออีก 2 ปีเป็นนโยบายหาเสียงไปเลย ย้ำไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
วันนี้ (9 เม.ย.) นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ในรายการสีสันการเมืองแบบเด้งๆ ทางช่องยูทูบแนวหน้าออนไลน์ ดำเนินรายการโดย น.ส.บุญระดม จิตรดอน ถึงกรณีที่แสดงจุดยืนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ต้องแยกก่อนว่าระหว่างความเป็นพ่อลูกคือสายเลือดที่ยกเลิกกันไม่ได้ แต่ความเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งแสดงไปตามความรู้สึกที่แท้จริง ไม่มีใครเตือนเพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคไหน ส่วนลูกชายมีแต่ปรึกษาหารือ เห็นด้วยกับความคิดของตน ซึ่งคนรุ่นใหม่รู้ว่ากระแสสังคมเป็นยังไง ต้องการอะไร ยิ่งเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ลูกก็รับฟังอยู่แล้ว และสะท้อนในบทบาทที่สามารถสะท้อนได้
ส่วนการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัติกาสิโน เห็นว่า เราเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เติบโตมากับเส้นทางสายนี้โดยตลอด รู้ว่ารัฐบาลจะต้องรับฟังเสียง อย่านึกว่าตัวเองมีเสียงข้างมากแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจ คุณอาจจะชนะในระบบรัฐสภาตามเสียงข้างมาก แต่ไม่มีทางชนะประชาชนได้ สิ่งที่เป็นห่วงคือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนนิรโทษกรรมสุดซอย ที่ชนะในสภาฯ แต่ยังไม่ทันถึงวุฒิสภา ประชาชนมาเต็มถนนแล้ว อดทนยืดเยื้อกระทั่งท้ายที่สุดเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนกลัวไม่อยากจะเห็นเกิดขึ้นอีก จึงเตือนหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหลายว่า ถ้าถอยได้ ถอยไม่ดีกว่าหรือ ดีกว่าไปดันทุรัง แล้วดูกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว กลุ่มราชบัณฑิต กลุ่มอีลิต (ชนชั้นนำ) ของสังคมทั้งนั้น ถ้าไปฝืนแล้วเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา จะเป็นตราบาปติดตัวพวกเราไปว่าเอาอีกแล้ว พวกคุณทำให้เกิดเหนี่ยวรั้งการพัฒนาการระบอบประชาธิปไตย ก็เตือนด้วยความเป็นห่วงและหวังดี
ส่วนการที่รัฐบาลเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกาสิโนจะเป็นทางออกหรือไม่ เห็นว่า อย่างน้อยต้องขอบคุณรัฐบาลที่รับฟัง เชื่อว่าหลังจากนี้มีเวลาให้ทบทวนและฟังเสียงรอบข้างอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ยังไม่ใช่เรื่องเร่งร้อน เมื่อมีเวลาก็มาคิดทบทวน หรือรอเวลาอีก 2 ปี ประกาศเป็นนโยบายพรรคต้องการจะให้มีสถานบันเทิงครบวงจรเป็นนโยบายเด่น ถ้าประชาชนเลือกเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาด จะเปิดเป็นสิบที่ก็ไม่มีใครคัดค้านเพราะเป็นความชอบธรรม สำหรับเรื่องนี้ตนไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม สถาบันครอบครัว และสังคมส่วนรวม ควรจะมีการสอบถามความคิดเห็นจากประชาชน ถ้ารีบร้อนก็ทำประชามติ ถ้าไม่รีบร้อนหรือรอได้ก็ใช้การเลือกตั้งครั้งหน้าสอบถามประชาชน ไม่ต้องเปลืองงบประมาณทำประชามติด้วย ส่วนการที่รัฐบาลถอยแล้วรอการเลือกตั้ง ถ้าเป็นไปได้ถือว่าเป็นคุณต่อประเทศ แต่ถ้าไม่ได้แล้วเร่งร้อน ให้รอแล้วทบทวนให้ดี ถ้าส่วนไหนประชาชนได้ประโยชน์ก็ทำไปแล้วให้ประชาชนเห็นสอดคล้องกัน
"ผมเป็นห่วง กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านแต่ละกลุ่ม ไม่ใช่มีพลังที่จะพาคนลงถนน แต่มีพลังต่อการตัดสินใจของคนว่าจะคิดยังไง อันนี้น่ากลัว" นายสมศักดิ์กล่าว
ส่วนการรวบรวมบ่อนเล็กน้อยเข้ามาให้เป็นที่เป็นทางนั้น เห็นว่าต้องมีนายหน้า มีนายทุนมากินหัวคิว ตนไม่เชื่อและเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ปัญหาบ่อนเล็กบ่อนน้อย ก็เปิดหลบๆ ซ่อนๆ ตามปกติ รู้ว่าหลบๆ ซ่อนๆ มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ การที่ประชาชนไม่คัดค้านเพราะเป็นหน้าที่ของบ้านเมืองอยู่แล้ว ส่วนที่อ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เห็นว่า สี จิ้นผิง บอกเลิกแล้วการหารายได้สร้างเศรษฐกิจจากการพนัน เขาไม่เห็นด้วย ส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวยิ่งตลกใหญ่ เพราะประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆ ที่ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยว โดยไม่มีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์คนก็มาเที่ยวเป็นอันดับ 1 ใน 5 ของโลก เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพเรื่องประเพณี วัฒนธรรมที่งดงาม ศิลปะ โบราณสถาน โบราณวัตถุ และสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำซอฟต์เพาเวอร์ มหาสงกรานต์ที่จะถึงนี้ คนจะมากัน ไม่มีใครจะมาหวังเล่นการพนันหรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ส่วนที่ว่ามีอะไรถึงสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตนตอบไม่ได้ และไม่กล้าคิดเพราะไม่อยากถูกฟ้อง
ส่วนการสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และกาสิโนเป็นหนทางช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ช่วยได้หรือไม่ เห็นว่าจะช่วยได้อย่างไร คนที่อยู่ในวงการบ่อนจะรู้ดี ว่าการหมุนรอบทางเศรษฐกิจของบ่อน กับทางธุรกิจการค้าหรืออุตสาหกรรมแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะในบ่อนเป็นเงินที่หมุนระหว่างคนเล่นการพนัน เจ้ามือ และเจ้าของบ่อนที่ได้ค่าต๋ง ซึ่งการได้เสียแล้วก็เอาเงินมาเล่นต่ออีก คนที่เสียก็ดิ้นรนเอาเงินมาเล่นแก้ตัวอีก แล้วเงินจะหมุนรอบทางเศรษฐกิจได้อย่างไร ตนอยากบอกกับประชาชนว่า รัฐบาลนี้จะชั่วดียังไงไม่รู้ แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชน มาจากระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ รัฐบาลต้องรับฟัง ขณะเดียวกันตนย้ำอีกว่า ในระบบรัฐสภา เสียงข้างมากชนะในสภา แต่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีวันชนะเสียงของประชาชนที่อยู่นอกสภาฯ บทเรียนก็คือปรากฏการณ์นิรโทษกรรมสุดซอยที่เห็นแล้ว