ชีวิตที่หรูหราของ “ดิว อริสรา” แท้ที่จริงเป็นแค่ “ทองเคห่อผ้าขี้ริ้ว” เบื้องหลังคือการกู้หนี้ยืมสิน ขณะที่ “เซบาสเตียน ลี” สามีชาวไต้หวัน แม้เป็นคนมีเงินแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีอย่างที่พยายามสร้างภาพ ส่วน “เมย์ วาสนา” คนให้ยืมของแบรนด์เนมมูลค่า 62 ล้านบาท ก็มีคำถามเช่นกัน จากมูลค่ารถ-บ้าน-กระเป๋า-นาฬิกาหรู และทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ที่เอามาโชว์ผ่านสื่อมีไม่ต่ำกว่า 660 ล้านบาท แต่เมื่อย้อนดูผลกำไรบริษัท “รีโว่เมด” ที่เปิดมาเกือบ 10 ปี กำไรสะสมเพียงประมาณ 200 ล้านบาทเท่านั้น แล้วส่วนต่างราว 400 ล้านบาท มาจากไหน?
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเรื่องดรามากรณีที่ “เมย์” หรือ “มาดามเมนี่” วาสนา อินทะแสง นักธุรกิจสาวผู้บริหารบริษัทรีโว่เมด ไทยแลนด์ รับผลิตครีม เครื่องสำอาง และอาหารเสริม โพสต์ทวงของแบรนด์เนม และของมีค่าคืนจาก “ดิว อริสรา” อริสรา ทองบริสุทธิ์ มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท ซึ่งยิ่งข้อมูลค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมา ก็พบว่านอกจากจะ “ยืมไม่คืน” แล้ว ยังเอา “ทรัพย์สินที่ยืมมาไปจำนำ” อีกต่างหาก
โดยรายการของมีทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม 2 ใบมูลค่า 2.8-3.7 ล้านบาท สร้อย BVLGARI มูลค่า 15 ล้านบาท สร้อย LOTUS ARTS DEVIVRE มูลค่า 26 ล้านบาทซึ่งมีชิ้นเดียวในโลก นาฬิกา RICHARD MILLE RM023 มูลค่า 13 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท
โดยของที่ยืมมามูลค่า 60 กว่าล้านเหล่านี้ ดิว อริสรา เอาไปจำนำเพื่อให้ได้เงินประมาณ 21 ล้านบาท เอาไปใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ
กระทั่งวันพุธที่ 19 มีนาคม 2568 เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างจวนตัว “ดิว อริสรา” ออกมาพูดผ่านรายการโหนกระแส ขอโทษ “มาดามเมนี่” ยอมรับว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากตัวเอง ยอมรับผิดทุกอย่าง และไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงอะไร พร้อมยอมรับว่าตัวเองเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคมที่ใช้เงินเกินตัวจนทำให้เกิดปัญหา จากนั้นก็มีการโพสต์ข้อความ และทยอยคืนทรัพย์สินต่างๆ
เรื่องชักจะลุกลามไปเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดนักการเมืองระดับรัฐมนตรีกระทรวงชื่อย่อ พ.พาน ที่ร่ำลือกันไปทั่วว่าสร้อยมรกตล้อมเพชรมูลค่า 26 ล้านบาทที่ถูกยืมไปนั้น ถูก “ดิว อริสรา” เอาไปจำนำในราคา 8 ล้านบาท และไปตกอยู่กับสาวคนสนิทของรัฐมนตรี พ.พาน คนดังกล่าว ซึ่งทุกคนต่างก็ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน
แต่ก็มีคนขุดไปพบจนได้ว่าผู้ที่ได้สร้อยมรกตล้อมเพชรไปนั้นชื่อ “น้องข้าวปุ้น” เป็นคนใกล้ชิดของนักการเมืองระดับรัฐมนตรีที่อยู่แถวๆ ซอยอารีย์
เรื่องราวทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวพัน เกี่ยวโยงกับหลายๆ เรื่อง หลายคนเข้ามาแสดงความเห็นในทำนองว่าภาพของนักแสดงสาวที่มักพรีเซ^นต์ชีวิตติดหรูออกสื่อโซเชียลฯ แท้จริงก็เป็น “ทองเคห่อผ้าขี้ริ้ว” ติดหนี้-ยืมแบรนด์เนมหรู เช่นนี้นี่เอง
“ดิว อริสรา” ชีวิตติดโชว์ออฟ
จริงๆ เรื่องแนวคิดการใช้ชีวิต และของ “ดิว อริสรา” เคยพูดถึง และกล่าวเตือนไปหลายครั้งแล้ว ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.90” ออกอากาศเดือนมิถุนายน 2564 ตอน พลุดังดาวดับ จากกรณีที่ “ดิว” กับแฟนหนุ่ม “เซบาสเตียน ลี” นักธุรกิจชาวไต้หวันที่ฝ่ายชายฉลองวันเกิดให้ฝ่ายหญิงด้วยการจุดพลุชุดใหญ่ ยิ่งใหญ่อลังการกลางแม่น้ำหน้าโรงแรมย่านบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จนชาวบ้านชาวช่องก่นด่ากันทั้งบาง
