อดีตรองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยหวั่นเกมการเมืองอเมริกาขึ้นภาษีไทย รัฐบาลอาจโยงการบินไทยต่อรอง “ทรัมป์” หลังพบในอดีตเคยทำมาแล้ว
จากกรณีสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศกลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทยถึง 36% ข่าวนี้สร้างความกังวลให้หลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยติดตามสถานการณ์ของการบินไทยอย่างใกล้ชิด
ล่าสุดวันนี้ (8 เม.ย.) นายกฤษณรัตน์ บูรณะสัมฤทธิ์อดีตรองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แสดงความหวั่นวิตกว่าเหตุการณ์ขึ้นภาษีครั้งนี้ประเทศไทยจะใช้สูตรนำการบินไทยเป็นเบี้ยต่อรองภาษีกับอเมริกา โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
“Trump การเมืองระหว่างประเทศ บอร์ดและการบินไทย (อีกแล้ว)
เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยเขียนเรื่องความสัมพันธ์ของการเมืองระหว่างประเทศกับการบินไทย ว่าทุกครั้งที่รัฐบาลไทยมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเรื่องการกีดกันทางภาษี เรื่องส่งออกสินค้าเกษตร หรืออะไรก็ตาม สิ่งที่ทุกรัฐบาลทำคือ “ให้การบินไทยไปซื้อเครื่องบิน” ถ้ามีปัญหาฝั่งยุโรปก็ให้ไปซื้อแอร์บัส ถ้ามีปัญหาฝั่งอเมริกาก็ให้ไปซื้อโบอิ้ง พอซื้อแล้วปัญหาของชาติก็จะจบลง แต่ปัญหาต่างๆ จะมาลงที่การบินไทยแทน แต่มีหลายคนไม่เชื่อว่าเป็นอย่างที่ผมเขียน จนวันนี้ทุกคนคงได้เห็นกับตาซะทีว่าเป็นไปอย่างที่ผมเคยเขียนไว้
แล้วทำไมการบินไทยจึงมีปัญหาล่ะ ในเมื่อได้เครื่องบินเพิ่มมาบินรับผู้โดยสารก็น่าจะดีออก หลายคนคิดแบบนี้ แต่ต้องไม่ลืมคิดเรื่องการบริหารต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่มีเครื่องบินหลายแบบ (โดยไม่จำเป็น) การวางแผนเส้นทางบินและกำลังคน การจัดหาอะไหล่ก็ต้องเพิ่มขึ้นตามแบบเครื่องบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ต้องเพิ่มขึ้นจากข้อจำกัดในการให้บริการได้แค่ 3 Type การหมุนเวียนเครื่อง ความชอบของลูกค้าที่แตกต่างกัน (มักมีปัญหาเวลาเครื่องเปลี่ยน Type บินแล้วลูกค้าบอกว่าที่จองเพราะได้นั่งเครื่องรุ่นนี้ๆๆๆๆไม่ใช่รุ่นที่เอามาบิน) และปัญหาต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งเราต้องควบคุมค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด แต่เพราะ “นโยบายรัฐ” ทำให้เราเคยมีแบบเครื่องบินถึง 15 แบบ อันนี้ยังไม่รวมใบสั่งให้เอารุ่นนี้รุ่นนั้นที่สร้างความ “Shipหาย” อีก (สมัยใครไปค้นข้อมูลเองนะครับ) ไหนจะเรื่องที่เราต้องสร้าง Balance ที่เหมาะสมกับฝั่งยุโรป (แอร์บัส) กับฝั่งอเมริกา (โบอิ้ง) อีก
ความโชคดีของการบินไทยคือปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขเมื่อช่วงโควิด เมื่อผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ได้ร่วมกับฝ่ายบริหารและพนักงานออกแบบฝูงบินของการบินไทยใหม่ สั่งซื้อเครื่องบินตัวใหม่ที่เหมาะสม ส่วนตัวเครื่องตัวไหนไม่จำเป็นก็ขายออกไป (รวมถึงตัวเจ้าปัญหาที่ไม่มีบอร์ดรุ่นไหนกล้าขายเพราะราคาต่ำกว่า Book Value มาตลอด) โดยที่ไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง ทำให้การบินไทยสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ (แม้ในช่วงแรกอาจจะขลุกขลักบ้างเพราะเครื่องบินไม่พอเนื่องจากธุรกิจการบินฟื้นตัวไวกว่าที่ทั้งโลกคาดการณ์ไว้ 3 ปีทำให้เครื่องเราไม่พอ) จนทำให้การบินไทยพลิกกลับมาทำกำไร 9 ไตรมาสติดต่อกันเป็นครั้งแรก😊