นอกจากนี้ การโชว์ออฟแสดงความมีเงินมีทองของ “ดิว อริสรา” นั้นเกิดขึ้นในช่วงที่ประชาชนชาวบ้านคนทั่วไปเขากำลังตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัส เพราะเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด คนตกงาน ไม่มีอาชีพ ธุรกิจต้องล้มละลาย สายการบิน-โรงแรม-การท่องเที่ยวเจ๊งกะบ๊งกันหมด ส่วนโรงเรียนก็ปิด ทุกคนต้องเรียนออนไลน์ มนุษย์เงินเดือนต้องขุดเอาเงินเก็บมาใช้
แต่กลับมีดาราคนหนึ่ง แม้จะไม่มีงานเพราะวงการบันเทิงก็แย่ แต่กลับมีกินมีใช้ มีอวดไลฟ์สไตล์ความฟุ่มเฟือยแบบไม่หยุดไม่หย่อน
ประวัติย่อ ดิว อริสรา เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2533 ที่จังหวัดสิงห์บุรี เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของครอบครัว มีพี่ชายทั้งหมด 4 คน
เคยศึกษาที่โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์, ศึกษาระดับชั้น Grade 11-12 ที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี, ศึกษาด้านแฟชั่นที่ Accademia Italiana Fashion Design
เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี 2550 จากการประกวด Miss Teen Thailand และการถ่ายแบบลงนิตยสารแฟชั่น ผลงานแจ้งเกิดคือละครชุด “อุบัติรักข้ามขอบฟ้า 2” จากนั้นก็มีผลงานต่างๆ ในวงการบันเทิงเป็นต้นมา ทั้งงานโฆษณาต่างๆ แสดงหนัง แสดงละคร เล่นเอ็มวี ร้องเพลง อีกทั้งยังเป็นนักธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง
ปี 2565 ดิว อริสรา ได้เข้าพิธีแต่งงานใช้ชีวิตคู่กับ เซบาสเตียน ลี นักธุรกิจหนุ่มชาวไต้หวัน มีลูกชาย ลูกสาวอย่างละคน
ก่อนหน้านี้ดิวได้พรีเซ็นต์ภาพครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นมากๆ โดยมีไลฟ์สไตล์ชีวิตหรูหราดุจเจ้าหญิง
ภาพลักษณ์ที่สร้างผ่านโลกออนไลน์ให้ทุกคนเข้าใจก็คือ “เซบาสเตียน” คลั่งรัก ดูแลดี และเปย์หนัก จนเป็นตำนานความเวอร์วังหลายครั้งระหว่างคบหากันยันแต่งงานมีลูก เช่น
- ฉลองวาเลนไทน์ปีแรก เนรมิตห้องรับประทานอาหารให้กลายเป็นทุ่งดอกไม้นานาชนิด
- เอารถหรูผูกโบยักษ์มาจอดบริเวณหน้าคอนโดฯ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
- จุดพลุฉลองริมแม่น้ำ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกในวันคล้ายวันเกิด
- เหมาโรงหนังทุกที่นั่งที่อเมริกาสวีตกับดิว เพื่อมอบช่วงเวลาพิเศษ
- ถอยรถหรูเซอร์ไพรส์ หลังพ้นการกักตัวจากเชื้อโควิด 14 วัน
- พาดิวนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมแกรนด์แคนยอนที่อเมริกา
- ขยันโชว์ภาพโดยสารเครื่องบินเฟิสต์คลาส, เปย์นาฬิกาหรูราคาแพงเป็นของขวัญวันเกิด ฯลฯ
ภายหลังมีลูก เซบาสเตียนเปย์หนักกว่าเดิม ด้วยการซื้อคอนโดฯ หรูกลางกรุงแบบเหมายกชั้น ราคาไม่ต้องพูดถึง ซึ่งไม่ได้เปย์แค่ดิว เพราะแม้แต่แม่ยาย คือแม่ของดิว ก็ควักกระเป๋าซื้อรถปอร์เช่หรูใหม่เอี่ยมให้เป็นของขวัญวันเกิด ทำแม่ยายปลื้มจนร้องไห้
ชีวิตหรูหราถึงขนาดที่ “ดิว” ให้น้องสาวตีตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปซื้อนมผงที่สิงคโปร์มาให้ลูกกิน
พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดิวและสามีสร้างภาพให้โลกออนไลน์ได้เห็น จนทำให้บรรดาชาวเน็ตเชื่อว่าดิวมีชีวิตที่หรูหรา และมีสามีที่รวยมาก
ประวัติการคบหาผู้ชายของดิวที่เคยเป็นข่าว:
ซี ภูวรินทร์: นักร้องสาวหล่อจากค่ายอาร์เอส
กอล์ฟ พิชญะ: นักร้องหนุ่มชื่อดัง
ไผ่ วันพอยท์: นักธุรกิจและนักการเมือง
เบนซ์ เดม่อน: หนุ่มคนดังในวงการซูเปอร์คาร์ และพี่ใหญ่ของแก๊ง มาเก๊า 888
เซบาสเตียน ลี: นักธุรกิจหนุ่มชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นสามีคนปัจจุบันของดิว อริสรา
ขณะเดียวกัน ดิว อริสรา ก็มีประวัติเกี่ยวโยงกับธุรกิจสีเทา:
ปี 2566 ดิว อริสรา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพื่อแฉ “ครอบครัว 4 บ.” ที่เปิดเว็บพนันออนไลน์ในชื่อมาเก๊า 888 ซึ่งชาวเน็ตก็ไปสืบหาจนได้ว่าเป็นแฟนเก่าของดิว 1 บ. และเจอว่าเป็นตำรวจ 1 บ.
หลังจากดิวโพสต์ได้ไม่นาน ทางตำรวจไซเบอร์ก็ติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และได้มีการค้นบ้าน “เบนซ์ เดม่อน” จนพบว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้อง ส่วนสาเหตุที่ดิวออกมาแฉเรื่องดังกล่าว เพราะอ้างว่าเคยถูก “เบนซ์ เดม่อน” ทำร้าย โดยที่ทุกคนในครอบครัวของเบนซ์เห็นเหตุการณ์ แต่ไม่เคยช่วยเหลือหรือห้ามเลย
ในตอนนั้น "เพจ เหยื่อ V.2" ได้มีการนำเอาคลิปที่ "เซบาสเตียน ลี" สามีเจ้าตัวเคยโพสต์พร้อมข้อความว่า "ตำรวจคุ้มกันไปยังกาสิโน เรามีสถานที่ที่้ต้องไป" พร้อมติดแฮชแท็ก Kings Roman บ่อนใหญ่แถบชายแดน
รวมถึงภาพที่เจ้าตัวถ่ายกับคนไทยกลุ่มหนึ่งที่บางคนมีชื่อพัวพันกับเรื่องเว็บพนันโดยมีทหารอาวุธครบมือ และภาพถ่ายร่วมกับเจ้าพ่อบ่อนคิงส์โรมัน พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าตัวทำธุรกิจอะไรแน่
ตอนนั้นนักแสดงหญิงได้ออกมาเผยว่าสามีเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็แทบจะไม่ปรากฏรายละเอียดถึงธุรกิจที่เจ้าตัวทำแต่อย่างใด ขณะที่บรรดาแฟนคลับดิวพากันอวยว่าดิวกล้ามากที่ออกมาเปิด และพากันถล่มคนที่สงสัย
ล่าสุดหลังเรื่องราวของ "ดิว อริสรา" กลายเป็นข่าวดัง ภาพนี้จึงถูกชาวโซเชียลนำมาพูดถึงอีกครั้ง พร้อมมีการโยงข้อมูลที่เชื่อมโยงไปยังธุรกิจที่นักแสดงหญิงทำ หลังมีข่าวว่าคนใกล้ตัวของเธอไปพัวพันคดีแบงก์ดอลลาร์ปลอม รวมถึงเรื่องของอาวุธสงคราม แต่ทั้งดิวและเซบาสเตียนออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง
เรื่องไร้สาระของดิว กับสามี การอวดร่ำอวดรวยนั้นที่น่ากลัวคือ มันกลายเป็นการสร้างค่านิยมให้เด็กๆ น้องๆ วัยรุ่นในสังคมไทยมาตลอดระยะเวลาหลายปี จนเด็กรุ่นใหม่มีค่านิยม อย่างเช่น
- วลี “อยากเป็นอย่างดิว อริสรา”
- พวกคลินิก หรือหมอศัลยกรรม แพทย์เชิงพาณิชย์ทั้งหลายก็ต้องมี “บล็อกหน้า” แบบ “ดิว อริสรา” ไว้ให้บริการลูกค้าที่มาทำหน้า เพราะหวังว่าศัลยกรรมเสร็จ จะได้มีชีวิตแบบดิว อริสราบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ผิวแบบดิว, คิ้วแบบดิว, จมูกแบบดิว
- เด็กสาวบางคนบอกว่า อยากเป็น “สก๊อย ลักชัวรี” มีชีวิตแบบดิว อริสรา คือแม้เดิมทีจะไม่ได้สวยมาก ไม่ได้เรียนสูง ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ก็สามารถมีชีวิตที่เหลือกินเหลือใช้ อวดโซเชียลได้ไม่หยุด
คนปกติทั่วไปก็สงสัยกันว่า การที่ “ดิว อริสรา” อวดร่ำอวดรวยนั้นเอาเงินทองมาจากไหนมากมาย อย่างกรณีเช่าคอนโดมิเนียมเดือนละ 1 ล้าน 5 แสนบาท นั้นมันเกินเพดานชีวิตคนปกติธรรมดาไปมาก ?!?