แต่เมื่อทรัมพ์ประกาศขึ้นภาษีประเทศไทย 36% สิ่งที่ผมกลัวเมื่อได้ยินข่าวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คือ รัฐบาลจะเจรจาต่อรองกับทรัมป์โดยเอาการบินไทยเป็นหนึ่งในเบี้ยของการเจรจาเพื่อขอลดภาษีลงตามสูตรเดิมๆ เป๊ะ ซึ่งในขณะนี้การบินไทยได้สั่งซื้อ Boeing 787 จำนวน 45 ลำ และมี Option จะเพิ่มเป็น 80 ลำที่เป็นเงินหลายแสนล้านบาทไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะสามารถเอารายการที่การบินไทยสั่งซื้อไปแล้วมาต่อรองได้หรือไม่ หรือต้องซื้อใหม่เท่านั้น 😔
ถ้าต้องซื้อเพิ่ม แน่นอนปัญหาคือจะตรงตามความต้องการของการบินไทยไหม ฝูงบินตามแผนเดิมจำเป็นต้องเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนอีกไหม และถ้าเพิ่มจะไปบินเส้นทางไหนอีก ไม่รวมต้นทุนต่างๆที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามมาอีกอันอาจนำไปสู่ปัญหาในอดีตของการบินไทย ที่เราเพิ่งปลดแอกออกจากบ่าไปได้
ที่นี้นอกจากรัฐบาลแล้วจะยังมีกลุ่มคนที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในอนาคตการบินไทยรวมถึงการซื้อเครื่องบิน นั่นคือ บอร์ดการบินไทยชุดใหม่ที่จะมีการโหวตจากผู้ถือหุ้นใหม่ (เจ้าหนี้เดิม) ในวันที่ 18 เมษายนนี้
แน่นอนผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ รัฐ ที่ส่งรายชื่อมาแล้ว ส่วนใครจะชอบไม่ชอบนั้น ผมว่าคนตัดสินใจไปตั้งแต่วันที่ประกาศชื่อออกมาแล้ว เหมือนบอร์ดสมัยเป็นรัฐวิสาหกิจยังไงไม่รู้ ข้าราชการทั้งนั้น ทั้งๆ ขที่วันนี้การบินไทยเป็นเอกชน น่าจะเอาภาคธุรกิจเข้ามาเป็นบอร์ดมากกว่านี้
แถมวันที่ 18 เมษายนนี้ยังมีประเด็นเรื่องจำนวนคณะกรรมการว่าต้องมีกี่คนกันแน่ เรียกว่าอีนุงตุงนังพอควร เพื่อตัดปัญหาเสนอจำนวนคณะกรรมการบริษัทให้มี 12 คนไปเลย เพราะตอนนี้ฝั่งรัฐก็เสนอมาแล้วถึง 7 คน บวก 3 คนจากคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูเดิม (คุณปิยสวัสดิ์ คุณชาญศิลป์ พลอากาศเอกอำนาจ) เหลืออีก 2 คนก็จะเป็น 5 คนซึ่งควรจะเป็นตัวแทนฝั่งผู้ถือหุ้นรายย่อย ( อย่าลืม CEO การบินไทยคุณชายด้วยนะครับ เพราะโดยหลักการ CEO ควรเป็นบอร์ดเพื่อเป็นตัวกลางระหว่างบอร์ดกับบริษัท)
ตอนนี้สิ่งที่หวังคือ ฝั่งผู้ถือหุ้นรายย่อยจะรวมตัวกันเสนอชื่อผู้ที่จะมาเป็นบอร์ดของฝั่งรายย่อยคือคุณชาติชาย โรจนรัตนางกูร ผู้แทนจากสหกรณ์ กฟผ ซึ่งถือหุ้นอยู่ 5% และขอให้โหวตชนะ เพื่อมาช่วยดูแลเงิน(หนี้)ของทุกท่าน และช่วยนำทิศทางการบินไทยให้ไปในทิศทางที่ควรจะเป็นเหมือนสมัยที่การบินไทยมีคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูู ฯที่ทำงานได้อิสระและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการบินไทยจนการบินไทยฟื้นขึ้นมาได้และกำลังจะวิ่งเพื่อไปสู่จุดหมาย ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีใครมาสกัดขาจนล้มอีกรอบหนึ่งแล้วกัน“