ในเวลาต่อมาในช่วงต้นปี 2566 “ดิว อริสรา” ก็ออกมาเปิดเผยเองว่าเคยมีความเกี่ยวพันกับ 1 ใน 4 พี่น้องที่ทำเว็บพนันชื่อมาเก๊า 888 กับพี่คนโตที่ชื่อ “เบนซ์ เดม่อน” หรือ นายชัยวัฒน์ ขจรบุญถาวร
จากวันนั้นจนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่ “ดิว อริสรา” ออกมาหลั่งน้ำตายอมรับว่าการใช้ชีวิตที่ผ่านมาผิดพลาดไปแล้ว ใช้เงินเกินตัว “ดิวลงทุนทำธุรกิจหลายอย่าง แต่เอาเป็นว่าธุรกิจที่ทำไม่ได้ประสบความสำเร็จเลย และยอมรับตรงๆ เลยว่าตัวเองเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคม ใช้เงินเกินตัว หรือไม่ประมาณตัวเอง ทำให้เกิดปัญหาแบบนี้”
แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้วครับ สรุปก็คือ ชีวิตก็ปลอม ความรวยของสามีก็ปลอม จะมีน่าสงสารก็คือลูกที่ต้องเติบโตมาในสภาวการณ์ และสถานการณ์เช่นนี้
“เซบาสเตียน ลี” มหาเศรษฐีกำมะลอ?
การเลือกคู่ครองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ คนที่เหมือนๆ กันมักจะดึงดูดกัน ภาษาไทยถึงเรียกการแต่งงานว่า “สมรส” ซึ่งแปลแบบตรงตัวก็คือ การที่มีรสนิยมสมกัน คล้ายกัน จึงไม่แปลกที่ “ดิว อริสรา” กับ “เซบาสเตียน ลี” ได้มาเป็นคู่ครอง และแต่งงานกัน
เซบาสเตียน ลี (Sebastian Cheng-Yin Lee) มีชื่อจีนว่าหลี่ เจิ้งหยิน (李政誾) ก็คือเป็นคนแซ่หลี่ ชื่อเจิ้งหยิน อายุอานามน่าใกล้เคียงกับดิว คือ 33-34 ปี
เกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางที่พอจะมีฐานะ โดยพ่อแม่ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกรถจักรยานและอุปกรณ์ ใช้ชีวิตในเยอรมนีตั้งแต่เด็ก และจบการศึกษาด้านการโรงแรม การจัดการอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
พอเรียนจบ ก็กลับมาที่ไต้หวัน เซบาสเตียนก็ลงทุนเปิดร้านอาหารอิตาเลียน-พาสตาในกรุงไทเป โดยซื้อแฟรนไชส์มาจากเมืองนอก ชื่อ Vapiano สาขาไทเป แต่ธุรกิจปิดตัวลงเนื่องจากค่าเช่า และการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้เจ้าตัวก่อนมาเจอดิวก็เคยมีข่าวว่าเป็นแฟนกับนางแบบไต้หวัน
ต่อมา แม้ธุรกิจร้านอาหารจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ครอบครัวของเซบาสเตียนก็ยังคงมีฐานะดีพอสมควร ก็ถือว่ามีฐานะร่ำรวย แต่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีอย่างที่ดิวพยายามสร้างภาพ เพราะในสังคมไต้หวัน การมีรถหรู ขับรถอย่างเช่น ปอร์เช่ ไม่ใช่เรื่องแปลก
สรุปแบบเข้าใจง่ายก็คือ เซบาสเตียน ลี กับครอบครัว คงมีฐานะเป็นชนชั้นกลางฐานะค่อนข้างดีในไต้หวัน หรืออาจจะมีเงินระดับเศรษฐีเมืองไทย แต่ไม่ได้มีฐานะเข้าขั้นมหาเศรษฐีตามภาพลักษณ์อย่างที่ตัวเซบาสเตียน หรือดิว พยายามพรีเซ็นต์ออกมาว่าซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เหมาทั้งฟลอร์ในราคา 700 ล้าน
เรื่องคนรอบตัวที่มาเกี่ยวพันกับ “ดิว อริสรา” ที่ให้ยืมของ ให้ยืมเงิน ให้เช่าคอนโดฯ ราคาแพงระยับ นั้นยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น
- แก๊งเว็บพนัน และสีเทาต่างๆ ที่อยู่รายรอบตัวดิว อริสรา ซึ่งน่าสงสัยว่าใช่หรือไม่ว่าเป็นที่มาของคอนเทนต์ในการอวดร่ำอวดรวยของดิว
- แก๊งค้าเงินดอลลาร์ปลอม
- คนจีนเจ้าของคอนโดมิเนียม The Ritz Carlton Mahanakorn Residences Bangkok แถวสีลม-สาทร ขนาด 800 ตารางเมตรที่ให้ดิวเช่าในราคาเดือนละ 1 ล้าน 5 แสนบาท แล้วดิวไปค้างค่าเช่าหลายเดือนคิดเป็นเงิน 10 ล้านบาท ว่ากันว่าคอนโดฯ หลังนี้มีราคาหลายร้อยล้านบาท บางคนตีโป่งไปถึงขั้นบอกว่าราคา 700 ล้านบาท โดยเจ้าของคือชาวจีนที่ถือพาสปอร์ตวานูอาตู ก็มีคนถามเหมือนกันว่า คนจีนที่ไหน ชื่ออะไร เป็นจีนเทาหรือเปล่า? เสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่ ??
- ทนายความของ ดิว อริสรา ชื่อ นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือ ทนายเอี้ยง (เป็นน้องชาวของ นายเชาว์ มีขวด) เป็นทนาความยของนายแทนไท ณรงค์กูล เจ้าพ่อเว็บพนันวัยรุ่น เจ้าของฉายา “แทนไท ป้ายแพง” ด้วย
ปริศนาความรวยพันล้าน “มาดามเมนี่”
ข้อมูลที่ปรากฎต่อสาธารณะจากการให้สัมภาษณ์ และสื่อต่าง ๆ นั้น “เมย์” วาสนา อินทะแสง เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2527 ที่ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ปัจจุบันอายุ 41 ปี เดิมจบการศึกษาแค่ ม.3 แต่ลงมาทำงาน ก่อนมาเรียนสายอาชีพ จบ ปวช. แล้วสอบเทียบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
จากนั้นก็เรียนต่อระดับปริญญาโท 2 ใบ ได้แก่ บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์ จาก ม.ธรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ แล้วต่อปริญญาเอก รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน ม.ราชภัฏสวนสุนันทา
“เมนี่” เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า หลังจบ ม.3 ทางบ้านไม่มีเงินส่ง เลยเข้ามาทำงานร้านอาหารที่กรุงเทพฯ เริ่มจากร้านอาหารตามสั่ง แถวคลองตัน เมื่ออายุ 16 ปี แล้วย้ายมาที่ร้านอาหารแถวหลังสวน หลังเรียนจบปริญญาตรีที่สวนดุสิต ก็ทำงานเป็นเซลส์ขายประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ระหว่างนั้นบริษัทยาผิวหนังที่ชื่อว่า แปซิฟิก เฮลท์แคร์ เรียกตัวไปสัมภาษณ์งาน จึงได้มาทำงานเป็นเซลล์ขายยาในภาคอีสาน ขับรถไปหาลูกค้าที่เป็นหมอตามโรงพยาบาล วันละ 3 จังหวัด
หลังได้รับความอนุเคราะห์จากลูกค้า รวมทั้งคอนเนกชันที่สั่งสมมา เป็นเซลส์ขายยาได้ 5-6 ปี จึงได้ลาออกไปตั้งบริษัทที่ชื่อว่า รีโว่เมด ไทยแลนด์ เมื่อปี 2558 ผลิตสินค้าความงามและอาหารเสริม (OEM) สำหรับผู้ที่อยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง โดยได้ก่อตั้งร่วมกับผู้บริหารอีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นเซลส์ขายเครื่องมือแพทย์มาก่อน
ช่วง 3 ปีแรก เป็นหนี้สร้างโรงงาน 30 ล้านบาท สร้างไปทำไปสุดท้ายทำโรงงานไปกว่า 100 ล้านบาทโดยใช้เงินสดแล้วสร้างโรงงานแห่งที่ 2 เพิ่ม ตอนนี้มีโรงงานทั้งหมด 3 แห่ง มีพนักงานกว่า 180 คน โดยมีแบรนด์ที่เคยผลิตกว่า 2,000 แบรนด์ มีลูกค้าที่ดูแลอยู่กว่า 600 ราย ต่อมาได้ก่อตั้งโรงงานเพิ่มที่ประเทศกัมพูชาในปี 2566 ตั้งโรงงานในประเทศเมียนมา และก่อตั้งบริษัทผลิตนมแพะที่นิวซีแลนด์ในปี 2567
แบรนด์ที่โรงงานของเมนี่ ทำให้ดาราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น สงกรานต์ เตชะณรงค์, มายด์ ณภศศิ (แฟนสาวของสงกรานต์), โยเกิร์ต ณัฐฐชาช์ , หนิงปณิตา - มดดำ คชาภา ตันเจริญ (ลูกสุชาติ ตันเจริญ) เป็นต้น
นอกจากนี้ ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวง พบว่า ปัจจุบัน “เมนี่” ถือหุ้น 11 บริษัท เป็นกรรมการอยู่ 10 บริษัท มูลค่าหุ้นที่ถือประมาณ 186,579,411 บาท โดยบริษัทที่สำคัญที่สุดก็คือ บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด (REVOMED GROUP CO., LTD.) ซึ่งทำธุรกิจในการผลิตเครื่องหอม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ จดทะเบียนวันที่ 22 ธันวาคม 2558 ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท และปัจจุบัน “เมนี่” ถือหุ้นอยู่ 94% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 176.5 ล้านบาท
“รีโว่เมด” นั้นเป็นบริษัทที่สำคัญที่สุด เพราะในจำนวนบริษัท 11 แห่งที่เมนี่ถือหุ้นอยู่นั้นมี “รีโว่เมด” เพียงบริษัทเดียวที่ดูพอจะมี“กำรี้กำไร” พอให้สามารถมีไลฟ์สไตล์ที่สุดหรูเวอร์วังอลังการ จนสามารถเอาทรัพย์สินมูลค่ากว่า 62 ล้านบาท ไปให้ดิว อริสรา หยิบยืมจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวได้
นี่แค่ทรัพย์สินที่ให้ดิว อริสรา ไม่รวมทรัพย์สินส่วนตัว บ้าน รถยนต์ ป้ายทะเบียน กระเป๋า นาฬิกาหรู เครื่องประดับ เพชรพลอย รองเท้า ฯลฯ อีกหลายร้อยล้าน หรือ อาจจะถึงพันล้านเสียด้วยซ้ำ
ชีวิตของ “เมนี่” เวอร์วังอลังการอย่างไร มาดูตัวอย่างทรัพย์สินในครอบครอง เช่น
รถยนต์ Rolls-Royce Ghost สีขาว ราคา40-50 ล้านบาทไม่นับรวมกับค่าทะเบียนรถ รวย 8888 อีก 11.1 ล้านบาท รวมแล้วก็ 60 ล้านบาท
สำหรับทะเบียน รวย 8888 ป้ายแพงราคา 11 ล้านบาทนี้ “เมนี่” ประมูลมาเมื่อ วันที่ 7 เมษายน 2565 โดยอ้างว่านำไปใส่รถเบนท์ลีย์ รุ่น Flying Spur W12 ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับรายการของนิกกี้ ณฉัตร เมื่อปี 2565 ว่า ซื้อมาด้วยเงินสดในราคา 20 ล้านบาท
แค่รถ 2 คัน เบนท์ลีย์ 20 ล้านบาท กับ โรลสรอยซ์กับป้ายรวม 60 ล้านบาท ก็ใช้เงินไปแล้ว 80 ล้านบาทไม่นับกับรถคันอื่น ๆ ที่คุณโชว์อีก เล็กซัส, ปอร์เช่ รถอื่น ๆ และทะเบียนอีกก็ตีไปอย่างน้อย 100 ล้านบาท
ว่าถึงรถมูลค่า 100 ล้านบาท ไปแล้ว มาดูบ้านกันบ้าง
- บ้านราคา 160 ล้านบาท เฉพาะห้องน้ำอย่างเดียว 3 ล้านบาทเพราะใช้วัสดุ “อาร์มานี่ โรก้า” จากอิตาลี โต๊ะกินข้าวใช้ที่วางจาน “แอร์เมส” ใบละ 1 หมื่นบาท
- กระเป๋าสะสมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท แค่กระเป๋าแอร์เมสใบสีขาวในภาพนี้ใบเดียวก็ 15 ล้านบาท โดยเธอบอกว่าประมูลมาจากร้านแอร์เมส ที่ประเทศฝรั่งเศส, ส่วนอีกใบสีดำน้ำตาลนั้นราคา 7 ล้านบาท
- นาฬิกาหรู เมนี่ยังบอกในรายการดังกล่าวด้วยว่า ครอบครองนาฬิการิชาร์ด มิลล์ อยู่ประมาณ 6-7 เรือน, ริชาร์ด มิลล์ หรือ RM ถ้าเป็นรุ่นลิมิเต็ดอย่างต่ำ ๆ ก็ต้อง 15-20 ล้านบาท หรือ อาจจะแพงถึง 50 ล้านบาท ตีตัวเลขกลมๆ ให้อย่างน้อย ริชาร์ด มิลล์ กับนาฬิกาหรูอื่นๆ ที่เมนี่ครอบครองอยู่ก็ต้องมีอย่างน้อย 100 ล้านบาท
- เครื่องประดับ-เสื้อผ้า-รองเท้า “เมนี่” เล่าว่าเส้นแรกของบุลการี ซื้อตามลิซ่า แบล็กพิงก์ เห็นใส่แล้วสวย จากนั้นก็เลยได้ “สร้อยงู” มาตัวละ 4-5 ล้านบาท ตอนนี้มี 3 เส้น และก็ยังซื้อสร้อยทิฟฟานี ตามโรเซ่ แบล็กพิงก์ เกือบ 10 ล้านบาท ไม่นับกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมอีกเป็นตู้ๆ ก็ต้องมีอีกอย่างน้อย 100 ล้านบาท
นี่แค่บ้าน รถ เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องประดับของใช้ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว "เมนี่" คิดแบบตัวเลขกลมๆ ตีกลมๆ แล้ว แบ่งเป็น
1. บ้าน 160 ล้านบาท
2. รถหรู 100 ล้านบาท
3. กระเป๋าหรู200 ล้านบาท
4. นาฬิกาหรู100 ล้านบาท
5. เครื่องประดับ-เสื้อผ้า-รองเท้า 100 ล้านบาท
รวมแค่ 5 รายการนี้ก็ 660 ล้านบาท
ลองมาดูแหล่งรายได้ บริษัทรีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด (เดิมทีชื่อ บ.รีโว่เมด (ไทยแลนด์) จำกัด ที่รับผลิตเครื่องสำอางแบบ OEM ซึ่งถ้าดูจากไลฟ์สไตล์ กับการอวดรวยของเมนี่แล้ว น่าจะต้องมีกำไรปีละหลายพันล้าน หรือ อย่างน้อยหลายร้อยล้านบาท
แต่เมื่อไปเปิดดูบัญชี และผลประกอบการของ บ.รีโว่เมด กรุ๊ป แล้ว พบว่า จากตัวเลขทางบัญชีที่ส่งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2566 มีรายได้ประมาณ 885 ล้านบาท รายจ่ายรวม 785ล้านบาท กำไร 76.5ล้านบาท
เมื่อย้อนไปปีก่อนๆ นับจากก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2558 ตัวเลขทางบัญชีบอกว่า บ.รีโว่เมดมีรายได้ เมื่อปี 2560 ประมาณ 12.3 ล้านบาท
บ.รีโว่เมด ทำกำไรได้เกินสิบล้านบาท ในปี 2563 ประมาณ 11 ล้านบาท ขณะที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำกำไรได้เกิน 1 ล้านบาทเลย
สรุปในช่วง 9 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งมา คือช่วงปี 2558-2566 มีกำไรสะสม 167,856,414 บาท
สรุป เมนี่กับสามีทำบริษัทมา 9 ปี กำไรสะสมประมาณเกือบ 170 ล้านบาท
ส่วนปีที่แล้ว 2567 ซึ่งตัวเลขยังไม่ปรากฎในข้อมูล ถ้าคาดการณ์แบบมองโลกในแง่ดีสุดๆ ให้กำไรเพิ่มจากปี 2566 อีกเท่าตัวคือ 130 ล้าน ก็รวมเป็นกำไรสะสม 270 ล้านบาท
แต่แค่ค่าใช้จ่ายเรื่องไลฟ์สไตล์ของเมนี่ บ้าน รถ นาฬิกา กระเป๋า เครื่องประดับ เสื้อผ้าหน้าผมปาเข้าไปแล้ว 660 ล้านบาทแต่กำไรจากบริษัทจริง ๆ แค่ 200-300 ล้านบาท แล้วส่วนต่างความร่ำรวย 300-400 ล้านบาท มาจากไหน?
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่คนจะสงสัยว่า “มาดามเมนี่” ร่ำรวยมาได้อย่างไร???
ตัวเลข 660 ล้านบาท ค่าไลฟ์สไตล์เมนี่ ยังไม่ได้รวมตัวเลขอีกหลายอย่างที่ตกเป็นข่าว หรือ มีการรายงานกันตามหน้าสื่อไม่ว่าจะเป็น
- ทรัพย์สินที่ให้ “ดิว อริสรา” ยืมมูลค่า 62 ล้านบาท
- หนี้ที่ เชน ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ติดอยู่อีก 400 ล้านบาท (ตรงนี้เมนี่อาจจะ อธิบายได้ว่าเป็นลูกหนี้บริษัท ไม่ใช่หนี้ส่วนตัว แต่เงิน 400 ล้านบาทก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ)
- การรับช่วงต่อจาก บริษัท มอร์รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ในการเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ และจัดงานเทศกาลดนตรี Rolling Loud ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2571 พร้อมสิทธิ์ขาดในการจัดงานในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเมนี่พูดเองว่า ใช้เงินลงทุนหลักพันล้านบาท
ทั้งนี้ “เมนี่ วาสนา” เคยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าการจัดงานเทศกาลดสตรี Rolling Loud TH ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2567 ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นั้นตนเองต้องทุ่มเงินลงทุนไปนับพันล้านบาทแต่บริษัทที่จัดงานขาดทุนไป 360 ล้านบาท !?!
ที่น่าสนใจ และต้องนำมาเชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “เมนี่” กับบริษัทมอร์ รีเทิร์น หรือ MORE ซึ่งเป็นบริษัทปั่นหุ้น
นอกจากนี้เมื่อกลางปีที่แล้ว วันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2567 ยังปรากฏความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นคือ บมจ.เฮลท์ เอ็มไพร์ คอร์ปอเรชั่น (HEALTH) ซึ่งอ้างว่าประกอบธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ทั้งขายปลีกและขายส่งทั่วประเทศ แต่ปีที่แล้วขาดทุนมากถึง 400-450 ล้านบาท ได้แจ้งการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ บนกระดานซื้อขายรายใหญ่ (Big Lot) เมื่อ วันที่ 27 มิถุนายน 2567 จำนวน 50,000,000 หุ้น โดย บมจ.มอร์รีเทิร์น (MORE)ได้ขายให้กับ เมนี่ วาสนา ส่งผลให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนถือประมาณ 13% ส่วน MORE สัดส่วนถือหุ้นลดลงเป็นประมาณ 20% จากเดิมถือ 33%
แล้วยังมีข่าวว่า ก่อนหน้านี้ บ.Health ที่ บ.MORE เคยถือหุ้นใหญ่นี้ ก็พยายามเข้าซื้อหุ้น บ.รีโว่เมด ของเมนี่ด้วย ???
สำหรับเรื่องหุ้น MORE นี้ เด็กนักเรียน เด็กวัยรุ่น หรือ ชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่คนทำงาน ผู้ใหญ่ นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองนั้นต่างต้องคุ้นชื่อนี้
เพราะเมื่อประมาณช่วงปลายปี 2565 เกิดเรื่องการฉ้อโกงของหุ้น MORE ซึ่งสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างรุนแรง โดยแม้เวลาจะผ่านมาเป็นปี ๆ แล้วแต่คดีกลับยังถูกยื้ออยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI
แต่มาถึงวันนี้ ตัวละคร และบริษัท มอร์ รีเทิร์น ผู้อื้อฉาว กลับมาเชื่อมโยงและเกี่ยวพันกับ “เมนี่ วาสนา” เศรษฐีสาวลูกชาวนา คู่กรณีกับ “ดิว อริสรา” เสียอย่างนั้น นี่เป็น “ความบังเอิญอย่างร้ายกาจ” หรือไม่?
“ท่านผู้ชมครับ คุณเมนี่ครับ ผมอายุ 78 ปีแล้ว รู้จักคนมาก็มาก ชั่วชีวิตเคยเจอคนรวยระดับมหาเศรษฐีพันล้าน หมื่นล้าน แม้กระทั่งแสนล้าน มาก็ไม่น้อย แต่ผมเห็นพฤติกรรมหลายๆ อย่างของคุณดิว อริสรา และคุณเมนี่ วาสนา แล้วผมอดคิดไม่ได้ว่า มันมีหลายอย่างที่แปลกประหลาด
“หนึ่ง การที่คุณเมนี่ให้คุณดิวยืมทรัพย์สินเป็นเครื่องประดับ นาฬิกา มูลค่า 50-60 ล้านบาท น่าสงสัยมาก ตั้งแต่ของที่ให้ยืม การตัดสินใจให้ยืม วิธีการให้ยืม วิธีการทวงคืนก็แปลกประหลาด คือแทนที่จะไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ แต่กลับแจ้งสื่อแทน
สอง ส่วนตัวคุณเมนี่เองก็มีความย้อนแย้งกันหลายประการ มาออกรายการแทนที่จะนั่งรถมาคันเดียว กลับเอารถหรูมา 2 คัน เหมือนจะมาอวดรวย มาทำคอนเทนต์ มากกว่ามาทำธุระปกติ
สาม เมื่อย้อนดูแบ็กกราวนด์ของคุณดิว และคุณเมนี่ ที่เกี่ยวพันกับเรื่องเทาๆ หลายอย่าง ผมอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะไม่มีสื่อที่ไหนกล้าพูด ผมเห็นมีแต่อวยกันว่าเป็นเศรษฐินีใจบุญ จากลูกชาวนา คนต่างจังหวัด รวยมาด้วยลำแข้งตัวเอง พูดด้วยความสัตย์จริงว่าผมเห็นใจ และผมชมเชยที่คุณมีความพยายาม ปากกัดตีนถีบ จนสร้างเนื้อสร้างตัวจากลูกชาวนา คนต่างจังหวัด มีเงินมีทองมาขนาดนี้ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง คุณเมนี่ ผมเป็นห่วงคุณ เพราะคุณอวดอ้างความร่ำรวยในโซเชียลอย่างมาก อย่างน้อยก็มีประชาชนส่วนหนึ่งที่มีปัญญา เริ่มสงสัยว่าคุณเอาเงินมาจากไหน เพราะคุณอยากดังในโซเชียล ถ้าคุณอยากดัง คุณก็ต้องมีที่มาที่ไป เปิดเผยตรงไปตรงมา
จริงๆ แล้วผมเอาตัวเลขที่คุณปฏิเสธไม่ได้นะ คุณเมนี่ รายได้คุณมาจากไหน และรายจ่ายคุณมีอะไรบ้าง หักกลบลบหนี้แล้วมันต่างกันหลายร้อยล้านบาท เกือบพันล้านบาท คำถามที่วิญญูชนสมควรจะถาม คือ ส่วนต่างตรงนี้ รายได้คุณไม่พอรายจ่าย แล้วส่วนต่างรายจ่ายกับรายได้คุณเอามาจากไหน คือถ้าจะเอามาจากไหน ถ้าคุณมีที่มาที่ไป คุณต้องชี้แจงและต้องมีหลักฐานพิสูจน์” นายสนธิกล่าว